แรกเริ่มเดิมที อยากจะเขียนถึง “เจอร์เก้น คลอปป์” ที่ครบรอบ 4 ปีคุมลิเวอร์พูลซะหน่อย แต่ลืมไปว่าเขียนเนื้อหาใจความ สิ่งที่เขาเข้ามาเปลี่ยนแปลง “หงส์แดง” ไปแล้วตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย. (ใครอยากย้อนไปอ่าน “Doubter to Believer 3 ปีครึ่งพิสูจน์คำคลอปป์” >> คลิกที่นี่เลย <<)
งั้นก็เลย หันมาพูดกันถึงภาพรวมของพรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้กันดีกว่า เพราะตอนนี้ ก็ผ่านไปแล้ว 8 จาก 38 นัด หรือราวๆ 1 ใน 5 ของซีซั่น และมันก็มีเรื่องราวเซอร์ไพรส์ เกิดขึ้นไม่น้อยเลย มาลองดูกันหน่อย ว่ามีอะไรน่าสนใจให้พูดถึงบ้าง
ชัยชนะ 8 นัดรวดของหงส์แดง
ความร้อนแรง เก็บชัยชนะได้ 8 นัดรวดในซีซั่นนี้ สร้างสถิติให้ลิเวอร์พูล ชนะต่อเนื่องในลีกถึง 17 นัด หากนับต่อเนื่องจากปลายซีซั่นที่แล้ว เหลืออีกเพียงนัดเดียว จะทำสถิติทาบสถิติ 18 นัดรวด ที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำไว้ในซีซั่น 2017/18
แน่นอนว่าชัยชนะในแต่ละนัด เกิดจากการปรับจูนทีมที่เข้าขารู้ใจมากขึ้น หลัง “เจอร์เก้น คลอปป์” ตัดสินใจไม่เสริมตัวที่มีผลกระทบหลัก กับทีมชุดใหญ่เลย (ขออนุญาตไม่นับอาเดรียน ที่ตอนแรกเจตนาซื้อมาแค่เป็นแบ็คอัพ แทนมินโญเล่ต์)
สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ “หงส์แดง” เขี้ยวลากดินมากขึ้น โดยเฉพาะในการขึ้นเกม และครองเกม บอลสั้นสลับยาว และการชิงเล่นจังหวะชิ่งในพื้นที่แคบๆ ถูกเน้นหนักมากขึ้น เพื่อหนีจากแนวรับของคู่แข่ง ที่เตรียมตัวมาเจอพวกเขา แบบระแวดระวังเต็มที่
บอลจากด้านข้าง และการขึ้นเติมเกมของ 2 ฟูลแบ็ค ดูมีความหลากหลาย และเต็มไปด้วยพละกำลัง หากนัดไหนคุณปล่อยให้ เทรนท์-อาโนลด์ และโรเบิร์ตสัน เล่นได้สะดวก ทีมของคุณมีสิทธิ์ถูกน็อคเอาได้ง่ายๆ
นอกจากนั้น เกมเพรสซิ่งของทีม ยังคงมีความสำคัญ แม้จะไม่ถึงกับดุดันทุกนัดเหมือนสมัยก่อน แต่มันยังเป็นการเล่นเกมรับตั้งแต่แดนหน้า ที่ยอดเยี่ยมอยู่เหมือนเคย เช่นเดียวกับการเก็บบอลจังหวะ 2 ซึ่งเป็นไม้เด็ดของคลอปป์ หากวันไหน ลิเวอร์พูลเก็บบอล 2 ได้เยอะ วันนั้นพวกเขาจะควบคุมเกมได้เบ็ดเสร็จ
อย่างไรก็ดี ใช่ว่าทัพ “หงส์แดง” จะไม่มีจุดอ่อนเลย หยิบมาพูดที่สำคัญ อย่างแรกหนีไม่พ้น เกมรับที่ยังคงเสียประตูอย่างต่อเนื่อง โดยซีซั่นนี้จาก 8 นัด เก็บคลีนชีตได้แค่ 2 นัด และทั้ง 2 นัดที่ว่า เป็นเกมนัดเยือนทั้งหมด
ผลงานของอาเดรียน เท่าที่ลงสนามแทนอัลลิซงมา ถือว่าทำได้ดีกว่าที่หลายคนคาด ดังนั้น ความรับผิดชอบในการเสียประตู คงต้องพูดไปถึงรูปแบบการป้องกันที่ยังไม่แน่น รวมถึงการยืนตำแหน่งของแนวรับ และการปิดบอลทะลุสู่แดนหน้าของคู่แข่ง ซึ่งยังเป็นการบ้านที่คลอปป์ต้องแก้ไขต่อไป
อย่างถัดไป หนีไม่พ้นเรื่องของความฟิต และอาการบาดเจ็บ เพราะนักเตะหลายคนเล่นติดๆ กันจนล้า และออกอาการมาแล้ว อย่างฟาน ไดค์ หรือฟาบินโญ่ จนส่งผลให้ประสิทธิภาพการเล่นลดลง ในบางช่วงบางตอน
ยังไม่รวมถึงเรื่องกำลังสำรอง ถ้ามีอาการบาดเจ็บ ยกตัวอย่างง่ายๆ คุณนึกถึงใครถ้าเทรนท์-อาโนลด์ หรือโรเบิร์ตสันเจ็บ? คำตอบตอนนี้คือ โกเมซ กับมิลเนอร์ ซึ่งรู้สึกได้ทันทีว่าประสิทธิภาพในเกมรุก มันจะลดลง
ปัญหาแนวรับ และการโรเตชั่นของเรือใบสีฟ้า
คู่แข่งแย่งแชมป์สำคัญของ “หงส์แดง” หนีไม่พ้น “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งผ่าน 8 นัดแรกไป พวกเขาทำแต้มตกหล่นถึง 8 แต้ม แบ่งเป็นการเสมอสเปอร์ ในบ้าน และการพ่ายทีมกลุ่มล่างอย่างนอริช และวูล์ฟ อย่างพลิกล็อค
ปัญหาหนักอกของ “เป๊บ กวาดิโอล่า” ที่เราทุกคนเห็นได้ชัด คือเรื่องของเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ พวกเขาเสียกอมปานีไป แต่ไม่ซื้อใครเพิ่ม แล้วสุดท้ายตัวหลักอันดับ 1 อย่างลาปอร์ต ก็มาเจ็บยาว สโตนส์ก็เจ็บตามไปอีก เหลือเพียงแค่โอตาเมนดี้ คนเดียว
แรกเริ่ม การถอยเอาแฟร์นันดินโญ่ ที่มีประสบการณ์เข้ามาช่วย ก็ดูจะทำให้โอตาเมนดี้ ดูนิ่งขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า การจับคู่ของสองนักเตะอเมริกาใต้ มามีปัญหาเรื่องการสอดประสาน และความเร็ว ดูอย่างนัดล่าสุด โอตาเมนดี้เข้าบอลวืดวาด พอหลุดแล้ว แฟร์นันดินโญ่ ก็ตามไปซ้อนไม่ไหว
หลังเบรกทีมชาติ พวกเขาลุ้นได้เซ็นเตอร์อาชีพ อย่างสโตนส์กลับมา แต่กับรูปแบบการเล่นที่พวกเขาดันสูงเป็นกิจวัตร ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ช่องโหว่ในเกมรับ จะถูกปิดได้ดีแค่ไหน
ภัยแฝงอีกอย่างของซิตี้ กลับกลายเป็นเกมรุก ที่ไม่ได้มาสม่ำเสมอทุกนัด นักเตะที่พวกเขาขาดไม่ได้เลยคือ “เควิน เด บรอยน์” ที่ซีซั่นนี้ ทำไปแล้ว 9 แอสซิสต์
2 นัดที่พวกเขาพ่ายต่อทีมรองบ่อนกว่า ทั้งนัดเสียท่านอริช ที่เป๊บจับ เด บรอยน์ โรเตชั่นพัก ส่วนนัดล่าสุดที่ช็อคพังคาบ้านต่อวูล์ฟ จอมทัพทีมชาติเบลเยี่ยม ก็ไม่ได้ลงสนาม เพราะได้รับบาดเจ็บ
เด บรอยน์ ไม่ได้มีความเร็วปรู๊ดปร๊าด เหมือนแนวรุกคนอื่น แต่เขามี “จังหวะเกม” ที่เหนือกว่านักเตะคนอื่น ทั้งการเปลี่ยนสปีดเกม, เปลี่ยนรับเป็นรุก หรือการผ่านบอลในพื้นที่สุดท้าย ที่มีทั้งสั้น-ยาว หวังผลได้เสมอ
ในฐานะที่ซิตี้ ต้องตาม 8 แต้ม อย่างรวดเร็ว เป๊บ และลูกทีม คงทำได้แค่โฟกัสในเกมของตัวเองก่อน และเล่นให้แน่นอนขึ้นทั้งเกมรุกและรับ โดยเฉพาะกับเกมที่ต้องเจอหงส์แดง ในเดือน พ.ย.
