ณ เวลานี้ปี 2021 เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่น่าจดจำ เพราะเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เรียกได้ว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านในอุตสาหกรรมยานยนต์ จากยุคหนึ่งที่โลกเคยขับเคลื่อนด้วยยานพาหนะเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ที่ตอนนี้กำลังจะเปลี่ยนเข้าสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า (BEV)
ซึ่งคาดการณ์กันว่าการเปลี่ยนผ่านนี้จะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด โดย BEV อาจจะสามารถแทนที่ ICE ได้อย่างสมบูรณ์ภายในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปีนับจากนี้
ที่เราสามารถพูดเช่นนี้ได้ก็เพราะว่ากระแสการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศที่พัฒนาแล้วในตอนนี้มีความตื่นตัวค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในอเมริกา จีน และยุโรป ส่วนในบ้านเรานั้นถือเป็นช่วงเริ่มต้น ซึ่งตอนนี้ก็มีค่ายยานยนต์หลายค่ายส่งรถยนต์ ไฟฟ้า เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยบ้างแล้ว แต่โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าเช่น สถานีชาร์จ และแท่นชาร์จตามสถานที่สาธารณะต่างๆ ยังคงมีจำกัดอยู่ ทำให้หลายคนที่สนใจจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้ายังคงลังเลว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อดี ดังนั้นวันนี้เราจึงได้รวบรวม 5 ข้อควรคำนึงก่อนที่จะตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาไว้ให้แล้ว จะมีอะไรบ้าง มาดูกันเลย
ระยะทางที่วิ่งได้
ในที่นี้หมายถึงระยะทางที่วิ่งได้ ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ซึ่งมีความสำคัญต่อการตัดสินใจเลือกซื้อเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในประเทศไทยช่วงนี้ที่สถานีชาร์จระหว่างการเดินทางยังมีจำนวนจำกัด ไม่ได้มีดาษดื่นเหมือนในประเทศที่พัฒนาแล้ว ดังนั้นหากเป็นไปได้ก็ควรจะต้องเลือกซื้อรุ่นที่สามารถวิ่งได้ไกลๆ ไว้ก่อน ถ้าจะให้อุ่นใจไม่ควรต่ำกว่า 400 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ยกตัวอย่างเช่น รถ Tesla Model 3 ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า BEV ความจุแบตเตอรี่ 60-90 kW วิ่งได้ไกลถึง 338-473 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง
ต้องลงทุนเพิ่มเมื่อต้องการจะติดตั้งระบบชาร์จไฟที่บ้าน
ทุกคนที่ซื้อรถไฟฟ้าล้วนมีความต้องการที่จะให้ที่บ้านสามารถชาร์จไฟแก่รถได้ด้วย แต่การจะทำเช่นนั้นได้จำเป็นจะต้องขอมิเตอร์ไฟที่รองรับกระแส 15A จากการไฟฟ้าฯ พร้อมติดตั้งเต้ารับเฉพาะสำหรับใช้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งถ้าจะให้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยที่สุด จำเป็นต้องติดตั้งเครื่อง Wallbox EV Charger ที่รับกระแสไฟได้ 16-32A เพื่อที่จะสามารถชาร์จได้รวดเร็ว เต็มประสิทธิภาพ และมีระบบตัดไฟเมื่อชาร์จเต็ม และระบบป้องกันไฟเกินและความร้อนสูง ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าของรถจะต้องลงทุนเอง
