บทสัมภาษณ์นักแสดงนำจากซีรีส์ Who’s By Your Side วิเวียน ซู (Vivian Hsu) และ ไคเซอร์ จวง (Kaiser Chuang) - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
บทสัมภาษณ์นักแสดงนำจากซีรีส์ Who’s By Your Side วิเวียน ซู (Vivian Hsu) และ ไคเซอร์ จวง (Kaiser Chuang)

1. ในเรื่องนี้คุณ Vivian Hsu รับหน้าที่ทั้งผู้ผลิตและนักแสดงด้วย คุณคิดว่าส่วนไหนยากที่สุด 

Vivian: ฉันคิดว่าความแตกต่างระหว่างผู้ผลิตและนักแสดงก็คือ ผู้ผลิตทำหน้าที่หาเงินทุน สร้างผลงานออกมาให้ดี สำหรับหน้าที่ของนักแสดงก็คือเก็บเงิน แสดงผลงานออกมาให้ดี สำหรับฉันคิดว่าส่วนที่ยากที่สุดน่าจะเป็นขั้นตอนการหาเงินทุน ต้องแบกรับความกดดันอยู่เบื้องหลัง รวมถึงเบื้องหน้าก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคและปัญหาต่างๆมากมาย ยกตัวอย่างเช่น ในระหว่างการเตรียมการถ่ายทำ การยืมสถานที่ถ่ายทำต่างๆอย่างโรงพยาบาลหรือบาร์ก็ค่อนข้างยาก อีกทั้งยังต้องแก้ไขปัญหาต่างๆเพื่อให้ผู้กำกับสามารถทำงานได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นค่ะ

2. ทั้งคู่เคยร่วมงานถ่าย MV ด้วยกันมาก่อนหน้านี้แล้ว การกลับมาร่วมงานกันในครั้งนี้มีความแตกต่างจากครั้งที่แล้วบ้างหรือไม่อย่างไร 

Kaiser: ผมคิดว่าค่อนข้างแตกต่างกันมากทีเดียว ขั้นตอนการถ่ายทำ MV จะค่อนข้างสนุกสนาน โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยได้แสดง MV ร่วมกับเพื่อนมากเท่าไหร่ ไม่เคยเต้นมาก่อน เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก การได้ร่วมงานกับ Vivian Hsu ในซีรีส์เรื่องนี้ เรื่องราวในซีรีส์จะค่อนข้างเรียล ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันค่อนข้างมากครับ 

Vivian: ตอนที่รู้ว่า Kaiser Chuang จะมารับบทเป็นสามีในซีรีส์เรื่องนี้ ก็รู้สึกค่อนข้างกังวล เพราะคาแรกเตอร์ที่เขาแสดงในเรื่องก่อนหน้านี้บุคลิกจะค่อนข้างดาร์ก จริงจังและซีเรียส ฉันจึงค่อนข้างกลัวและประหม่ามากว่าเขาจะเป็นคนที่เข้าถึงได้ยาก  แต่จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่นิสัยดีมาก เป็นผู้ชายที่ดี เป็นพ่อที่ดี เป็นนักแสดงที่ดี มีความตั้งใจและแสดงเก่งมาก ดังนั้นฉันรู้สึกดีใจมากที่ได้ร่วมงานกับเขา ฉันคิดว่าการแสดงของเขาจุดประกายให้ฉันเห็นการแสดงในรูปแบบที่ต่างไปจากเดิมของตัวฉันเอง จริงๆแล้วผู้กำกับก็ค่อนข้างให้อิสระกับพวกเราในการแสดง ชอบให้แสดงออกมาแบบตรงไปตรงมาและให้เราดีไซน์วิธีการแสดงออกต่างๆด้วยตัวของเราเอง นั่นก็ทำให้ฉันได้เห็นการแสดงในรูปแบบที่ไม่เหมือนเดิมของตัวเองค่ะ

Kaiser Chuang

3. อยากทราบว่าทำไมคุณ Vivian Hsu ถึงตกลงมารับหน้าที่เป็นผู้ผลิตเรื่องนี้ด้วย และอยากทราบว่าเหตุผลของคุณ Kaiser Chuang ที่รับแสดงซีรีส์เรื่องนี้คืออะไร 

Vivian: จริงๆแล้วตอนแรกผู้กำกับเหอรุ่นตงติดต่อฉันในฐานะนักแสดง ฉันคิดว่าส่วนตัวฉันเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น ตั้งแต่เมื่อก่อนที่ฉันรับงานแสดงฉันก็มักจะรับหน้าที่อื่นๆด้วยนอกเหนือจากการแสดง ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้ก็เหมือนเป็นโชคชะตา เพราะตอนแรกเขาติดต่อให้มาแสดงแต่ก็ได้มารับหน้าที่เป็นผู้ผลิตด้วย ฉันรู้จักกับเหอรุ่นตงมา 20 กว่าปีแล้ว แต่ไม่เคยร่วมงานกันมาก่อนเลย พอเขาติดต่อให้มาร่วมงานกับเขา ฉันรู้สึกดีใจมากทั้งยังเป็นห่วงเขาด้วย ฉันก็เลยถามเขาไปว่าเขาได้เงินทุนครบหรือยัง เขาบอกว่ายังได้ไม่ครบ ฉันก็ถามต่อว่าเขาต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า พอเขาบอกว่าอยากให้ช่วย ฉันเลยตอบเขากลับไปว่าจะพยายามช่วยหาเงินทุนในส่วนที่ยังขาดอยู่ หลังจากนั้นก็เลยกลายมามีส่วนร่วมในฐานะผู้ผลิตเรื่องนี้ด้วย

