5 ข้อควรคำนึง ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
5 ข้อควรคำนึง ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

ณ เวลานี้ปี 2021 เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่น่าจดจำ เพราะเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เรียกได้ว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านในอุตสาหกรรมยานยนต์ จากยุคหนึ่งที่โลกเคยขับเคลื่อนด้วยยานพาหนะเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ที่ตอนนี้กำลังจะเปลี่ยนเข้าสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า (BEV)

ซึ่งคาดการณ์กันว่าการเปลี่ยนผ่านนี้จะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด โดย BEV อาจจะสามารถแทนที่ ICE ได้อย่างสมบูรณ์ภายในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปีนับจากนี้

ที่เราสามารถพูดเช่นนี้ได้ก็เพราะว่ากระแสการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศที่พัฒนาแล้วในตอนนี้มีความตื่นตัวค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในอเมริกา จีน และยุโรป ส่วนในบ้านเรานั้นถือเป็นช่วงเริ่มต้น ซึ่งตอนนี้ก็มีค่ายยานยนต์หลายค่ายส่งรถยนต์ ไฟฟ้า เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยบ้างแล้ว แต่โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าเช่น สถานีชาร์จ และแท่นชาร์จตามสถานที่สาธารณะต่างๆ ยังคงมีจำกัดอยู่ ทำให้หลายคนที่สนใจจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้ายังคงลังเลว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อดี ดังนั้นวันนี้เราจึงได้รวบรวม 5 ข้อควรคำนึงก่อนที่จะตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาไว้ให้แล้ว จะมีอะไรบ้าง มาดูกันเลย

ระยะทางที่วิ่งได้

ในที่นี้หมายถึงระยะทางที่วิ่งได้ ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ซึ่งมีความสำคัญต่อการตัดสินใจเลือกซื้อเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในประเทศไทยช่วงนี้ที่สถานีชาร์จระหว่างการเดินทางยังมีจำนวนจำกัด ไม่ได้มีดาษดื่นเหมือนในประเทศที่พัฒนาแล้ว ดังนั้นหากเป็นไปได้ก็ควรจะต้องเลือกซื้อรุ่นที่สามารถวิ่งได้ไกลๆ ไว้ก่อน ถ้าจะให้อุ่นใจไม่ควรต่ำกว่า 400 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง  ยกตัวอย่างเช่น รถ Tesla Model 3 ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า BEV  ความจุแบตเตอรี่ 60-90 kW วิ่งได้ไกลถึง 338-473 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง

ต้องลงทุนเพิ่มเมื่อต้องการจะติดตั้งระบบชาร์จไฟที่บ้าน

ทุกคนที่ซื้อรถไฟฟ้าล้วนมีความต้องการที่จะให้ที่บ้านสามารถชาร์จไฟแก่รถได้ด้วย แต่การจะทำเช่นนั้นได้จำเป็นจะต้องขอมิเตอร์ไฟที่รองรับกระแส 15A จากการไฟฟ้าฯ พร้อมติดตั้งเต้ารับเฉพาะสำหรับใช้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งถ้าจะให้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยที่สุด จำเป็นต้องติดตั้งเครื่อง Wallbox EV Charger ที่รับกระแสไฟได้ 16-32A เพื่อที่จะสามารถชาร์จได้รวดเร็ว เต็มประสิทธิภาพ และมีระบบตัดไฟเมื่อชาร์จเต็ม และระบบป้องกันไฟเกินและความร้อนสูง ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าของรถจะต้องลงทุนเอง

อย่างไรก็ดี รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ ทางค่ายรถจะแถมสายชาร์จ (สาย Mode 2) มาให้ด้วย แต่คุณควรระลึกไว้เสมอว่าสายชาร์จแถมนั้นเหมาะกับการใช้งานฉุกเฉินเท่านั้น เพราะมันถูกออกแบบมาให้ใช้ในระยะเวลาสั้นๆ แค่ชาร์จให้แบตเตอรี่พอมีประจุ เพื่อให้สามารถขับต่อกลับบ้านหรือไปยังสถานีชาร์จที่ใกล้ที่สุดเท่านั้น ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าตัวสายชาร์จแถมนั้นไม่มีระบบในการป้องกันความเสียหายจากการชาร์จไฟใดๆ การใช้นานๆ ย่อมมีความเสี่ยง

