สังคมโลกในยุคปัจจุบันที่สื่อโซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากในชีวิตประจำวัน ทั้งเป็นแหล่งข้อมูลข่าวสาร สาระความรู้ ความบันเทิง และกลายเป็นแหล่งธุรกิจสำคัญบนโลกออนไลน์
เราจะเห็นได้ว่าบุคคลที่มีชื่อเสียงสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำผ่านโลกโซเชียล และการที่ใครสักคนจะสร้างตัวตนให้เด่นให้ดังขึ้นในยุคนี้ก็ไม่ยากเหมือนสมัยก่อน เพราะเราสามารถสร้างตัวตนจนเป็นที่รู้จักผ่านโลกโซเชียลได้เลย
ด้วยความที่ใครๆ ก็อยากดัง ทำให้ตอนนี้คำว่า “หิวแสง” กลายเป็นคำยอดฮิตในโลกโซเชียลที่หลายคนคงเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันว่า ใครก็ตามที่กำลังหิวแสง แสดงว่าคนนั้นกำลังอยากดัง ด้วยการเรียกร้องความสนใจทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นไปในทางที่ดีหรือไม่ก็ตาม
ในเชิงจิตวิทยานั้น พฤติกรรมหิวแสงเช่นนี้ถูกเรียกว่า Spotlight Effect ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ควรได้รับการบำบัดอย่างถูกต้อง ก่อนที่มนุษย์ผู้หิวแสงทั้งหลายจะทำอะไรเลยเถิดจนขาดความยับยั้งชั่งใจ จนกลายเป็นการสร้างปัญหาต่อสังคม ดังนั้นวันนี้เราจะมาทำความรู้จัก Spotlight Effect กัน พร้อมกับหาทางก้าวข้ามความบกพร่องนี้
ที่มาคำว่า Spotlight Effect
ผู้ที่ให้คำนิยามคำว่า “Spotlight Effect” เป็นคนแรกของโลกก็คือ โธมัส จิโลวิช (Thomas Gilovich) และเคนเนธ ซาวิตสกี (Kenneth Savitsky) นักวิจัยด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ซึ่งได้ให้นิยามของคำนี้ไว้เมื่อปี ค.ศ. 1999 ที่อธิบายความถึงผู้คนที่มีความต้องการเรียกร้องความสนใจจากคนรอบข้างและสังคมจนเกินพอดี เข้าข่ายเป็นโรคจิตชนิดหนึ่งที่สมควรได้รับการบำบัด
โดย Spotlight Effect นี้เป็นการสร้างคำที่ล้อมาจากปรากฏการณ์ที่เราเห็นในการแสดงละครเวทีที่เมื่อแสงจากไฟสปอร์ตไลท์ฉายลงไปที่ใคร แสดงว่านักแสดงคนนั้นกำลังมีบทบาทเด่นที่ผู้ชมจะต้องให้ความสนใจ ดังนั้นนักแสดงคนใดที่เล่นได้ดี แสงจากสปอร์ตไลท์ก็จะฉายไปยังนักแสดงคนนั้นบ่อยๆ จนทำให้เขาและเธอโด่งดังเป็นที่รู้จักได้โดยง่าย นั่นจึงทำให้นักแสดงบางคนมีอาการหิวแสงจนเกินงาม พยายามเล่นเกินบทเพื่อเรียกร้องความสนใจบ่อยๆ จนอาจทำให้ละครไม่สนุกก็เป็นได้ นั่นจึงทำให้เราเปรียบเปรยคนที่อยากดังจนเกินงามเป็นนักแสดงละครเวทีที่กำลังหิวแสงนั่นเอง
วิธีการบำบัด “Spotlight Effect ” ที่ถูกต้อง
ความอยากเด่นอยากดังนั้นเป็นเรื่องปกติปุถุชนทั่วไปเป็นกันทุกคน เพราะในเชิงจิตวิทยาแล้ว ความดัง ก็คือการในใครคนหนึ่งได้รับการยินดีต้อนรับจากสังคมอย่างล้นหลาม ซึ่งจะเป็นเครื่องการันตีในการอยู่ในสังคมนั้นอย่างมีสุข มั่นคง ปลอดภัย แต่การที่ใครสักคนมีความต้องการอยากดังมากเกินไป จนเกิดเป็น Spotlight Effect หรือพฤติกรรมหิวแสงนั้นย่อมยอมทำทุกวิถีทางที่จะเรียกร้องความสนใจจากสังคมนั้น บางคนสร้างความเดือดร้อนปั่นป่วนแก่องค์กรด้วยการทำให้ทีมเวิร์คในองค์กรเสีย หรือกระทั่งสร้างความเสียหายแก่สังคม เช่น การทำให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเพิ่มความแตกแยกวุ่นวาย หรือบางคนยอมที่จะทำอะไรห่ามๆ เพื่อต้องการให้สังคมสนใจแม้จะมีผู้คนเข้ามาด่าว่า และชื่นชมก็ตาม ซึ่งเราจะเห็นกันแล้วว่าอาการหิวแสงนี้ไม่ดีเลย หากมันไม่ได้รับการบำบัดอย่างถูกวิธี อาจทำให้สังคมและคนรอบข้างอาจไม่สงบสุขได้
การหิวข้าวสามารถบำบัดได้ด้วยการหาของมากินซึ่งทุกคนสามารถบำบัดได้ด้วยตัวเอง แต่การหิวแสงนั้นตรงกันข้าม เพราะมันจำเป็นต้องได้รับการบำบัดด้วยการตอบรับจากสังคม แล้วเราจะมีวิธีการบำบัดอาการหิวแสง สร้างความเด่นดังอย่างถูกวิธีได้อย่างไร ตามมาดูกันเลย
สร้างคุณค่า เอกลักษณ์ ความแตกต่างให้กับตัวเอง เพื่อตอบสนองสังคมในทางที่ดี
คนส่วนมากมักมองตัวเองเป็นที่ตั้ง เวลาที่ต้องการอยากดังก็มักจะตั้งโจทย์กับตัวเองว่า “ฉันจะดังได้อย่างไร?” “ฉันจะทำให้สังคมหันมาสนใจฉันได้อย่างไร?” การตั้งคำโจทย์แบบนี้จะทำให้เราหาคำตอบแบบหลงทิศหลงทาง จนสามารถที่จะอนุญาตให้ตัวเองทำอะไรก็ได้เพื่อให้สังคมสนใจแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมก็ตาม
การตั้งโจทย์ที่ถูกต้องก็คือ “ฉันจะสร้างคุณค่า เอกลักษณ์ ความแตกต่างให้กับตัวเองได้อย่างไร เพื่อตอบสนองสังคมในทางที่ดี?” การพยายามหาคำตอบให้กับโจทย์ข้อนี้ต่างหากล่ะที่จะเป็นวิธีการบำบัดอาการหิวแสงอย่างถูกต้องและยั่งยืน แม้มันจะต้องใช้เวลาที่ยาวนานกว่า แต่ก็คุ้มค่าที่จะทำ ซึ่งเราเห็นผลลัพธ์เราก็เห็นกันมาแล้วมากมาย ในทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นวงการบันเทิง วิชาการ และธุรกิจ ซึ่งผู้ที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงโด่งดังล้วนแล้วแต่ใช้เวลาสร้างคุณค่า เอกลักษณ์ ความแตกต่างเพื่อเติมเต็มความต้องการของสังคมได้อย่างลงตัว
ส่องแสงไปที่คนอื่นบ้าง อย่ามัวแต่การเรียกแสงให้ตัวเอง
เมื่อคุณหิวแสง ก็จงอย่ามัวแต่โฟกัสกับการเรียกแสงสว่างมาส่องให้กับตัวเองจนเกินงาม เพราะมันจะทำให้ทีมเวิร์คของทีมงานเสียไป คุณคงเคยเห็นตัวอย่างมามากมายแล้วกับการที่ทีมงานพัง ผลงานเจ๊ง เพราะในทีมมีตัวเด่นอยู่คนเดียว เช่น ภาพยนตร์บางเรื่องที่พระเอกพยายามจะทำตัวเด่นอยู่คนเดียว เล่นเอง กำกับเอง บู๊เอง ไม่มีตัวแสดงแทน สุดท้ายก็เจ๊งไม่เป็นท่า เพราะผลงานออกมาไม่ดี ไม่มีทีมเวิร์ค ทำให้ตัวหนังไม่ได้ถึงอรรถรสที่เป็นแก่นแท้ของมัน หรือจะเป็นทีมฟุตบอลที่มี “เดอะแบก” อยู่คนเดียวก็มักจะไม่ประสบความสำเร็จถึงฝั่งฝัน เป็นต้น
แนวทางที่ถูกต้องก็คือการร่วมกันทำงานเป็นทีมเวิร์ค เปิดโอกาสให้ทุกคนในทีมได้ฉายแววอย่างโดดเด่นร่วมกัน เมื่องานของทีมประสบความสำเร็จ ทุกคนก็ได้รับชื่อเสียงโด่งดังไปพร้อมๆ กันอย่างอิ่มอกอิ่มใจ
อย่าประเมินค่าของตนสูงกว่าความเป็นจริง
ในโลกโซเชียลทุกวันนี้เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถสร้างตัวตนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ได้ไม่ยาก จนทำให้หลายคนมักประเมินคุณค่าตัวเองสูงกว่าความเป็นจริง อุปโลกน์ตนว่าเป็นกูรูด้านนั้นด้านนี้ เพื่อต้องการให้สังคมยอมรับ ซึ่งใครก็ตามที่ทำเช่นนี้คุณกำลังมาผิดทางแล้ว แม้ว่ามันจะช่วยบำบัดอาการหิวแสงได้บ้าง แต่ก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราว เพราะเมื่อความจริงปรากฏว่าคุณก็ไม่ได้เก่งจริงอย่างว่า เชื่อเสียงกำมะลอที่สร้างมาก็เป็นอันต้องพังพินาศ ครั้นจะสร้างมันขึ้นมาใหม่ สังคมก็ไม่ให้ความเชื่อถือแล้วล่ะครับ
ทางที่ถูกต้องก็คือแทนที่จะเราจะเน้นให้ความสำคัญกับการสร้างชื่อเสียงกำมะลอ เราควรเน้นการสร้างความสามารถที่แท้จริงให้เกิดขึ้นกับตัวเราเองก่อน ก่อนที่จะโปรโมทมันออกไป ซึ่งนั่นจะทำให้ชื่อเสียง ความยอมรับที่เราจะได้มานั้นคงอยู่กับเราตลอดไป
และนี่ก็คือ Spotlight Effect หรือพฤติกรรมหิวแสงที่กำลังได้รับความสนใจในโลกโซเชียลขณะนี้ และเราอยากจะอธิบายให้เพื่อนๆ ชาว The Macho ได้ทราบกัน เผื่อว่าใครกำลังหิวแสงอยู่จะได้หาวิธีบำบัดได้อย่างถูกต้อง ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่คนสังคมและคนรอบข้าง ก็หวังว่าข้อมูลเหล่านี้คงจะเป็นประโยชน์ เมื่อได้ทราบแล้วก็อย่าลืมนำไปปรับใช้กัน