Kaiser:   ตอนที่ผู้กำกับติดต่อให้ผมมาแสดงเรื่องนี้ ผมก็ได้ยินมาว่ามีนักแสดงที่มีความสามารถหลายคนร่วมแสดงในเรื่อง ทั้งจางจวินหนิง เฉินเอินเฟิง และอีกหลายๆคน ผมจึงไม่มีความลังเลเลยที่จะตกลงร่วมแสดง และรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิดเลย จริงๆแล้วผมเพิ่งเคยได้ร่วมงานและได้รู้จักกับทุกคนอย่างเป็นทางการในเรื่องนี้เป็นครั้งแรก แต่ความรู้สึกเหมือนผมกับผู้กำกับเหอรุ่นตงรู้จักกันมานานกว่า 20 ปีแล้ว เป็นความรู้สึกที่ดีมากครับ

4. ตัวละคร Yong-Jie กับ ตัวจริงของ Vivian Hsu มีส่วนที่เหมือนกันบ้างหรือไม่

Vivian: ฉันคิดว่ามีส่วนที่เหมือนกัน เพราะฉันเป็นคนเป็นคนที่ทำงานอย่างเต็มที่สุดแรงกำลังตั้งแต่เด็กๆ ฉันเป็นคนที่ดูแลหาเลี้ยงครอบครัว เป็นเสาหลักของบ้าน ดังนั้นเพื่อความเป็นอยู่อย่างสุขสบายของครอบครัว ฉันสามารถทำงานสองอย่างได้สบายไม่มีปัญหา เป็นคนที่ไม่คร่ำครวญและทำอะไรก็ทำอย่างจริงจังในทุกๆเรื่อง ตัวละคร Yong-Jie ในซีรีส์เคยพูดว่า “ทุกปัญหาล้วนมีทางออก” ส่วนตัวฉันเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันว่า “ถ้าเจอปัญหาก็แก้ไข”

Kaiser: ผมคิดว่าในเรื่องนี้ ตัวละคร Yong-Jie ดูแล Zhi-Sheng เหมือนดูแลเด็กเล็กๆเลย ทั้งๆที่เขาก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว จากที่ผมรู้จักกับวิเวียน ซู มา เธอเป็นคนที่ทำงานมาหลากหลายบทบาทมาก เป็นทั้งนักร้อง นักแสดง นักเขียน นอกจากนี้ยังเป็นภรรยา เป็นแม่ เพียงแค่นี้เธอก็น่าจะยุ่งมากๆแล้ว แต่เธอก็ยังทุ่มเทดูแลคนรอบข้างและเพื่อนทุกคนที่เธอรู้จักเหมือนเป็นคนในครอบครัวของตัวเอง ผมคิดว่าส่วนนี้เป็นส่วนที่เหมือนกับตัวละคร Yong-Jie ในเรื่องมากที่สุด เธอเป็นคนที่ชอบดูแลคนอื่น

5. ตัวละคร Zhi-Sheng กับ ตัวจริงของ Kaiser Chuang มีส่วนที่คล้ายหรือเหมือนกันบ้างหรือไม่ เราได้ยินมาว่าตอนที่คุณอ่านบท คุณรู้สึกซาบซึ้งจนถึงกับร้องไห้ อยากทราบว่าส่วนไหนในเรื่องที่ทำให้คุณประทับใจเช่นนั้น

Kaiser: ไม่ขนาดนั้นหรอก ผมคิดว่าผมแค่เป็นคนที่เซนซิทีฟมาก ตอนแรกผู้กำกับ Peter Ho นัดผมที่ร้านกาแฟเพื่อคุยเกี่ยวกับซีรีส์เรื่องนี้ สิ่งที่เขาพูดถึงเกี่ยวกับเนื้อเรื่องในซีรีส์มีหลายส่วนที่ทำให้ผมซาบซึ้งและประทับใจ สิ่งที่เขาเล่าเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของเขา ผมคิดว่าตัวผู้กำกับเองเขาเริ่มต้นจากการเป็นนักแสดง เขาจึงแสดงออกและถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้ดี ตอนที่เขาพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา เขาอยู่ในวัยที่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของความสัมพันธ์และปัญหาที่แท้จริงระหว่างสามีภรรยา ผมจำได้ว่าตอนที่เราพูดคุยกันเรื่องนี้ เขาเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน ผมคิดว่าผู้กำกับท่านอื่นที่ไม่เคยเป็นนักแสดงมาก่อน เวลาพวกเขาอธิบายต้องใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าที่พวกเราจะเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อออกมา แน่นอนว่าแต่ละคนก็มีจุดเด่นไม่เหมือนกัน แต่สำหรับ Peter เขามองในมุมมองของนักแสดงเลยทำให้เรารู้สึกซาบซึ้งและประทับใจในสิ่งที่เขาพูดถึง ผมเลยอยากร่วมงานกับเขาและคิดว่าผลงานที่ออกมาน่าจะเป็นผลงานที่น่าประทับใจอีกชิ้นหนึ่งเลยครับ