ความสะดวกเมื่อต้องชาร์จนอกบ้าน

สำหรับใครที่ชอบชาร์จนอกบ้านก็ควรทำการสำรวจให้ดีๆ ว่าเมืองที่คุณอยู่มีบริการชาร์จนอกบ้านเพียงพอให้คุณรู้สึกสะดวกสบายหรือไม่ ส่วนใครที่อยู่ในกรุงเทพ และจังหวัดใหญ่ๆ ก็คงจะหายห่วงไปได้เปราะหนึ่งเพราะเริ่มมีการให้บริการชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าทั้งตามปั๊มน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า และสถานที่สาธารณะสำคัญๆ ให้เห็นมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม บริการชาร์จนอกบ้านส่วนใหญ่จะเป็นระบบการชาร์จกระแสสลับ และมีหัวชาร์จไม่ครอบคลุมรถยนต์ไฟฟ้าทุกแบรนด์ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าบางยี่ห้อไม่สามารถใช้บริการแท่นชาร์จได้ เพราะแต่ละประเทศจะใช้มาตรฐานหัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแตกต่างกัน ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าค่ายใด ก็อย่าลืมสำรวจเรื่องนี้ให้ดีซะก่อน

ระยะเวลาในการชาร์จ

เวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละคันไม่เท่ากัน เนื่องจากมีขนาดความจุของแบตเตอรี่ต่างกัน  แต่โดยส่วนใหญ่รถยนต์ไฟฟ้าจะมีขนาดความจุแบตเตอรี่ 60 – 90 kW ซึ่งหากใช้สายชาร์จแถม (Mode 2) จะใช้เวลาชาร์จนานถึง 40 ชั่วโมง แต่หากชาร์จผ่านเครื่อง Wallbox EV Charger (Mode 3) จะสามารถช่วยย่นระยะชาร์จเวลาได้มาก ตามประสิทธิภาพของเครื่องชาร์จแต่ละรุ่น โดยจะใช้เวลาชาร์จเหลือเพียง 3-4 ชั่วโมง

ค่าไฟฟ้า และการบำรุงรักษา

เมื่อเปรียบเทียบค่าน้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์สันดาปภายในมาเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าแล้วจะพบว่าค่าชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้าจะประหยัดกว่าค่าเติมน้ำมันเชื้อเพลิงถึง 3 เท่า  โดยอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง จะอยู่ที่ 3 บาท/กิโลเมตร ส่วนค่าไฟในการชาร์จรถไฟฟ้าจะอยู่ราวๆ 0.7 – 1 บาท/กิโลเมตร เท่านั้น   อีกทั้งค่าบำรุงรักษาของรถยนต์ไฟฟ้าก็ต่ำมากๆ เพราะตัวรถไม่มีกลไกอะไรซับซ้อน แตกต่างจากรถยนต์สันดาปภายในซึ่งต้องเข้าศูนย์เช็คสภาพบ่อยกว่ามาก  ตามระยะทางที่วิ่งได้หรือระยะเวลาที่กำหนด โดยทุกครั้งที่เข้าเช็คสภาพ ก็คือต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น ซึ่งข้อนี้อาจเป็นผลประโยชน์ที่เย้ายวนใจให้คุณสนใจอยากลงทุนซื้อรถไฟฟ้ามาขับมากขึ้น

และนี่ก็คือ 5 ข้อควรคำนึงก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่เราอยากแนะนำให้เพื่อนๆ ได้ทราบในครั้งนี้ ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคน อย่างไรก็ดี แม้ว่าช่วงนี้ราคารถยนต์ไฟฟ้าจะยังสูงอยู่ แต่เชื่อว่าอีกภายใน 2-3 ปีข้างหน้า ราคารถไฟฟ้าคงจะต่ำลงมากในระดับที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ ใครที่กำลังอยากมีรถยนต์คันใหม่ หากรอได้ รถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย

Sujate Wanchat

What one man calls God, another calls the laws of physics.

วิศวกร นักท่องเที่ยว บล็อกเกอร์ นักเขียนบทความ ชอบติดตามโลกเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าล้ำสมัย เรื่องราวการท่องเที่ยวผจญภัย มนุษย์ต่างดาว และสาวๆ เซ็กซี่

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save