ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีผู้จัดการทีมชาวอังกฤษรุ่นใหม่หลายต่อหลายคนได้รับการพูดถึงเป็นจำนวนมาก เนื่องจากพวกเขามีสไตล์การคุมทีมที่น่าตื่นเต้น แท็คติคหลากหลาย และพาลูกทีมเล่นเกมรุกได้อย่างสนุกเร้าใจ
5 เทรนเนอร์เลือดผู้ดีต่อไปนี้พิสูจน์ฝีมือให้คอลูกหนังทั่วโลกได้เห็นแล้วว่า พวกเขาเป็นโค้ชชาวอังกฤษที่ดีที่สุดแห่งยุคนี้ ซึ่งบางรายสามารถพาทีมคว้าแชมป์รายการสำคัญไปได้เรียบร้อยแล้วด้วย
5. เอ็ดดี้ ฮาว
ผู้จัดการทีมคนใหม่ของ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เคยประสบความสำเร็จอย่างมากในสมัยที่เคยทำงานกับ บอร์นมัธ เป็นช่วงเวลานานถึง 8 ปี ในระหว่างปี 2012-2020 โดยโค้ชหนุ่มไฟแรงวัย 44 ปี พาพลพรรค “เดอะ เชอร์รีส์” เลื่อนชั้นจากลีก ทู มาเล่นในพรีเมยีร์ลีกได้สำเร็จ
ฮาว ทำให้ บอร์นมัธ กลายเป็นน้องใหม่ในพรีเมียร์ลีกที่เล่นฟุตบอลได้อย่างสวยงาม เขาไม่กลัวที่จะให้ลูกทีมครองบอลสู่กับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือแม้แต่ เชลซี เองก็ตาม
อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่ ฮาว ไม่สามารถพา บอร์นมัธ อยู่รอดในลีกสูงสุดเมื่อฤดูกาล 2019-2020 ซึ่งทำให้เขาประกาศอำลาทีม และว่างงาน 1 ปี ก่าอนจะกลับมาพิสูจน์ฝีมือกับ นิวคาสเซิล อีกครั้งในฤดูกาลนี้
4. สตีเว่น เจอร์ราร์ด
อดีตกองกลางทีมชาติอังกฤษกัปตันทีม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ยังคงไม่ทิ้งสไตล์สมัยที่เขาเคยเป็นนักเตะเลย เจอร์ราร์ด เป็นกุนซือสมัยใหม่ที่ชอบให้ลูกทีมเล่นเกมรุกดุดัน และต้องวิ่งไล่เพรสซิ่งใส่คู่แข่งตลอดทั้ง 90 นาที
ผู้จัดการทีมวัย 41 ปี ประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงที่คุม กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ในปี 2018-2021 โดยพาพลพรรค “เดอะ ไลท์บลู” ปาดหน้าคู่อริตลอดกลาลอย่าง กลาสโกว์ เรนเจอร์ส คว้าแชมป์สก็อตติช พรีเมียร์ลีก 1 สมัยในซีซั่น 2020-2021
ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เจอร์ราร์ด อำลา เรนเจอร์ส ย้ายมารับความท้าทายใหม่กับ แอสตัน วิลล่า และเขาก็ทำผลงานยอดเยี่ยมด้วยการพา “สิงห์ผยอง” คว้าขัยใน 2 เกมแรกที่คุมทีม ซึ่งหลายๆคนมองว่า “สตีวี่จี” จะกลายเป็นกุนซือคนใหม่ของ ลิเวอร์พูล ในอนาคตอันใกล้นี้
3. ฌอน ไดช์
ไดซ์ กลายเป็นโค้ชที่คุมทีมเดิมยาวนานที่สุดในพรีเมียร์ลีกแล้วหลังจากเจ้าตัวอยู่กับ เบิร์นลีย์ มานานเกือบ 10 ปีเต็มแล้ว และยังทำผลงานยอดเยี่ยมด้วยการพาสโมสรไปเล่นในศึกฟุตบอลยุโรปได้สำเร็จแม้จะตกรอบเร็วไปหน่อยก็ตาม
นายใหญ่วัย 50 ปี เป็นแฟนตัวยงในระบบ 4-4-2 แบบดั้งเดิมของสไตล์ลูกหนังเมืองผู้ดี เขาชอบให้ลูกทีมเน้นเกมรับเพื่อความปลอดภัย และใช้บอลยาวจากแนวรับโจมตีคู่แข่งโดยการให้กองหน้ารูปร่างสูงใหญ่เป็นตัวชนกับกองหลังฝ่ายตรงข้าม
ขณะเดียวกัน สไตล์การคุมทีมของ ไดซ์ ก็ทำให้หลายๆสโมสรในพรีเมียร์ลีกเหนื่อยใจมานักต่อนักแล้วเมื่อต้องเผชิญหน้ากับ เบิร์นลีย์
2. แกเร็ธ เซาธ์เกต
อดีตปราการหลังของ มิดเดิลสโบรห์ และ แอสตัน วิลล่า กลายเป็นสมบัติล้ำค่าของวงการฟุตบอลอังกฤษไปเรียบร้อยแล้วหลังจากที่ เซาธ์เกต ก้าวเข้ามารับงานเป็นผู้จัดการทีม “สิงโตคำราม” เมื่อปี 2016 จนถึง ณ เวลานี้
เซาธ์เกต เปลี่ยนโฉมหน้าของทีมชาติอังกฤษไปอย่าสิ้นเชิง โดยก่อนหน้านี้ “สิงโตคำราม” เป็นทีมที่ยึดมั่นในระบบ 4-4-2 มานานแล้ว แต่เขากลับทำให้ลูกทีมมรความยืดหยุ่นมากขึ้นในการปรับมาเล่นได้ทั้งระบบ 3-4-3 และ 4-3-3-
โค้ชวัย 51 ปี อาจต้องเพิ่มประสบการณ์อีกเล็กน้อยในเรื่องของการเผชิญหน้ากับบรรดาทีมขั้นนำของวงการฟุตบอล แต่ในเรื่องของความเป็นผู้นำ และการจัดการคนนั้น เซาธ์เกต ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสุดยอดมากๆ
1. เกรแฮม พอตเตอร์
พอตเตอร์ มีเส้นทางอาชีพกุนซือที่น่าสนใจไม่น้อย โดยก่อนหน้านี้เขาเคยไปเล่นฟุตบอลในลีกระดับล่างของสวีเดน ก่อนจะค่อยๆเริ่มคุมทีม เอิสเตอร์ซุนด์, สวอนซี ซิตี้ และเข้ามารับงาน ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน เมื่อปี 2019 จนถึงปัจจุบัน
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือ พอตเตอร์ เปลี่ยน ไบรท์ตัน จากทีมหนีตกชั้นที่มีสไตล์การเล่นแบบโบราณกลายเป็นทีมที่เน้นการครองบอล ต่อบอลสั้น และสร้างสรรค์เกมรุกได้อย่างสนุก นอกจากนี้ เขายังให้โอกาสเยาวชนหลายๆคนได้แจ้งเกิดด้วย
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พอตเตอร์ จะต้องมีอนาคตที่สดใสรออยู่ และ ไบรท์ตัน คงไม่ใช่สโมสรสุดท้ายในอาชีพกุนซือของเขาอย่างแน่นอน
ภาพประกอบ : skysports.com