6. ในซีรีส์เรื่องนี้คุณ Vivian Hsu รับหน้าที่ 2 อย่างคือเป็นทั้งผู้ผลิตและนักแสดง อยากทราบว่าคุณมีความพึงพอใจในหน้าที่ไหนมากกว่ากัน

Vivian: ฉันคิดว่าฉันน่าจะพอใจกับการเป็นนักแสดงมากกว่า เพราะว่าปกติฉันใช้เวลาทำอะไรหลายๆอย่างในแต่ละวันค่อนข้างรวดเร็ว ตอนที่ฉันรับงานแสดง ฉันรู้สึกว่ามันเหมือนเป็นการให้ตัวเองได้มีเวลาพักผ่อนบ้างและก็เหมือนได้เข้าไปอยู่ในโลกของคนอื่น เพราะฉันใช้ชีวิตในแต่ละวันเหนื่อยมาก ฉันต้องเป็นทั้งภรรยา แม่ นักร้อง นักแสดง และต้องทำอะไรหลายๆอย่างในหนึ่งวัน ตอนที่ฉันเป็นนักแสดง ทุกคนอาจจะคิดว่าฉันทำงานเหนื่อยมาก แต่ฉันกลับมองว่ามันเป็นการให้ตัวของฉันเองได้หยุดพัก ฉันรู้สึกมีความสุขมากในการทำงานตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสิ้นสุดการถ่ายทำในแต่ละเรื่อง ฉันพึงพอใจกับผลงานมาก ส่วนการรับหน้าที่เป็นผู้ผลิตนั้นต้องเผชิญหน้ากับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าต่างๆ และค่อนข้างมีความกดดันสูงมากค่ะ 

7. ซีรีส์เรื่องนี้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับปัญหาต่างๆในชีวิตคู่ คุณทั้งสองคนต่างก็แต่งงานแล้ว ไม่ทราบว่ามีส่วนไหนในเรื่องที่เหมือนกับชีวิตคู่ในชีวิตจริงของคุณบ้างและคุณได้เรียนรู้อะไรจากซีรีส์เรื่องนี้บ้าง

Kaiser: จริงๆแล้วผมก็เคยคิดเรื่องนี้ โดยเฉพาะตอนที่ซีรีส์ใกล้จะออกอากาศ ผมคิดว่าความท้าทายของการใช้ชีวิตคู่ซึ่งน่าจะเป็นกันหลายๆคู่ก็คือเราจะเริ่มไม่สนใจและละเลยเรื่องเล็กๆน้อยๆของอีกฝ่าย พอมีปัญหาเกิดขึ้นปัญหาต่างๆมันก็จะค่อยๆเริ่มสะสม นั่นก็ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าเราต้องพูดคุยสื่อสารกันตลอดเวลาและปรับความเข้าใจกันทันที ผมมักจะมองว่าภรรยาของผมไม่ใช่ภรรยาแต่เป็นแฟนเก่า เพราะว่าคุณจะสามารถพูดคำว่า ขอบคุณหรือขอโทษได้ง่ายกว่า แต่พอกลายมาเป็นคนในครอบครัวแล้วเราอาจจะละเลยคำพูดง่ายๆหรือสิ่งต่างๆนี้ไปเพราะคิดว่าเป็นคนกันเอง ดังนั้นสิ่งที่ผมเรียนรู้จากเรื่องนี้คือการใช้ชีวิตคู่เราต้องพูดคุยสื่อสารกันตลอดเวลา ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดี ทุกคนลองเอาวิธีนี้ไปใช้ดูได้นะครับ

8. มีตอนหนึ่งในซีรีส์ที่ต้องปะทะอารมณ์กันค่อนข้างรุนแรงรวมถึงต้องใช้อารมณ์ค่อนข้างมาก อยากทราบว่าตอนที่ต้องถ่ายทำฉากแบบนี้พวกคุณมีวิธีการสื่อสารกันอย่างไรและบรรยากาศในการถ่ายทำเป็นอย่างไรบ้าง

Kaiser: ผมจะทำเหมือนว่าตรงนั้นไม่มีผู้กำกับ ทำเหมือนเป็นการแสดงบนเวที เพราะถ้ามีหลายๆคนอยู่ในฉากที่ถ่ายทำอาจจะทำให้เราวอกแวกได้ ดังนั้นเขาก็จะปล่อยให้เราแสดงตามสบาย ตอนที่แสดงคุณต้องเชื่อว่าอีกฝ่ายคือภรรยาของคุณและคุณคือตัวละครที่อยู่ในเรื่อง พวกเราจะรู้มุมและลำดับว่าใครจะต้องอยู่ตรงไหนและเดินไปทางไหน ต้องทำอะไรต่อจากนั้น หลังจากนั้นก็แสดงไปตามอารมณ์ของเราเลย ผมคิดว่าจุดเด่นของผู้กำกับคือเขาจะค่อนข้างเข้าใจอารมณ์ในแต่ละฉาก ยกตัวอย่างเช่น เขาจะเล่าและอธิบายให้เราฟังว่าเรื่องราวเป็นยังไง พร้อมกับเปิดเพลงให้พวกเราฟังไปพร้อมกันว่าเขาตั้งใจจะใช้เพลงนี้เป็นเพลงประกอบของซีนนี้นะ มันช่วยทำให้เราสามารถเข้าถึงอารมณ์ได้มากขึ้น และอีกอย่างคือเขาก็ค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวพวกเรามาก

Vivian: เวลาที่เราต้องถ่ายทำซีนหนักๆยากๆ ผู้กำกับจะไม่ได้กำกับอะไรเรามาก เขาคิดว่าอารมณ์ที่พวกเราแสดงออกมาในครั้งแรกจะเป็นอะไรที่เรียลที่สุด ไม่อยากไปขัดขวางวิธีการการแสดงของเรา เพราะว่าบางฉากเราต้องถ่ายทำหลายๆรอบ แต่ถ้าเป็นซีนหนักๆ ผู้กำกับก็จะพยายามให้เราใส่อารมณ์ให้เต็มที่และแสดงให้ผ่านภายในเทคเดียวเลย ฉันคิดว่าอาจจะเป็นเพราะว่าผู้กำกับก็เคยเป็นนักแสดงมาก่อน เป็นจุดเด่นของเขา ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่มีอารมณ์ละเอียดอ่อนมาก รู้วิธีในการสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเราในหลากหลายรูปแบบค่ะ

Vivian

9. ตัวละครสามีของคุณ Vivian Hsu ในเรื่องค่อนข้างเป็นคนไม่เอาไหน ทั้งเล่นการพนัน ดื่มเหล้า คุณคิดว่าทำไม Yong-Jie ถึงยอมรับได้ว่าเขาเป็นสามีของคุณ

Vivian:     จริงๆแล้วเขาก็ไม่ใช่คนที่ไม่ดีนะ เพราะฉันคิดว่า Yong-Jie ในเรื่องเลือกที่จะอยู่กับเขา ไม่ทอดทิ้งเขาน่าจะเป็นเพราะว่าเธอรู้จัก Zhi-Sheng เป็นอย่างดีตั้งแต่ตอนที่เขาประสบความสำเร็จจนกระทั่งในตอนที่เขาล้มเหลว เธอรู้ว่าเขาก็เป็นคนดีคนหนึ่ง และเธอก็รู้ถึงจุดเริ่มต้นของการเล่นพนันซึ่งนั่นทำให้เขาเปลี่ยนเป็นคนที่ไม่ดี รวมถึงเธอก็รู้ว่าสามีของเธอมีความหวังในการเล่นพนันว่าเขาจะสามารถชนะพนันได้สักครั้งเพื่อให้ภรรยาและลูกของเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จริงๆแล้วซีรีส์เรื่องนี้ต้องดูไปจนถึงตอนจบ คุณจะพบว่า Zhi-Sheng เขามีการพัฒนาขึ้น เขาเป็นคนดี ตอนที่ฉันแสดงซีรีส์เรื่องนี้เหมือนเป็นการสะท้อนถึงชีวิตของตัวเอง เพราะว่าพ่อของฉันก็เป็นแบบนี้ พ่อแม่ของฉันหย่ากันตั้งแต่ฉันอายุ 3 ขวบ ตอนนั้นก็เป็นเพราะว่าพ่อล้มเหลวทางธุรกิจ ติดการพนัน ส่วนแม่ของฉันก็เหมือนกับ Yong-Jie ในเรื่องเลยคือทำงานสองอย่างพร้อมกัน รวมถึงดูแลบ้าน อดทนและรักพ่อของฉันมาก พ่อแม่ของฉันเหมือนกับตัวละคร Zhi-Sheng และ Yong-Jie ในเรื่องเลย แม่ของฉันก็เป็นคนที่ไม่โอดครวญ ทุกวันก็ขยันและตั้งใจทำงานพร้อมทั้งดูแลบ้าน แม่รู้ถึงมุมที่น่ารักของพ่อและรู้ว่าพ่อเป็นคนดี แต่ว่าอาจจะใช้วิธีที่ผิดในการแก้ปัญหา

Kaiser:    ผมคิดว่าคู่รักแบบนี้พื้นฐานความรักพวกเขาก็คือยังมีความรักให้กันอยู่ แต่พอเกิดปัญหาขึ้นก็มีวิธีการรับมือกับปัญหาที่แตกต่างกัน ไม่สื่อสารกัน 

10. ซีรีส์เรื่องนี้เป็นซีรีส์ที่ค่อนข้างดาร์ก อยากทราบว่าบรรยากาศในการถ่ายทำเป็นอย่างไรบ้าง เพราะผู้กำกับเหอรุ่นตงก็เป็นคนค่อนข้างอบอุ่น

Kaiser:  บรรยากาศในการถ่ายทำค่อนข้างมีความสุขมาก ทุกๆวันในกองถ่ายก็มักจะมีเพื่อนๆแวะมาเยี่ยมเยียน เป็นบรรยากาศที่ดีและอบอุ่นมาก เหมือนเป็นการรวมญาติกันในวันตรุษจีน ผมคิดว่าบรรยากาศเหล่านี้มันช่วยทำให้พวกเรารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเวลาที่ต้องถ่ายทำฉากที่ค่อนข้างซีเรียส

11. ในซีรีส์เรื่องนี้ผู้กำกับรวมถึงตัวของคุณเองมีความคาดหวังอย่างไรบ้าง

Vivian: ฉันไม่แน่ใจว่าผู้กำกับมีความคาดหวังอย่างไรบ้าง สำหรับฉันรู้สึกว่าความคาดหวังของแต่ละคนไม่เหมือนกันและไม่เท่ากัน สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่ผู้ชมชื่นชอบซีรีส์เรื่องนี้ และหลังจากที่ผู้ชมดูจบแล้วจะได้รับรู้ถึงสิ่งที่เราต้องการจะถ่ายทอดและแสดงออกไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิตหรือชีวิตการแต่งงาน สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดค่ะ และฉันก็หวังว่าผู้กำกับจะได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมอีกครั้งด้วยค่ะ

Kaiser: พวกเราตั้งใจทำอย่างเต็มที่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้และหวังว่าผู้ชมจะชื่นชอบผลงานของพวกเราครับ

12. การที่คุณ Vivian Hsu ได้ร่วมงานกับผู้กำกับ Peter Ho ในเรื่องนี้ ทำให้คุณอยากลองทำหน้าที่ผู้กำกับบ้างไหม

Vivian: ฉันไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยค่ะ ฉันคิดว่าการเป็นผู้กำกับเป็นงานที่หนักและลำบากมาก มีสิ่งที่ต้องเรียนรู้และดูแลในทุกส่วน ทั้งนักแสดง ทีมกล้อง ทีมไฟ ทีมเสื้อผ้า ช่างแต่งหน้า รวมถึงการตัดต่อ ฉันคิดว่าฉันยังต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยค่ะ จากลักษณะนิสัยส่วนตัวของฉันที่ชอบดูแลคนอื่น ทำให้ฉันสามารถเป็นผู้ผลิตได้ง่ายกว่า แต่การเป็นผู้กำกับต้องอาศัยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมาก ฉันคิดว่าตัวเองยังไม่มีความสามารถมากพอค่ะ

13. คุณ Kaiser Chuang ได้ร่วมงานกับทาง HBO ในเรื่องนี้ซึ่งเป็นเรื่องที่ 2 แล้ว คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง รวมถึงมีคนบอกว่าคุณกลายเป็นลูกรักของ HBO ไปแล้ว

Vivian: ถ้าดูจากอายุของเขาแล้ว เขาน่าจะเป็นพ่อของ HBO มากกว่า (หัวเราะ)

Kaiser: ตอนที่ถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้ ผมไม่ค่อยทราบรายละเอียดพวกนี้เท่าไหร่ ผมยังไม่รู้เลยว่าพวกเราจะได้ร่วมงานกับทาง HBO ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะโชคชะตาด้วย ผมรู้สึกดีใจมากเพราะว่า HBO เป็นแพลตฟอร์มระดับโลก ผมเลยรู้สึกว่าเยี่ยมมากเลยที่จะได้ถ่ายทอดเรื่องราวให้ผู้ชมจากทั่วโลกได้รับชม ได้เห็นความแตกต่างระหว่างเรื่องนี้และเรื่องก่อนหน้านี้ที่ผมแสดง เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถตัดสินใจเองได้แต่พอได้ยินว่าจะฉายทาง HBO ก็รู้สึกดีใจและเป็นเกียรติมาก ขอบคุณมากครับ 

Vivian: ฉันรู้สึกโชคดีมาก สำหรับซีรีส์เรื่องที่แล้วที่ฉายทาง HBO กับเรื่องนี้จะแตกต่างกันมาก เป็นคนละแนวกันเลย อย่างเรื่องที่แล้ว Dream Raider จะเป็นซีรีส์แนวไซไฟซึ่งฉันไม่เคยแสดงแนวนี้มาก่อนเลย เป็นโปรเจคที่ใหญ่มาก ส่วนเรื่องนี้พอฉันรู้ว่าซีรีส์จะได้เข้าฉายทาง HBO อีก ก็รู้สึกดีใจและต้องขอบคุณทาง HBO มากที่สนับสนุนผลงานของพวกเรา หวังว่าฉันจะโชคดีและได้รับโอกาสที่ดีแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆนะคะ (หัวเราะ)

Kaiser

14. ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าบทบาทของตัวละครในเรื่องมีส่วนที่คล้ายกับเรื่องในชีวิตจริงของคุณ ตอนที่คุณแสดงได้ใส่อารมณ์ความรู้สึกของตัวเองลงไปในการแสดงด้วยหรือไม่ รวมถึงมีส่วนไหนที่ทำให้คุณประทับใจจนสัมผัสได้ถึงเรื่องของตัวเองบ้างไหม