หากพวกเขา กลับมาคว้าชัยได้ต่อเนื่อง ความกดดันที่ผลักกลับไป อาจทำให้ลิเวอร์พูลเสียศูนย์ และออกอาการเหมือนซีซั่นที่แล้ว ที่การนำ 7 แต้ม กลับเป็นความผิดหวังในท้ายที่สุด
ไก่เดือยทอง และปีศาจแดง ไม่สู้ดี
2 ทีมใหญ่ที่ตะกุกตะกักมากที่สุด หนีไม่พ้น “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ และ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ทั้งคู่อยู่เพียงอันดับ 9 และ 12 ตามลำดับ และแพ้ไปแล้วถึงทีมละ 3 นัด
ปัญหาที่ทั้ง 2 ทีมมีเหมือนกัน คือเรื่องของ “แรงจูงใจ” นักเตะหลายคนในทีม ขาดความกระตือรือร้น ส่งผลต่อรูปแบบเกมที่พวกเขาเคยสร้างสรรค์ มลายหายไปหมด
สเปอร์ มีนักเตะที่พร้อมย้ายออกจากทีมเต็มไปหมด อีริคเซ่น, แฟร์ทองเก้น และอัลเดอร์ไวเรล อยู่ในสัญญาปีสุดท้าย และดูไม่มีท่าทีจะต่อออกไป
นักเตะที่เริ่มไม่มีความสุข และหวุดหวิดจะย้ายออกจากทีม ก็ยังอยู่กับทีมหลายราย ทั้งโรส, วานยาม่า, ดายเยอร์, โอริเย่ หรือแม้แต่ตัวกุนซือ “เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่” เอง ที่ปีที่แล้วเคยเปรยว่า อาจจะอำลาสเปอร์ หากทีมคว้าแชมป์ UCL สำเร็จ
นอกเหนือจากแรงจูงใจที่หดหายไปอย่างเห็นได้ชัด รูปแบบการสร้างสรรค์เกมของพวกเขา ยังลดน้อยถอยลงไปอีกด้วย บอลจากแบ็คด้านข้างก็เงียบหาย จังหวะขึ้นเกมรวดเร็วจากแดนกลางก็ขาดประสิทธิภาพ กลายเป็นว่า ทีมจากนอร์ธลอนดอน มีเพียงจังหวะฉาบฉวยของเคน และซน เท่านั้น
ไม่ต่างกันกับยูไนเต็ด แม้จะมีการเสริมวาน-บิสซาก้า และแม็คไกวร์ เพื่อขันน็อตเกมรับที่มีปัญหา แต่ในแดนกลาง และแนวรุก ที่พวกเขาปล่อยลูคาคู กับอเล็กซิสไป กลับไม่ได้เสริมคนที่ถูกที่ควร เข้ามาเติมเต็มแทน
รูปแบบการขึ้นเกมของยูไนเต็ดจึงช้า และเคลื่อนที่น้อยกว่าที่ควรเป็น ยิ่งกับอาการบาดเจ็บของป็อกบา และมาร์กซิยาล บวกกับฟอร์มที่ยังไม่กลับมาของลินการ์ด และแรชฟอร์ด ทุกสิ่งทุกอย่างจึงดูสะดุดไปเสียหมด
ไม่น่าแปลก ที่อัตราต่อรองการโดนปลดของโอเล่ และพอช จะถูกปรับให้เป็นตัวเต็งลำดับต้นๆ จะมีเก้าอี้ร้อนกว่าพวกเขา ก็แค่มาร์โก ซิลวา ของเอฟเวอร์ตัน เท่านั้นแหละ
ทีมระดับกลาง ยกระดับขึ้นมา
ไม่มีเกมที่ง่ายเหมือนปลอกกล้วย ในพรีเมียร์ลีกอีกต่อไป หลากหลายทีมระดับกลาง ยกระดับขึ้นมาได้ดี และมีหลายทีมพร้อมท้าทาย Top 6 อย่างจริงจัง
แรกเริ่มเดิมที มีเลสเตอร์, วูล์ฟ และเอฟเวอร์ตัน เป็น 3 ทีม ที่ถูกคาดว่า จะขึ้นมาท้าทาย Top 6 ได้ แต่ท้ายที่สุด มีเพียงลูกทีมของ “เบรนแดน รอดเจอร์ส” ที่พิสูจน์ว่า พวกเขายกระดับตัวเองขึ้นมามาก ด้วยรูปแบบการเล่นที่สมดุล รับแน่น เล่นจังหวะฉาบฉวยได้ดี
ส่วนเอฟเวอร์ตัน คงต้องหาโมเมนตั้มสำคัญกลับมาเก็บชัยชนะให้ได้ก่อน วูล์ฟเอง แม้จะพึ่งล้มแมนฯ ซิตี้ มา แต่พวกเขายังต้องการความต่อเนื่องกว่านี้ เมื่อต้องกรำศึกยูโรป้า ลีก ไปพร้อมกัน
นอกเหนือจาก 3 ทีมที่ว่า หลายทีมก็ทำผลงานได้ดี ทั้งคริสตัล พาเลซ ของปู่ “รอย ฮอดจ์สัน” ที่เล่นเกมรับได้เหนียวแน่น, เบิร์นลี่ย์ ที่เล่นเกมในบ้านได้ดี ดุดัน หรือเวสต์แฮม ที่แม้จะยังคาดเดายาก แต่ลูกทีมของเปเยกรินี่ ก็โกยแต้มมาได้ไม่น้อยเลย
ยังไม่รวมถีงทีมที่มีรูปแบบการเล่นที่น่าสนใจ อย่างไบรท์ตัน ที่หันมาเล่นบอลด้วยเท้า นับตั้งแต่ “เกรแฮม พ็อตเตอร์” มาคุมทีม หรือบอลแพ็คเกมเหนียวแน่น สปิริตแน่น อย่างเชฟฯ ยู ก็ยากต่อการเอาชนะ
ระยะพิสูจน์ตัวเอง กำลังเริ่มขึ้น
2 ทีมที่เข้าข่ายอยู่ในระยะพิสูจน์ตัวเอง หลังเริ่มทำผลงานได้น่าสนใจ หนีไม่พ้น “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี และ “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล นั่นเอง
“แฟรงค์ แลมพาร์ด” ปรับจูนเชลซี ที่มีดาวรุ่งผสมกับตัวเก๋าได้ลงตัวขึ้นเรื่อยๆ รูปแบบเกมรุกของพวกเขาน่าสนใจ เมาท์ และอับราฮัม ก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลัก และทำผลงานได้โดดเด่น
ฝั่งเพื่อนร่วมเมืองลอนดอน อย่างอาร์เซน่อล ของ “อูไน เอเมรี่” แม้จะยังต้องลุ้นหนัก ในการได้ผลการแข่งขันแต่ละนัด แต่ก็เริ่มเห็นทรงของทีมที่ดีขึ้นตามลำดับ
สิ่งที่เชิดหน้าชูตาได้ชัดเจนในซีซั่นนี้ คือเหล่าดาวรุ่งของทีม ที่เริ่มสอดแทรกเข้ามาสู่ทีมชุดใหญ่ ในเรื่องการพังประตู โอบาเมย็องยังคงไว้ใจได้ แม้ตัวสนับสนุนอย่างลากาเซ็ตต์ จะเจ็บออดๆ แอดๆ และเปเป้ ยังไม่สามารถพิสูจน์ความคุ้มค่า กับค่าตัวก้อนใหญ่ ก็ตาม
อย่างไรก็ดี ปัญหาสำคัญของทั้งเชลซี และอาร์เซน่อล หนีไม่พ้นเรื่องของแนวรับ ซึ่งต้องดูกันต่อไป ว่าทั้ง 2 ทีมจะปรับปรุงมันได้ดีแค่ไหน
เชลซี ยังคงสลับแผนหลัง 4 และ 3 เพื่อหาจุดลงตัว โทโมรีขึ้นมาเป็นตัวหลัก และเล่นได้แข็งแกร่ง เพียงแต่คู่ขาของเค้า ยังต้องยกระดับฟอร์มขึ้นมาให้ได้ดีกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นซูม่า, คริสเตียนเซ่น หรือรูดิเกอร์ ที่ยังไม่หายเจ็บซักที
ฝั่งปืนใหญ่ อูไนโดนโจมตีตลอด ว่าไม่ยอมเสริมเซ็นเตอร์ฮาล์ฟคุณภาพเข้ามา ก็ต้องฝากความหวังไปกับลุยซ์ และโซคราติส แต่อย่างน้อยพวกเขาก็เห็นแนวโน้มที่ดี จากการกลับมาของโฮลดิ้ง และแชมเบอร์ส รวมถึงแบ็คที่หายเจ็บอย่าง เทียร์นี่ และเบเยริน ซึ่งน่าจะช่วยให้อะไรดีขึ้นบ้าง
ท้ายที่สุดแล้ว ผลงาน 8 นัดแรกของแต่ละทีม จะสะท้อนให้เห็นแนวโน้มของระยะทางที่เหลือ หรือจะเป็นแค่ภาพลวงตา ก็ไม่อาจมีใครทราบได้ เพราะยังเหลืออีกตั้ง 30 นัด ที่ต้องต่อสู้กันอย่างดุเดือด ไปอีกกว่า 7 เดือนเต็ม
แต่ละทีมมีหน้าทีทำผลงานของตัวเองให้ดีที่สุด และมาดูว่าเมื่อจบ 38 นัด แล้วพวกเขาจะไปอยู่ที่ตรงไหนบนตารางคะแนน ส่วนแฟนบอลอย่างเราๆ ท่านๆ ก็มีหน้าที่เชียร์กันต่อไป และต้องเชียร์แบบมีสติกันด้วยนะครับ
Picture : BBC, Metro, Planet Football, 90min, Forbes, Sky Sports, Premier League, Goal.com, Squawka, TEAMtalk, Liverpool FC