เป็นข่าวเตรียมปิดดีลคุมทีมชุดใหญ่ และทีมชุดยู-23 ของ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ในอนาคตอันใกล้ (เหลือรอการยืนยันเป็นทางการ หลังมีบางแหล่ง แจ้งว่ายังไม่มีการเซ็นสัญญากันอย่างถูกต้องครบถ้วน แม้สมาคมฟุตบอลจะโพสต์ยืนยันมั่นใจแล้วก็ตาม) สำหรับ “อากิระ นิชิโนะ” กุนซือชาวญี่ปุ่นวัย 64 ปี ซึ่งมีดีกรี เป็นถึงกุนซือที่พา “ซามูไร” ทีมชาติญี่ปุ่น ทะลุเข้าถึงรอบน็อคเอาต์ฟุตบอลโลก 2018 สำเร็จ
โดยก่อนที่เราจะไปวิเคราะห์กันต่อว่านิชิโนะ มีงานอะไรท้าทายที่จะทำต่อไปบ้าง หากต้องรับงานกุนซือช้างศึก เราขอแนะนำให้รู้จักที่มาที่ไปของกุนซือเลือดซามูไรรายนี้กันก่อน
นิชิโนะ เคยค้าแข้งมาก่อนในตำแหน่งมิดฟิลด์ ยุคปลาย 70 ไปจนแขวนสตัดท์ในปี 1990 โดยเขาเคยติดทีมชาติญี่ปุ่นด้วย ขณะยังเป็นนักศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ เริ่มจากการแข่งขันฟุตบอลโลก 1978 รอบคัดเลือก มีสถิติทีมชาติบันทึกไว้ 12 นัด
ในระดับสโมสร นิชิโนะค้าแข้งกับสโมสร “ฮิตาชิ” หรือปัจจุบันคือ “คาชิวะ เรย์โซล” เพียงสโมสรเดียว ลงเล่นทั้งในลีกสูงสุด (สมัยนั้นยังไม่ได้เรียกเจลีกจริงจัง) และลีกรอง รวมๆ แล้ว 143 นัด ยิงไป 29 ประตู
ถัดจากการแขวนสตัดท์ตอนอายุราว 35 นิชิโอะก็มีโอกาสได้คุมทีมชาติญี่ปุ่นชุดยู-20 และยู-23 ตามลำดับ ผลงานเด่นที่สุด หนีไม่พ้นการพาทีมชาติญี่ปุ่นชุดยู-23 เข้าไปเล่นในโอลิมปิก 1996 รอบสุดท้ายที่อเมริกา เป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี ของญี่ปุ่น
แม้พวกเขาจะไม่สามารถผ่านเข้าถึงรอบน็อคเอาท์ เพราะประตูได้เสียเป็นรองบราซิล กับไนจีเรีย แต่ซามูไรชุดเล็กของนิชิโนะ ก็ฝากผลงานการล้มบราซิล 1-0 ในการประเดิมสนาม หักปากกาเซียนทุกสำนัก จนถูกขนานนามนัดนั้นว่าเป็น “ปฏิหาริย์แห่งไมอามี่”
นักเตะในนัด “ล้มยักษ์” นัดนั้น ก็กลายมาเป็นนักเตะทีมชาติชุดใหญ่ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น โยชิคัตซึ คาวากูชิ, เทรูโยชิ อิโตะ (ผู้ยิงประตูชัยชนะบราซิล), ฮิเดโตชิ นากาตะ, โชจิ โจ ส่วนฝั่งบราซิลก็คับคั่งทั้ง ดิด้า, อัลเดเอียร์, โรแบร์โต้ คาร์ลอส, ฟลาวิโอ คอนไซเซา, ริวัลโด้, จูนินโญ่ พัลลิสต้า, โรนัลโด้
หลังจากนั้น นิชิโนะประเดิมคุมทีมระดับสโมสรครั้งแรกกับ “คาชิวะ เรย์โซล” ทีมที่เขารับใช้มาตลอดอาชีพค้าแข้ง โดยสามารถพาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยได้สำเร็จ ก่อนจะย้ายไปประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่กับ “กัมบะ โอซาก้า” พาทีมคว้าแชมป์เจลีก 1 สมัย, เอเอฟซี แชมป์เปียนส์ ลีก 1 สมัย, เอ็มเพอเรอร์ คัพ 2 สมัย