Vivian: มีฉากหนึ่งบนรถบัสที่ฉันต้องร้องไห้ ปกติฉันจะไม่ค่อยร้องไห้ ตอนที่ถ่ายฉากนั้นฉันร้องไห้ไม่ออกและก็รู้สึกเข้าถึงตัวละครยากมาก เพราะว่าการจราจรวันนั้นติดขัดมาก รวมถึงบรรยากาศข้างนอกถนนก็เสียงดังมาก ทำให้ฉันไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกมาได้ หลังจากนั้นฉันเลยเรียกผู้กำกับเหอรุ่นตงให้เข้ามาช่วย เขาก็มาเล่าเรื่องข้างๆหูฉัน เพราะว่าตอนนั้นพ่อของฉันเพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน เขากระซิบข้างหูฉันว่า “คุณพ่อของคุณคงจะสบายใจและวางใจแล้ว น้องชายของคุณก็เก่งขึ้นเรื่อยๆเลย คุณไม่จำเป็นต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบของที่บ้านไว้คนเดียวอีกต่อไปแล้ว น้องชายก็โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะแล้ว” เขาพูดเรื่องประมาณนี้ไปเรื่อยๆ เขาบอกว่าเขาแต่งเพลงให้พ่อของฉันด้วย ชื่อเพลง ‘别人 (Other Person)’ คุณลองฟังดูนะ แล้วเขาก็ร้องเพลงนี้ให้ฉันฟัง หลังจากนั้นไม่นานน้ำตาของฉันก็ไหลออกมาเองเลย เรื่องราวของซีนนั้นในเรื่องคือฉันต้องรับสายจากพ่อสามีที่โทรมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบว่าเป็นยังไงบ้าง ซึ่งประจวบเหมาะกับที่ผู้กำกับพูดถึงเรื่องพ่อของฉันพอดี ฉันเลยรู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงและซีนนั้นก็กลายเป็นซีนที่ฉันรู้สึกประทับใจมาก และต้องขอบคุณผู้กำกับมากค่ะ แต่ว่าฉากที่ Kaiser ค้นเจอไดอารี่ก็สุดยอดมาก

Kaiser: ผมก็คิดว่าฉากนั้นของ Vivian Hsu ยอดเยี่ยมมากจริงๆครับ สำหรับตัวผมฉากที่ผมค้นหาไดอารี่ของภรรยา หลังจากที่ผมหาเจอแล้วข้อความที่อยู่ในนั้นน่าสนใจมาก เพราะว่าตอนที่ถ่ายทำฉากนั้น ผู้กำกับเอาไดอารี่มาเขียนข้อความลงไปในนั้นแต่ว่าเขายังไม่ให้ผมดูว่าเขาเขียนอะไรลงไปบ้าง พอถึงตอนถ่ายทำ ผมก็ได้เห็นว่าข้อความในไดอารี่นั้นไม่ใช่ข้อความบอกรักทั่วๆไปอย่าง ‘ผมรักคุณ’ แต่กลับเป็นบันทึกประจำวันว่าแต่ละวันใช้จ่ายอะไรไปเท่าไหร่บ้าง ค่าน้ำค่าไฟเท่าไหร่ รวมถึงปัญหาชักโครกตันที่ Zhi-Sheng ชอบบ่นบ่อยๆในเรื่อง ในไดอารี่เล่มนั้นก็มีวิธีแก้ปัญหาชักโครกตันเขียนไว้ด้วย ซึ่งผมมองว่ามันเป็นข้อความที่เรียลมากของการใช้ชีวิตคู่ ทำให้ผมรู้สึกอินและสามารถเข้าถึงตัวละครได้ง่าย ผมคิดว่าถ้าย้อนกลับไปสัก 5 หรือ 10 ปีก่อนตอนที่ผมยังไม่มีครอบครัว ผมอาจจะไม่ได้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมมากขนาดนั้น ผมมองว่ามันก็เหมือนกับการที่เราฟังเพลง ถ้าเราฟังเพลงนั้นซ้ำๆทุกวัน เนื้อเพลงหรือความหมายต่างๆในเพลงมันก็จะซึมซับเข้ามาทำให้เราเข้าใจและจำได้เองโดยอัตโนมัติครับ

15. ก่อนหน้านี้ที่คุณบอกว่าบทบาท Yong-Jie ในซีรีส์คล้ายกับคุณแม่ของคุณ Vivian Hsu ในชีวิตจริงเวลาที่คุณต้องเจอกับปัญหา คุณมีวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างไร

Vivian: ฉันเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 14 ปี ฉันมีความคล้ายกับตัวละคร Yong-Jie ในเรื่องที่พูดว่า “ทุกปัญหาล้วนมีทางออก” ในชีวิตจริงเมื่อฉันเจอกับปัญหาก็หาวิธีแก้ปัญหา ฉันไม่ใช่คนประเภทที่จะมานั่งโอดครวญหรือว่าน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะว่าในแต่ละวันฉันจะยุ่งมากและมีเรื่องที่ต้องทำหลายอย่าง จนไม่มีเวลามาคิดเล็กคิดน้อยและฉันมองว่าการทำอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ช่วยให้ปัญหาคลี่คลายได้ ฉันเป็นคนที่ใช้ชีวิตในแต่ละวันค่อนข้างรวดเร็ว ถ้ามีปัญหาก็เผชิญหน้าและแก้ไขให้จบเป็นเรื่องๆเลย เพื่อที่ฉันจะได้มีเวลามาทำเพลง รับงานแสดง เป็นภรรยา เป็นแม่ และทำหลายๆหน้าที่ในหนึ่งวัน ฉันรู้สึกว่ามุมนี้ของฉันค่อนข้างเหมือนผู้ชาย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมด้วย เนื่องจากพ่อแม่ของฉันหย่ากันตั้งแต่ยังเด็ก ฉันเลยต้องเริ่มทำงานเพื่อเป็นเสาหลักในการเลี้ยงดูครอบครัว ดังนั้นฉันเลยไม่มีเวลามานั่งคิดเรื่องเพ้อฝันหรือทำอะไรตามอำเภอใจได้ค่ะ

16. พวกคุณคิดว่าเหตุผลที่ต้องดูซีรีส์ Who’s By Your Side คืออะไร

Vivian: เหตุผลที่ต้องดูก็เพราะว่าฉันแสดงเรื่องนี้ค่ะ (หัวเราะ)

Kaiser: เป็นเหตุผลที่ตรงประเด็นมากครับ (หัวเราะ) ผมคิดว่าซีรีส์ Who’s By Your Side เป็นเรื่องที่ค่อนข้างให้คำจำกัดความหรือคำนิยามยาก เรื่องนี้ถ่ายทอดมุมมองความดาร์ก ความลึกลับ พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ ความรัก การแต่งงาน รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก ผมเชื่อว่าทุกคนถ้าได้ดูเรื่องนี้แล้วจะพบส่วนที่สามารถเชื่อมโยงกับชีวิตจริงของคุณที่คุณจะสามารถสัมผัสและรับรู้ได้ เมื่อดูเรื่องนี้จบแล้วผู้ชมน่าจะได้ข้อคิดรวมถึงพลังในการใช้ชีวิตต่อไปครับ

17. อยากทราบว่าชีวิตคู่ในชีวิตจริงของคุณ Vivian Hsu มีส่วนไหนที่เหมือนในซีรีส์บ้างหรือไม่อย่างไร ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย 

Vivian: ฉันชอบที่จะใช้ชีวิตอย่างสวยงามและหวังว่าชีวิตของฉันจะมีสีสัน ฉันกลัวว่าการที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรอบมากเกินไปมันจะทำให้คุณรู้สึกคุ้นเคยจนทำให้หมดอารมณ์ความรู้สึกไป ฉันมักจะพูดกับตัวเองอยู่บ่อยๆว่า อย่าทำอะไรที่ตัวเองถนัดหรือเคยชินมากเกินไปเพราะมันจะทำให้ตัวคุณเองมีความสุขในการใช้ชีวิตน้อยลง ดังนั้นสำหรับความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ ฉันมักจะมองคู่ชีวิตของฉันเหมือนเป็นพี่น้อง บางครั้งฉันก็ทำตัวเหมือนเป็นแม่ของเขา เหมือนในเรื่องที่ Yong-Jie ดูแล Zhi-Sheng ซึ่งก็เหมือนกับความเป็นแม่ที่รักลูกมาก ถึงแม้ว่าจะโกรธแค่ไหนแต่คุณก็จะไม่มีวันหนีหรือทอดทิ้งเขา สำหรับตัวฉันเองฉันคิดว่าการเปลี่ยนบทบาทของตัวเองในรูปแบบที่หลากหลายเป็นเรื่องที่สำคัญในการใช้ชีวิตคู่ ส่วนเรื่องความเหมือนหรือความต่าง ฉันคิดว่าชีวิตครอบครัวในเรื่องกับในชีวิตจริงของฉันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย อย่างแรกคือลูกสาวฉันก็ไม่ได้หนีออกจากบ้าน (หัวเราะ) สามีก็ไม่ได้ติดการพนัน ดังนั้้นส่วนที่เหมือนกับ Yong-Jie ในเรื่องก็คือฉันเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆค่ะ

18. ครั้งนี้ที่คุณ Vivian Hsu เดินทางจากสิงคโปร์มาไต้หวัน นอกจากจะมาร่วมงานเปิดตัวซีรีส์เรื่องนี้แล้ว ยังมีผลงานอื่นๆอีกด้วยหรือไม่ รวมถึงตอนนี้ลูกของคุณก็ยังอยู่ที่สิงคโปร์ คุณคิดถึงเด็กๆหรือมีผลกระทบอะไรบ้างหรือไม่

Vivian: คิดถึงมากๆเลยค่ะ ฉันคิดว่าสถานการณ์โควิดครั้งนี้ทำให้คนทั้งโลกต่างได้รับผลกระทบและอาจรู้สึกเบื่อหน่าย เมื่อก่อนฉันจะแบ่งเวลาแต่ละอย่างให้เท่าๆกัน ในหนึ่งเดือนฉันจะทำงานสองอาทิตย์ ส่วนอีกสองอาทิตย์จะอยู่บ้านกับครอบครัว ซึ่งคิดว่ามันค่อนข้างจะลงตัวมากๆ แต่ว่าด้วยสถานการณ์แบบนี้ฉัน ต้องแยกกันกับพวกเขานานขึ้น ดังนั้นเวลาต้องออกมาทำงานก็อยากจะรีบทำงานให้เสร็จเพื่อจะได้บินกลับไปหาพวกเขา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าฉันต้องออกมาทำงาน 2-3 เดือน พอฉันบินกลับไปฉันก็จะใช้เวลาอยู่กับครอบครัว 2-3 เดือนเช่นกันเพื่อความสมดุล ตอนนี้ตารางงานของฉันค่อนข้างสำคัญมาก ฉันต้องแพลนล่วงหน้าอย่างน้อยครึ่งปี อย่างเช่นลูกของฉันจะต้องเข้าโรงเรียนในเดือนหน้าแล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาจะต้องเจอกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ  ฉันจึงอยากจะใช้เวลาอยู่กับเขาในช่วง 1-2 เดือนแรกที่เขาจะต้องปรับตัว ดังนั้นหลังจากฉันทำงานในรอบนี้เสร็จ ฉันก็จะต้องกลับไปอยู่กับพวกเขา ผู้จัดการของฉันก็จะค่อนข้างลำบากเพราะต้องแพลนทุกสิ่งทุกอย่างไว้ล่วงหน้า 

