Vintage LIFEXURY ในทริปสโลว์ไลฟ์...ในถิ่นนนท์ กับ “Tigara Grande 150” Royal Alloy - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
Vintage LIFEXURY ในทริปสโลว์ไลฟ์…ในถิ่นนนท์ กับ “Tigara Grande 150” Royal Alloy

ทริปนี้ของผมเริ่มด้วยความตื่นเต้น เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็ผมกำลังจะได้ขี่รถตัวใหม่แบบเกาะกล่องของยี่ห้อ “Royal Alloy” รุ่น “Tigara Grande 150” หรือ “TG150” สกู๊ตเตอร์สัญชาติอังกฤษที่มาพร้อมกับตำนานความคลาสสิกยุค ’60 ซึ่งถือเป็นน้องเล็กล่าสุดต่อจาก TG200 และ TG300

อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร? ไปลองด้วยกันเลยครับ! ในแบบ “Vintage LIFEXURY” ในทริป “สโลว์ไลฟ์…ในถิ่นนนท์” กับ TG150 สี Valencia Orange – Ivory สุดสวยคันนี้…แต่ถ้าใครเห็นแล้วอดใจไม่ไหว ไปจองกันก่อนได้เลยที่ Royal Alloy Thailand พร้อมของแถมเพียบ! กับค่าสินสอดแสนนิดๆ รับรองโดนใจแน่นอน

เปิดภาพด้วย Act หล่อๆ กับ TG150 สีทูโทน Orange และถ้วยแชมป์แฟนพันธุ์แท้ท่องเที่ยวไทย ช่างเข้ากับบรรยากาศท่ามกลางธรรมชาติ ริมคลองประปาลับๆ ของ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี

ขอขอบคุณทีมงานใจดี Royal Alloy Thailand ที่อำนวยความสะดวกทุกอย่าง และให้รถสวยๆ คันนี้มารีวิวครับ : )

ผมรีบเดินทางไปที่ “We Scooter ศูนย์บริการและโชว์รูม Royal Alloy” แถวซอยนวลจันทร์ กทม. เพื่อไปรับเจ้า Tigara Grande 150 (ขอเรียกสั้นๆ ว่า TG150 แล้วกันนะครับ)

“TG150 สีทูโทน Valencia Orange – Ivory” จอดรอผมเป็นที่เรียบร้อย บอกตรงๆ เลยว่าแค่แรกเห็นก็ประทับใจแล้ว First Impression จริงๆ…แทบรีบอยากบิดออกไปเที่ยวทริปเลย

แต่ก่อนที่ผมจะทำเช่นนั้น ช่างบอลและน้องทีมงานของ We Scooter ก็รีบเข้ามาทักทาย พร้อมเช็กรถ TG150 ให้อย่างเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เช็กลมยางให้เรียบร้อย รวมถึงแนะนำการใช้งาน TG150 ได้อย่างละเอียดมากๆ ผมนี่ขอปรบมือให้เลย (และยกถ้วยแชมป์แฟนพันธุ์แท้ท่องเที่ยวไทยให้เลย…ฮา) ส่วนผมก็ฟังไป แต่ก็ยังแอบลูบๆ คลำๆ TG150 ไปด้วย…ก็มันสวยจริงๆ นี่ครับ

…เอาล่ะ! ถ้าพร้อมแล้วก็เตรียมตัวบิดไปออกทริปกัน

เกือบลืมบอกไป กุญแจของเจ้า TG150 ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี เพื่อให้สอดคล้องไปกับรูปร่างของกระดองข้างของรถสกู๊ตเตอร์…สวยและแนวสุดๆ

สำหรับทริปนี้ ผมขอขี่เจ้า TG150 ไปเทสที่จังหวัดนนทบุรี เพราะระยะทางท่องเที่ยวไปกลับน่าจะอยู่ราวๆ 200 กม. เหมาะแก่การออกทริปรถใหม่มากๆ ครับ สำหรับเส้นทางที่ผมใช้จะเริ่มต้นที่ถนนเกษตร – นวมินทร์ บิดยาวๆ ข้ามกรุงเทพสู่นนทบุรี แม้ว่าถนนอาจมีเป็นหลุมเป็นบ่อเพราะการซ่อมทาง แต่ TG150 ก็ผ่านได้สบายๆ ด้วยระบบโช๊คอัพคู่หน้าหลังที่รับแรงกระแทกได้ดีมากๆ และจุดแรกของทริปนี้ “สโลว์ไลฟ์…ในถิ่นนนท์” ผมขอแวะสิ่งที่เป็นแลนมาร์คของอำเภอเมืองก่อนเลยนั่นคือ “ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี หลังเก่า”

ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี หลังเก่านี้ ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2443 (ถึงวันนี้ พ.ศ. 2564 ก็อายุกว่า 120 แล้วครับ) โดยกระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานที่สร้างไว้เพื่อสถานที่เรียนกฎหมาย แต่สุดท้ายไม่สำเร็จ เพราะขาดบุคลากรที่จะมาสอนครับ…นี่จุดประสงค์แรกจริงๆ และได้กลายเป็นโรงเรียนราชวิทยาลัยขึ้นมาแทน

สุดท้ายสถานที่แห่งนี้ได้กลางเป็นศาลากลางจังหวัดนนทบุรี ในช่วงปี พ.ศ. 2471 – 2535 พูดได้ว่างานราชการทุกอย่างของนนทบุรีถูกรวมไว้ที่นี่อย่างเบ็ดเสร็จ รวมถึงด้านสุขภาพอย่างทันตกรรมด้วย

ภายในอาคารศาลากลางจังหวัดนนทบุรี หลังเก่า จะมีห้องต่างๆ เพื่อไว้บริการประชาชนอย่างมากมาย เรียกว่า One Stop Service ในยุคนั้นเลยก็ว่าได้

ที่นี่เป็นอาคารไม้ สถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล ความคลาสิกนี้ช่างเข้ากับ TG150 สกู๊ตเตอร์ยุค ’60 หรือ “Mod Culture” ย่อมาจาก “Modernism” กลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัยและแตกต่าง เน้นแฟชั่นที่บ่งบอกความเป็นตัวตนอย่างสูง…และ TG150 คือนิยามนี้อย่างแท้จริง

ไฟหน้า TG150 เป็นแบบ LED ส่องสว่างได้อย่างชัดเจนทั้งกลางวันและกลางคืน ปรับไฟสูง – ต่ำได้ตลอดเวลา สามารถกระพริบไฟได้เมื่อต้องการส่งสัญญาณขอทางต่างๆ และที่สำคัญกับคำว่า Royal Alloy ที่คาดกลางดวงไฟ…โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์จริงๆ ครับ

แม้ว่าหลังจากปี พ.ศ. 2535 ศาลากลางแห่งนี้ไม่ได้ใช้แล้ว (ปัจจุบันศาลากลางจังหวัดนนทบุรี อยู่ที่บริเวณแยกแคราย) ก็ได้กลายเป็นวิทยาลัยมหาดไทยจนถึง พ.ศ. 2551 และสุดท้ายกลางมาเป็นพิพิธภัณฑ์ของจังหวัดนนทบุรีในที่สุด

ด้วยศิลปะความสวยงามของศาลากลางจังหวัดนนทบุรี หลังเก่า กรมศิลปากรจึงได้ขึ้นเป็นทะเบียนเป็นโบราณสถานที่ทรงคุณค่าของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2551…ว่าแล้วก็ขออีกสักภาพเป็นที่ระลึกกับ TG150

ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี หลังเก่า อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา บรรยากาศดี นั่งเล่นแบบสโลว์ไลฟ์ได้เป็นวันๆ เลยนะครับ

อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองนนท์ก็คือ “วงเวียนหอนาฬิกา” ถ้าย้อนไปสัก 30 ปีก่อน พ่อค้าแม่ค้าจะเอาทุเรียนพันธุ์ต่างๆ มาวางขายแบกับดินกันอย่างมากมาย เริ่มต้นกิโลกรัมละ 60 บาท (ซึ่งทุกวันราคานี้ไม่ได้แล้ว…ฮา)

จากนั้นผมเดินทางข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาโดยใช้ “สะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์” ที่ถูกสร้างขึ้นล่าสุดในเมืองนนท์เมื่อปี พ.ศ. 2555 โดยเป็นสะพานแขวนแบบคานขึงแห่งแรกของประเทศ เพื่อให้ประหยัดพื้นที่ในการก่อสร้าง และไม่ให้เข้าไปรุกล้ำเขตชุมชนและบ้านเรือนริมแม่น้ำ

ถนนเส้นเล็กและเส้นใหญ่ในนนทบุรี ถูกทำให้เชื่อมต่อถึงกันหมด ระหว่างขับรถเพลินๆ สายตาผมก็เหลือบไปเห็น “โบสถ์สีชมพู”

ผมจอดเจ้า TG150 ทันทีและเดินเข้าไปดู “โบสถ์สีชมพู วัดเพลง” ที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2553 (วัดนี้ถูกทิ้งร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา) เพื่อถวายเป็นอนุสรณ์แด่รัชกาลที่ 5 จึงใช้สีชมพู ซึ่งเป็นสีประจำวันพระราชสมภพของพระองค์ จึงเป็นโบสถ์แห่งเดียวในเมืองไทยที่เป็นสีชมพูทั้งหลังครับ

ถึงวัดแล้วก็ไหว้พระประธาน วัดเพลง ขอพรเอาฤกษ์เอาชัยสักหน่อยครับ วัดเพลง ยังเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างของจังหวัดนนทบุรีอีกด้วย…ปรบมือให้เลย

ผมยังคงบิดเลาะเลียบแบบสโลว์ไลฟ์จนถึง “วัดบางจาก” อ.ปากเกร็ด กับความสะดุดตาที่สวยงามของพระพุทธมงคลชัยที่อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา

พระพักตร์และพระโอษฐ์ที่ยิ้มแย้มของประธาน แค่นี้ก็ทำให้ผมสดชื่นได้ง่ายๆ แล้ว พระพุทธมงคลชัยที่งดงามนี้สูงถึง 27 เมตร ถือว่าเป็นพระประธานกลางแจ้งปางมารวิชัยที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดนนทบุรี

อีกอย่างที่ขึ้นชื่อของวัดบางจากคือ การขับรถลอดท้องช้าง 3 เศียร เพื่อสะเดาะเคราะห์และเพิ่มความสิริมงคลให้กับชีวิต…เสียดายคิวยาวไปหน่อย ผมเลยไม่ได้เอาเจ้า TG150 เข้าไปลองดู

บ่ายแก่ๆ ของทุกวัน เรื่องกินกาแฟนี่ขาดไม่ได้เลย ผมจึงขอพามาคาเฟ่ (เกือบ) ลับของ อ.ปากเกร็ด ที่ชื่อว่า “กาแฟบ้านสวนปันสุข” บรรยากาศ Indoor เป็นแบบง่ายๆ สวยงาม กาแฟสดหอมๆ เข้มๆ ราคาเริ่มต้นเพียง 35 บาท

ส่วนบรรยากาศ Outdoor ไม่ต้องพูดถึง สวยงามและร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ถูกจัดโดยเจ้าของร้านมือโปร คุณจูนและคุณเปี่ยม ที่มีอาชีพจัดสวนไปในตัวด้วย มุมนั่งชิลมีเยอะมากครับ ใครชอบแบบบ้านไทยใต้ถุนสูง…ก็มีให้พร้อมสรรพ

ผมชอบมานั่งมุมเล็กๆ ที่มีต้นกระบองเพชรอยู่ด้วย รู้สึกสบายตาดี พร้อมกับ Hot Americano เข้มๆ เมนูประจำตัวของผม แค่นี้ก็สดชื่นแล้ว ดื่มกาแฟเสร็จก็ต้องใส่แมส…ไม่ประมาท การ์ดอย่าตกในทุกการเดินทางนะครับ

อีกวัดหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของนนทบุรีก็คือ “วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ หรือวัดเล่งเน่ยยี่ 2” ปักหมุดไปกันได้เลยที่ อ. บางบัวทอง สถาปัตยกรรมหลายอย่างอาจถูกถอดแบบมาจากวัดเล่งเน่ยยี่ 1 แถวเยาวราช กทม. แต่ด้วยพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่กว่า ทำให้วัดเล่งเน่ยยี่ 2 ทำให้เดินสบาย ไม่อึดอัด และหลายคนนิยมมาแก้ปีชงที่นี่กันด้วยครับ

เย็นย่ำก็ต้องหาที่พักกันหน่อยครับ คืนนี้ผมเลือกค้างที่ “อภิรมย์ สวนอาหาร & โฮมสเตย์” พร้อมด้วย Welcome Drink กับเมนู “กาแฟมะพร้าวปั่น” ซึ่งถือเป็น Signature ของที่นี่…ห้ามพลาดเด็ดขาด!

ใครไม่พักที่นี่ก็สามารถมานั่งชิล นั่งชมสวนมะพร้าว พร้อมกับสั่งอาหารอร่อยๆ ได้เลย การตกแต่งเล็กๆ แบบน่ารักๆ ส่วนตัวผมถือว่าเป็นการใส่ใจรายละเอียดที่ดีนะครับ

ห้องพักสวยๆ บนบึงน้ำแบบเป็นส่วนตัว คืนนี้ผมได้พักสบายๆ ท่ามกลางทิวต้นมะพร้าว แบบนอนหลับอภิรมย์…ฝันดีครับทุกคน

เกือบลืมบอกไป ช่วงกลางคืนจอไมล์ของ TG150 จะปรับให้เป็นพื้นสีดำอัตโนมัตินะครับ เพื่อให้ดูได้ง่ายขึ้น ส่วนเวลากลางวันจะเป็นสีเทา ดูได้ง่ายเช่นกันครับ…เห็นไหม? วันแรกจัดไปเบาๆ ร้อยกว่าโลเอง (เอง)

ตื่นเช้ามาอย่างสดชื่นและมีพลัง ผมจึง Check – Out และออกเดินทางต่อ จนได้ไปเจอกับคลองประปาลับๆ ของ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี จึงขอจอดชิลกับบรรยากาศยามเช้าสักหน่อย

ระหว่างนี้ผมจึงขอนั่งสำรวจเจ้า TG150 สีทูโทน Orange สวยๆ คันนี้ (เพิ่งจะมาทำ…ฮา) หลังจากที่ผมขี่มาได้วันหนึ่งแล้ว สรุปสั้นๆ ได้ว่า “Feeling การขับขี่ดีมาก เหมาะทั้งใช้ในเมืองและออกทริปได้สบายๆ สายชิลแบบผมต้องชอบแน่นอน” รวมถึงด้านอุปกรณ์ต่างๆ ที่ Support อย่างเต็มที่ เช่น “ถังน้ำมันเกือบ 8 ลิตร” บิดยาวๆ ได้สบาย “ตะแกรงหลังขนาดใหญ่” พร้อมขนของ Touring ได้เต็มพิกัด “ช่องเก็บของที่มาพร้อม USB ที่ชาร์จไฟ” ไม่พลาดการติดต่อในทุกเวลา “ล้อยางขนาด 12 นิ้ว และดิสก์เบรคหน้า – หลัง มาพร้อม ABS” ไปได้หลากหลายเส้นทางอย่างปลอดภัยและมั่นใจจริงๆ ครับ

มื้อเช้าผมขอมาดูวิถี Local “ตลาดบางคูลัด” ที่ซ่อนแอบอยู่ อ.บางใหญ่ พร้อมกับไหว้ศาลเจ้าพ่อจุ้ยบางคูลัด เอาฤกษ์เอาชัย (เหมือนเคย)

จริงๆ ที่นี่มีอีกชื่อว่าตลาดใหม่วัฒนา แต่คนก็ยังเรียกว่าตลาดบางคูลัดอยู่เหมือนเดิม และเมื่อมาถึงตลาดแนว Vintage แบบนี้ ก็ต้องมากินกาแฟต้มที่ร้าน “โอโซน” แนว Moka Pot ที่ผมก็ชอบเลย ชุดกาแฟ Hot Americano พร้อมเสิร์ฟในถาดไม้แบบสวยๆ เหมาะกับเช้าวันที่ฝนตกปรอยๆ (หมวกเปียกๆ หยดๆ ก็เท่ไปอีกแบบ) แต่เป็น Biker ต้องห้ามกลัวฝนนะครับ (ฮา)

นั่งดูวิถีชาวบ้าน นั่งดูบ้านไม้เก่าๆ เดิมๆ ริมคลองบางคูรัด วิถีสโลว์ไลฟ์แบบนี้ ช่วยเติมพลังบวกให้กับชีวิตดีนะครับ

ความ Vintage รอบๆ ตลาดนี้ก็เป็นสิ่งที่หาดูได้ยากในปัจจุบันนะครับ และร้านถ่ายรูปแบบนี้ ผมว่าหลายคนตอนเด็กๆ ต้องเคยใช้บริการอย่างแน่นอน