เกียรติประวัติส่วนตัว ก็ได้เป็นผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมของเจลีก 2 สมัย พร้อมกับเป็นผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมของสมาพันธ์ฟุตบอลของเอเชีย หรือเอเอฟซี ในปี 2008 ซึ่งเขาพากัมบะครองเจ้าสโมสรเอเชีย หลังชนะอดิเลด ยูไนเต็ด ทีมของออสเตรเลีย สำเร็จ
หลังจากย้ายไปคุม “วิสเซล โกเบ” และ “นาโกย่า แกรมปัส เอต” ในช่วงสั้นๆ ก่อนจะผันตัวเองไปรับงานผู้อำนวยการกีฬา และประธานเทคนิคของสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น ก็ได้รับงานท้าทายครั้งใหญ่ ในการเป็นกุนซือ “ขัดตาทัพ” ภายหลังทัพซามูไร ประกาศแยกทางกับกุนซือ “วาฮิด ฮาลิฮอดซิซ” ในเดือน เม.ย. ก่อนฟุตบอลโลก 2018 จะเริ่มแค่ 2 เดือน
นิชิโนะ เข้ามารับงาน ด้วยเวลาเตรียมตัวที่จำกัดมาก ก่อนที่ทัพซามูไร จะเดินทางสู่รัสเซีย ที่มีโคลอมเบีย, เซเนกัล และโปแลนด์ รออยู่ในรอบแบ่งกลุ่ม ที่สูสีที่สุด เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น
ทีมชาติญี่ปุ่นของนิชิโนะ เล่นได้อย่างมีระเบียบวินัย ความใจสู้ กับการยกระดับประสบการณ์ขึ้นมาของเหล่านักเตะที่ไปค้าแข้งต่างแดน ส่งผลให้พวกเขาพลิกล็อคล้มโคลอมเบีย 2-1 ตั้งแต่นัดแรก ก่อนจะเสมอเซเนกัล 2-2 และปิดท้ายด้วยการแพ้โปแลนด์ 0-1 ผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ เป็นอันดับ 2 ของกลุ่มได้สำเร็จ
ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ทัพซามูไรยังคงไม่หยุดสร้างเซอร์ไพรส์ ด้วยการออกนำหนึ่งในทีมตัวเต็งอย่างเบลเยี่ยม ไปถึง 2-0 แม้สุดท้ายจะทานการบี้ของ “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” ไว้ไม่ไหว พ่ายในนาทีสุดท้ายไป 2-3 แต่ก็ได้รับคำชื่นชมมากมายจากทั่วโลก
ก่อนที่นิชิโนะ จะก้าวลงจากตำแหน่ง ตามสัญญาที่ให้เขาดูแลแค่เพียงพาทีมไปฟุตบอลโลก แม้จะมีกระแสอยากให้ต่อสัญญากับเขาก็ตาม โดยเขาผันตัวเองกลับไปช่วยงานสมาคมญี่ปุ่นในตำแหน่งประธานเทคนิคตามเดิม
นิชิโนะ เคยกล่าวอย่างถ่อมตัวในการลาจากตำแหน่งกุนซือทีมชาติญี่ปุ่น ว่าเขาเพียงสานงานต่อจากฮาลิฮอดซิซ ที่ทิ้งมรดกอันล้ำค่าเอาไว้ พร้อมกับชื่นชมความพยายามของนักเตะที่ทำงานหนักมาตลอด ไม่ใช่แค่เพียง 64 วันที่เขาเข้ามาคุมทีม แต่เป็นระยะเวลาถึง 4 ปี นับจากตกรอบแบ่งกลุ่มที่ฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล
ข้อดีที่เราเห็นได้ชัดเจน จากผลงานของโดดเด่น ที่เขาพาทีมชาติญี่ปุ่น เกือบทะลุเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ก็คือ “ความเข้าใจในแทคติก” ในการพาทีมลงเล่นในแต่ละนัด
รูปแบบการเล่นที่รัดกุม มีระเบียบวินัยสูง และพร้อมจู่โจมด้วยการโต้กลับที่แม่นยำ เป็นอาวุธสำคัญที่ทีมสามารถเล่นงานโคลอมเบีย และเกือบจะทำให้ทีมม้ามืดมาแรงอย่างเบลเยี่ยมต้องน้ำตาตก
เรื่องของความเข้าใจในแทคติกเอง ก็ไม่ได้แค่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ดี และการรู้จักนักเตะที่ตัวเองมีอยู่ในมือ แต่มันยังมาจากความละเอียด ที่นิชิโอะยึดถือในการคุมทีมของเขามาตลอด
จุดนี้สอดคล้องกับเรื่องเล่าในการเตรียมทีมพาทีมชาติญี่ปุ่นชุดยู-23 ดวลแข้งกับบราซิล ในโอลิมปิก 1996 ซึ่งเขาส่งทีมงานชาวบราซิล ไปติดตามดูการเตรียมทีมทัพแซมบ้าของ “มาริโอ ซากาโล” แบบใกล้ชิด เก็บรายละเอียด ถึงขั้นเช็คหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวเกี่ยวกับการเตรียมทีมแบบรายวัน จนผลสุดท้าย นำมาสู่แผนการเล่นที่รัดกุม และการโต้กลับที่ล้มบราซิลลงได้แบบช็อคโลก
ความพิถีพิถันตรงจุดนี้ น่าจะช่วยให้เขาสามารถศึกษา และเฟ้นหานักเตะตามที่เขาต้องการได้ลงตัวกว่าสมัย “มิโลวาน ราเยวัช” ตามปัจจัยที่ “ช้างศึก” ต้องการคนที่ “เข้าใจ” ในคู่แข่ง และวงการฟุตบอลแบบไทย ซึ่งผมเคยเขียนในปัจจัยที่กุนซือใหม่ต้องมี เมื่อตอนโค้ชโต่ย และโค้ชโชค อำลาทีมไป (อยากย้อนไปอ่าน >> คลิกที่นี่ได้เลยจ้า <<)
นอกเหนือจากการทำความเข้าใจ และติดตามเรียนรู้ศึกไทยลีก นิชิโนะยังให้สัมภาษณ์ไว้ชัดเจน ว่าเขาต้องการดูภาพครอบคลุมไปถึงระดับยู-23 ด้วย เพราะเขาเชื่อว่านักเตะไทยมีศักยภาพ มีทักษะที่ดี ไม่ได้แตกต่างกับญี่ปุ่นมาก หากแต่ต้องเพิ่มเติม “สปิริต” ที่ขาดไป เพื่อยกระดับผลงานขึ้นมาสู้กับทีมระดับท้อปของเอเชีย
นิชิโนะยังยอมรับอีกว่า มันไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะพัฒนาทีมชาติไทยได้ก้าวกระโดดในช่วงเวลาสั้นๆ เขาต้องลงไปดูถึงระดับเยาวชนอย่างจริงจัง เขาจึงเสนอขอคุมทั้งชุดใหญ่ และชุดยู-23 ตั้งแต่แรก เพื่อให้การพัฒนาเกิดขึ้นต่อเนื่อง ทีละก้าว
ซึ่งก็ดูเหมาะสม หากจะใช้ประโยชน์จากประวัติการทำงาน ที่เขาเคยคุมทีมมาทั้งระดับเยาวชน และเคยเป็นประธานเทคนิคของสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม ไม่มีเวลาให้นิชิโนะศึกษา และเข้าใจระบบล่วงหน้ากันมากนัก เพราะทีม “ช้างศึก” มีรายการสำคัญรออยู่เพียบ ทั้งฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก, ซีเกมส์ 2019 (ทีมยู-23), ฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี
แฟนบอลทีมชาติไทยอย่างเราก็คงต้องคอยติดตามกันต่อ ว่าฝีมือของว่าที่กุนซือต่างชาติ ที่เป็นชาวเอเชียคนแรกในประวัติศาสตร์ของบ้านเรา จะช่วยยกระดับผลงาน และศรัทธาของ “ช้างศึก” ได้มากน้อยแค่ไหน
Picture : 90Min, ベースボール・マガジン社, iRONNA, Sanook, サッカーキング, J.League, FOX Sports Asia, Egypt Today, NBC Sports, The Telegraph, Bangkok Post, The Japan Times, Diario AS
คลิกอ่านบทความเกี่ยวข้อง >> โค้ชไทย หรือต่างชาติ? ปัจจัยอะไรควรใช้เลือกกุนซือช้างศึก?