ฉันบอกกับครอบครัวเสมอว่าในสถานการณ์แบบนี้มีหลายคนที่ไม่มีงานทำ ถ้าฉันมีโอกาสที่จะได้ทำงาน ฉันก็จะตั้งใจทำงานให้เต็มที่ที่สุด ฉันเชื่อว่าสถานการณ์โควิด-19 ครั้งนี้จะทำให้พวกเราแข็งแกร่งขึ้นและก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันนะคะ ฉันกลับมาไต้หวันรอบนี้ก็มีถ่ายโฆษณา 5-6 ชิ้น หลังจากนั้นก็มีงานเปิดตัวซีรีส์ Who’s By Your Side เดือนตุลาคมฉันจะปล่อยเพลงใหม่อีก 2 เพลง และยังมีอีกหนึ่งงานที่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ซึ่งทุกคนน่าจะได้ชมผลงานกันในเดือนหน้า และก็ยังต้องเตรียมงานใหญ่สำหรับปีหน้าซึ่งยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้เช่นกันค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ

19. จากที่คุณ Kaiser Chuang ได้เคยพูดก่อนหน้านี้ว่าซีรีส์เรื่องนี้เป็นการรับบทบาทที่สมบูรณ์แบบที่สุดของคุณ อยากทราบว่าส่วนที่ยากที่สุดของเรื่องนี้คืออะไร

Kaiser: ผมคิดว่าส่วนที่ยากที่สุดของการรับบท Zhi-Sheng ในเรื่องนี้ก็คือรายละเอียดของตัวละคร เนื่องจากเขาเป็นคนที่ผ่านทั้งจุดสูงสุดและจุดล้มเหลวในชีวิต นั่นคือเหตุผลข้อแรก สำหรับเหตุผลที่สองคือบทในเรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องก่อนหน้านี้ที่ผมแสดงมาก ผมมักจะได้รับบทผู้ชายแข็งแกร่ง แต่ในเรื่องนี้ผู้กำกับ Peter Ho ก็ช่วยให้ผมค้นพบมุมที่อบอุ่นและอ่อนโยน อยากให้ทุกคนรอติดตามชมซึ่งผมก็ตั้งตารอคอยเช่นกันครับ

20. อยากให้ช่วยพูดถึงการร่วมงานกับจางจวินหนิงหน่อย มีความประทับใจอย่างไรบ้าง

Vivian: ฉันพูดได้แค่ว่าฉันสงสารจวินหนิงมาก เพราะมีฉากหนึ่งผู้กำกับให้จวินหนิงที่ผอมมากๆมาแบกฉันซึ่งหนัก 53 กิโลขึ้นบันไดมากกว่า 3 ชั้น และผู้กำกับต้องการความสมจริง เธอต้องแบกฉันหลายรอบมาก และเธอก็ผอมมากๆ ฉันเห็นท่าทางของจวินหนิงตอนนั้นก็รู้ว่าเธอต้องลำบากมากจนเธอเองก็อยากหัวเราะออกมาแต่ก็กลัวว่าฉันจะเสียใจ เธอไม่อยากให้ฉันรู้สึกว่าฉันตัวหนักมาก นี่เป็นเรื่องที่ฉันจะไม่ลืมเลย ฉันเลยปลอบเธอว่าฉันอยากให้เธอได้รับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมก็เลยต้องกินเยอะขึ้นเพื่อที่เธอจะแสดงออกมาได้อย่างสมจริงยังไงล่ะ (หัวเราะ)

Kaiser: ในเรื่องนี้ผมได้เข้าฉากกับเธอไม่กี่ฉาก แต่ว่าลักษณะภายนอกของเธอเป็นคนที่สวยสง่า อ่อนโยนและอัธยาศัยดี ผมอยากให้ทุกคนรอติดตามตัวละครที่เธอแสดง ผมคิดว่าการแสดงของเธอมันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาก รวมถึงในเรื่องตัวละครของผมทำให้เธอรู้สึกขุ่นเคืองเพราะว่าผมทำตัวไม่ดีกับพี่สาวของเธอ เธอจึงไม่ชอบและเกลียดผม ตอนที่เข้าฉากร่วมกับเธอ ผมจะเห็นสายตาอันอ่อนหวานของเธอค่อยๆเปลี่ยนเป็นสายตาที่ดุดันและแข็งกร้าวเมื่อเธอแสดงบทที่เธอโมโห พอหลังจากถ่ายทำเสร็จสายตาของเธอก็กลับมาอ่อนโยนพร้อมกับพูดคุยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานเช่นเดิม รวมถึงเธอเป็นคนที่ใส่ใจคนรอบข้างมากๆครับ

Sharry

Writer, Project Editor, Photographer

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save