ชุนชนริมคลองที่รวมวิถีขีวิตคนไทยและคนจีนได้อย่างลงตัวและน่ารัก ผมขอยกให้ตลาดบางคูลัดเป็นหนึ่งในความประทับใจของผมเลย

ตามสองข้างทางของ อ.บางใหญ่ จะเห็นชาวบ้านขายต้นไม้ทำสนอยู่มากมาย ที่นี่ราคาถูกนะครับ ถ้าชอบใจก็ซื้อกลับบ้านได้เลย (เสียดายขี่มอเตอร์ไซค์มา แบกกลับมาไม่ไหว)

ร้านเก่าๆ ยุค’80 ที่เห็นอยู่นี้คือ สตูดิโอที่เช็ทขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เพื่อให้บริการการถ่ายละคร ถ่ายภาพยนตร์ และถ่ายโฆษณา (หลายคนอาจเคยเห็นฉากเหล่านี้ รวมถึงตัวผมเองด้วย) หลังจากทำธุรกิจมาพักหนึ่ง เจ้าของจึงคิดว่าควรเปิดเป็นพื้นที่สาธารณะด้วย โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เห็นวิถีชีวิตคนไทยและภูมิปัญญาต่างๆ

จุดหมายถัดมาคือ “วัดราษฎร์ประคองธรรม” ที่มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดนนทบุรี ชาวบ้านจะเรียกกันว่าหลวงพ่อพระนอน ซึ่งมีความยาวถึง 32 เมตร เป็นศิลปะที่ผสมผสานความเป็นพม่าลงไปด้วย

บ่ายคล้อยๆ ผมเริ่มอยากกาแฟ (อีกแล้ว) จึงลองถามคนแถวนี้ว่ามีร้านอะไรบ้าง? ก็ได้คำตอบว่า “…มีตึกแนววินเทจ คล้ายโฮมออฟฟิศ มีคาเฟ่อยู่ใต้ตึกที่ชื่อว่าบางกอกเดย์รามา ส่วนร้านชื่อบางกอกดอยคาเฟ่…”

เห็นชิงช้าสวรรค์กับสวนเล็กๆ อยู่มุมหนึ่ง พนักงานบอกว่า “…บริเวณนี้จะจัดฉายหนังกลางแปลงในช่วงปีใหม่ตลอดเลยค่ะ…” งั้นต้นปี ผมแวะมาดูบ้างดีกว่า

ภายในร้านถูกตกแต่งในแนววินเทจ สีสันสดใส ดูแล้วสดชื่น โดยมีโปสเตอร์ของโรงภาพยนตร์เก่า ๆ ของเมืองไทยอยู่ตามผนังอย่างสวยงาม

ขากลับพอดีกับช่วงเย็นๆ พระอาทิตย์ตกแถวเกาะเกร็ดพอดี เป็นอีกภาพที่ประทับใจในการปิดท้ายทริปนี้…ไว้โอกาสหน้าผมจะเอาเจ้า TG150 ข้ามไปเกาะเกร็ดบ้าง

แสงทไวไลท์ตอนเย็นๆ ที่สะพานเจษฎาบดินทรานุสรณ์ จึงขอกดชัตเตอร์เอามาฝากทุกคนอีกสักภาพ

ทริป 2 วัน 1 คืน ผมจัดเต็มไปกับ #TG150 กว่า 200 กม. : ) และเติมน้ำมันไปเพียง 200 บาท ประหยัดมากๆ กับระบบหัวฉีดครับ

“สโลว์ไลฟ์…ในถิ่นนนท์ กับ TG150” ผมสรุปให้อีกทีตรงๆ ว่า “ไปซื้อได้เลยครับ รับรองว่าต้องชอบเหมือนผม” ยิ่งถ้าคุณเป็นสายวินเทจ สายชิล ควรหาไว้มาครอบครองด่วน! เพราะ TG150 จะทำให้คุณได้เดินทางไปในโลกใหม่ๆ ที่แตกต่างและโดดเด่นเกินกว่าที่คิด

…พร้อมแล้วก็มาสัมผัสไลฟ์สไตล์แบบ “Vintage LIFEXURY” ด้วยกัน : ) แล้วไว้พบกันในทริปหน้าครับผม

Chalermchai Tunsingha
ชอบเดินทางตั้งแต่เด็กยันโต...จนได้เป็นแชมป์แฟนพันธุ์แท้ท่องเที่ยวไทย

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save