อย่างไรก็ดี รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ ทางค่ายรถจะแถมสายชาร์จ (สาย Mode 2) มาให้ด้วย แต่คุณควรระลึกไว้เสมอว่าสายชาร์จแถมนั้นเหมาะกับการใช้งานฉุกเฉินเท่านั้น เพราะมันถูกออกแบบมาให้ใช้ในระยะเวลาสั้นๆ แค่ชาร์จให้แบตเตอรี่พอมีประจุ เพื่อให้สามารถขับต่อกลับบ้านหรือไปยังสถานีชาร์จที่ใกล้ที่สุดเท่านั้น ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าตัวสายชาร์จแถมนั้นไม่มีระบบในการป้องกันความเสียหายจากการชาร์จไฟใดๆ การใช้นานๆ ย่อมมีความเสี่ยง
ความสะดวกเมื่อต้องชาร์จนอกบ้าน
สำหรับใครที่ชอบชาร์จนอกบ้านก็ควรทำการสำรวจให้ดีๆ ว่าเมืองที่คุณอยู่มีบริการชาร์จนอกบ้านเพียงพอให้คุณรู้สึกสะดวกสบายหรือไม่ ส่วนใครที่อยู่ในกรุงเทพ และจังหวัดใหญ่ๆ ก็คงจะหายห่วงไปได้เปราะหนึ่งเพราะเริ่มมีการให้บริการชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าทั้งตามปั๊มน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า และสถานที่สาธารณะสำคัญๆ ให้เห็นมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริการชาร์จนอกบ้านส่วนใหญ่จะเป็นระบบการชาร์จกระแสสลับ และมีหัวชาร์จไม่ครอบคลุมรถยนต์ไฟฟ้าทุกแบรนด์ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าบางยี่ห้อไม่สามารถใช้บริการแท่นชาร์จได้ เพราะแต่ละประเทศจะใช้มาตรฐานหัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแตกต่างกัน ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าค่ายใด ก็อย่าลืมสำรวจเรื่องนี้ให้ดีซะก่อน
ระยะเวลาในการชาร์จ
เวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละคันไม่เท่ากัน เนื่องจากมีขนาดความจุของแบตเตอรี่ต่างกัน แต่โดยส่วนใหญ่รถยนต์ไฟฟ้าจะมีขนาดความจุแบตเตอรี่ 60 – 90 kW ซึ่งหากใช้สายชาร์จแถม (Mode 2) จะใช้เวลาชาร์จนานถึง 40 ชั่วโมง แต่หากชาร์จผ่านเครื่อง Wallbox EV Charger (Mode 3) จะสามารถช่วยย่นระยะชาร์จเวลาได้มาก ตามประสิทธิภาพของเครื่องชาร์จแต่ละรุ่น โดยจะใช้เวลาชาร์จเหลือเพียง 3-4 ชั่วโมง
ค่าไฟฟ้า และการบำรุงรักษา
เมื่อเปรียบเทียบค่าน้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์สันดาปภายในมาเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าแล้วจะพบว่าค่าชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้าจะประหยัดกว่าค่าเติมน้ำมันเชื้อเพลิงถึง 3 เท่า โดยอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง จะอยู่ที่ 3 บาท/กิโลเมตร ส่วนค่าไฟในการชาร์จรถไฟฟ้าจะอยู่ราวๆ 0.7 – 1 บาท/กิโลเมตร เท่านั้น อีกทั้งค่าบำรุงรักษาของรถยนต์ไฟฟ้าก็ต่ำมากๆ เพราะตัวรถไม่มีกลไกอะไรซับซ้อน แตกต่างจากรถยนต์สันดาปภายในซึ่งต้องเข้าศูนย์เช็คสภาพบ่อยกว่ามาก ตามระยะทางที่วิ่งได้หรือระยะเวลาที่กำหนด โดยทุกครั้งที่เข้าเช็คสภาพ ก็คือต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น ซึ่งข้อนี้อาจเป็นผลประโยชน์ที่เย้ายวนใจให้คุณสนใจอยากลงทุนซื้อรถไฟฟ้ามาขับมากขึ้น
และนี่ก็คือ 5 ข้อควรคำนึงก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่เราอยากแนะนำให้เพื่อนๆ ได้ทราบในครั้งนี้ ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคน อย่างไรก็ดี แม้ว่าช่วงนี้ราคารถยนต์ไฟฟ้าจะยังสูงอยู่ แต่เชื่อว่าอีกภายใน 2-3 ปีข้างหน้า ราคารถไฟฟ้าคงจะต่ำลงมากในระดับที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ ใครที่กำลังอยากมีรถยนต์คันใหม่ หากรอได้ รถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย