COVID-19 ถือว่าเป็นสึนามิลูกใหญ่ที่พัดพาทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ให้พังทลายไปเหลือเพียงเศษซากของความรุ่งเรืองในอดีตให้เราได้เห็นเท่านั้น
จากช่วงแรกในการระบาดในจีน ทำให้เราเห็นการปิดเมืองอู่ฮั่นที่หลายคนคิดว่า จีนนั้นเล่นใหญ่เกินไปหรือเปล่า แม้ในช่วงแรกเราจะเห็นข่าว และคลิปชาวจีนในเมืองอู่ฮั่นในสภาพสิ้นหวังจนเราหดหู่ไปตามๆ กัน แต่ตอนนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความเบ็ดเสร็จนั้นทำให้จีนสามารถควบคุมวิกฤตครั้งนี้ได้อย่างดี
สำหรับคนไทยเองที่เริ่มได้รับผลกระทบกันอย่างหนักตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ในเวลา 1 เดือนหลายคนน่าจะเริ่มปรับตัวได้ หาทางใช้ชีวิต และทำงานแบบ Work from home กันมากขึ้น และนี่คือการคาดการณ์หลังจบวิกฤตครั้งนี้ เพื่อที่เราจะเตรียมตัวรับมือกับอนาคตอันใกล้ที่กำลังจะเกิดขึ้นนั่นเอง
เทคโนโลยีด้านแพลตฟอร์มดิจิตอลจะโดดเด่นมากขึ้น
จากเดิมที่คนเข้าถึงเทคโนโลยีอย่าง โซเชียลมีเดีย ,ช้อปปิ้งออนไลน์ ,e-wallet ไปจนถึงแอพฯ สั่งอาหาร นั้นจะเป็นคนวัยรุ่นหนุ่มสาว และวัยทำงานเป็นส่วนใหญ่ แต่การที่เราออกจากบ้านไม่ได้ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากขึ้นเห็นความสำคัญของโลกออนไลน์ยิ่งขึ้น สินค้าอุปโภค, บริโภคทุกอย่างสามารถซื้อได้ผ่านอินเตอร์เน็ต จ่ายเงินผ่าน e-wallet หรือ mobile banking ได้เลย
โควิท-19 ทำให้มีกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้ที่บางคนไม่เคยใช้มาก่อน ส่วนคนที่เคยใช้อยู่แล้วก็ใช้ถี่ยิ่งขึ้น ทำให้เทคโนโลยีเหล่านี้จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ และต่อยอดไปได้อีกยาว
การทำงานที่บ้าน หรือการเรียนออนไลน์ จะกลายเป็นเรื่องปกติ
ก่อนหน้านี้ในประเทศไทยเคยมีประเด็นเรื่องการ Work from home แทนการมาทำงานออฟฟิศลงไปสักอาทิตย์ละ 1 วัน จากเรื่องของปัญหาฝุ่นละออก PM2.5 ในอากาศ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากเรื่องการขนส่ง และการเดินทาง ซึ่งสำหรับเจ้าของกิจการก็มองว่าเป็นความเสี่ยงในประสิทธิภาพของการทำงานเหมือนกัน
แค่ความจำเป็นในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิท-19 ทำให้หลายหน่วยงานจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานที่บ้านให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เหมือนเป็นการบังคับกลายๆ ให้เปิดใจยอมรับแนวคิด Work from home นี้ ซึ่งถ้ามันได้ผลดี มันก็จะถูกนำมาใช้อย่างแน่นอน เพราะนอกจากธุรกิจยังเดินไปได้แล้วยังสามารถลดค่าใช้จ่ายในการใช้สถานที่ทำงานลงด้วย
บริษัท หรือหน่วยงานต่างๆ จะปรับตัวไปใช้ระบบ Digital มากขึ้น
สำหรับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยการเป็น Analog ล้วน เชื่อว่าธุรกิจจะหยุดชะงักทันทีในช่วงสถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งแล้วใหญ่คือถ้าสถานการณ์นั้นลากยาว โอกาสที่ธุรกิจจะตายจากผลที่ไม่มีรายได้เข้ามาหล่อเลี้ยงนั้นสูงมาก “หน้าร้านแบบออนไลน์” จะเป็นช่องทางการรอดตายของธุรกิจ
แต่สำหรับบริษัทที่รอดจากวิกฤตนี้ จะมองหาเครื่องมือเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงตัวเองเข้าสู่ระบบ Digital มากขึ้น นี่ถือเป็นการกวาดล้าง “ไดโนเสาร์” ครั้งใหญ่ของโลกเลยทีเดียว
ระบบสาธารณสุขจะกลายมาเป็นวาระสำคัญของโลก
หลายๆ ประเทศออกมาประกาศว่าวิกฤตครั้งนี้ไม่ต่างจากสงครามที่ต้องให้ประชาชนต้องปฏิบัติตัว และรับมือกับมันอย่างเข้มข้น
หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ทุกประเทศต่างมองเรื่องความมั่นคงของประเทศนั้นมาจากการสะสมอาวุธ ภัยที่สำคัญมาจากการก่อการร้าย และศัตรูที่มาในรูปแบบมนุษย์ด้วยกันเอง ทำให้ละเลยเรื่องสาธารณสุข “ไวรัส” กลายเป็นศัตรูที่เรามองไม่เห็น แต่ทำลายประเทศได้ทุกด้านพอกับสงคราม
ดังนั้นหลังจบวิกฤตนี้แล้วสิ่งที่ทั้งโลกหันมาลงทุน คือ เทคโนโลยีทางการแพทย์ และการพัฒนาระบบสาธารณสุข เพื่อเตรียมรับมือกับสงครามครั้งต่อไป
สิ้นสุดแนวคิด “การใช้ชีวิตวันนี้ให้สุด พรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็ช่าง”
กับการมาของโควิท-19 เหมือนมาฟาดฟันแนวคิดนี้ให้สิ้นซากทันที เพราะชีวิตของคนที่มีเงินออม กับคนที่ใช้เดือนชนเดือนนั้นในภาวะเช่นนี้ต่างกันมาก เช่นเดียวกับธุรกิจที่มีเงินทุนสำรอง กับธุรกิจที่ต้องใช้แต่เงินหมุนตลอด
ซึ่งนี่จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ทำให้โลกที่เราเคยรู้จัก กับโลกหลังจากวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิท-19 นี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป