ตามปกติของฟุตบอลระดับสโมสร บ้านเราคุ้นเคยมากสุด ก็คงเป็นลีกจากยุโรป ซึ่งนอกเหนือจากลีกแต่ละประเทศแล้ว ฟุตบอลสโมสรยุโรป โดยเฉพาะ “ยูฟ่า แชมป์เปียนส์ ลีก” ก็ได้รับความสนใจสูงปรี๊ด เพราะถือเป็นเกียรติประวัติที่ยิ่งใหญ่ นักฟุตบอลใส่เต็ม กองเชียร์ก็จัดหนักตาม
แต่หากจะนับ “แชมป์ระดับทวีป” ที่ยิ่งใหญ่ และมีแพสชั่นไม่แพ้ฝั่งยุโรป ทวีปอเมริกาใต้เอง ก็ถือว่ามีความเข้นข้นในการห้ำหั่นกันสูงเช่นกัน โดยรายการที่ชิงความเป็นที่ 1 ของทวีปอเมริกาใต้ มีชื่อว่า “โคปา ลิเบอร์ตาโดเรส”
เฉกเช่นเดียวกับยุโรป “โคปา ลิเบอร์ตาโดเรส” ถือเป็นเกียรติประวัติอันยิ่งใหญ่ของนักฟุตบอล เพราะนอกจากความคลั่งไคล้ในฟุตบอลของชาวอเมริกาใต้ มันยังมักเป็นฝันใหญ่ๆ ของนักเตะที่นั่น ซึ่งมักจะเริ่มต้นชีวิตวัยเด็กอย่างยากลำบาก อย่างที่เราเคยได้ฟังเรื่องราวนักเตะจากลาตินอเมริกามากมาย ที่กว่าจะประสบความสำเร็จ ต้องฝ่าฟันอุปสรรคเป็นกระบุง
และด้วยความที่ถ้วยใหญ่จากทั้ง 2 ทวีป จัดเป็นเกียรติยศสูงสุดในโลกฟุตบอล ดังนั้นการแข่งขันจึงสูงมาก กว่าจะได้กันซักทีก็เลือดตาแทบกระเด็น ไอ้การที่จะมีนักเตะซักคน คว้ามันได้ทั้ง 2 ถ้วย ได้เป็นทั้ง “จ้าวยุโรป” และ “จ้าวอเมริกาใต้” จึงถือว่ายากทวีคูณ
อย่างไรก็ดี ก็ยังมีนักเตะ 10 คนที่ทำมันได้ และนี่คือรายชื่อของนักเตะผู้ครองจ้าวทวีปอันยิ่งใหญ่ ทั้ง 2 แผ่นดิน สำเร็จ
ราฟินญ่า
(แชมป์ UCL : บาเยิร์น มิวนิค / แชมป์ลิเบอร์ตาโดเรส : ฟลาเมงโก้)
นักเตะรายที่ 10 ในประวัติศาสตร์ ที่พึ่งเข้ามาอยู่ในลิสต์นี้เมื่อปีที่แล้วนี่เอง หลังเขาเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญ พาทีมฟลาเมงโก้ เถลิงแชมป์ลิเบอร์ตาโดเรสเป็นสมัยที่ 2 ในประวัติศาสตร์ หลังเว้นว่างมานานถึง 38 ปี
เส้นทางการค้าแข้งของราฟินญ่า แบ็คและวิงแบ็คฝั่งขวา ส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกันดีอยู่บนฝั่งแผ่นดินยุโรป โดยนับตั้งแต่เขาย้ายจากโคริติบาในบ้านเกิด ก็มาแจ้งเกิดกับชาลเก้ ก่อนจะแว้บไปอยู่กับเจนัว ได้ซีซันนึง และกลับมาบุนเดสลีกา กับบาเยิร์น มิวนิค
ถึงจะไม่ได้เป็นตัวจริงแบบสม่ำเสมอ แต่เขาถือเป็นอะไหล่ชั้นดี และมีความสารพัดประโยชน์ตามแต่แทคติกที่ทีมต้องการ ทำให้เขาอยู่กับ “เสือใต้” นานถึง 8 ปี และเป็นส่วนหนึ่งในทีมชุดที่คว้าแชมป์ UCL เมื่อปี 2013 ด้วยการชนะดอร์ทมุนด์ 2-1
โรนัลดินโญ่
(แชมป์ UCL : บาร์เซโลน่า / แชมป์ลิเบอร์ตาโดเรส : แอตเลติโก มิเนโร่)
อีกหนึ่งนักเตะที่คว้าจ้าวยุโรปได้ก่อน แล้วค่อยมาคว้าแชมป์บนแผ่นดินอเมริกาใต้ ในภายหลัง ซึ่งแม้ข่าวคราวในช่วงหลังของโรนัลดินโญ่ จะไปในทางแง่ลบซะมาก แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้เลย ว่าเขาคือนักเตะพรสวรรค์ที่สุดคนนึงของโลก
ความจริงแล้วในลีกบ้านเกิด ทีมที่ปลุกปั้นโรนัลดินโญ่ขึ้นมา คือเกรมิโอ ก่อนจะได้ย้ายมาเล่นในยุโรปครั้งแรกกับเปแอสเช และไปประสบความสำเร็จสูงสุดกับ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า ซึ่งเขาคว้า 2 แชมป์ลาลีก้า และแชมป์ UCL ในปี 2006
หลังจากย้ายไปมิลาน ได้ราว 3 ปี ก็ถึงคราวกลับบ้านมาอยู่กับแอตเลติโก มิเนโร่ ซึ่งเขาสามารถพาทีมทะลุเข้าไปเป็นแชมป์ลิเบอร์ตาโดเรส สมัยแรกของสโมสร ได้ในปี 2013 โดยพลิกสถานการณ์ จากที่แพ้เลกแรกต่อโอลิเปีย จากปารากวัย 0-2 กลับมาชนะด้วยสกอร์เดียวกันในบ้าน (รอบชิงเล่น 2 นัด เหย้า-เยือน) ก่อนจะยืดเยื้อไปชนะดวลจุดโทษ 4-3 ได้สำเร็จ
ดานิโล่
(แชมป์ลิเบอร์ตาโดเรส : ซานโตส / แชมป์ UCL : เรอัล มาดริด)
แบ็คจอมบุกชาวแซมบ้า เริ่มต้นอาชีพกับอเมริกา มิเนโร่ ก่อนจะขยับก้าวหน้ารวดเร็วมาอยู่ซานโดส ซึ่งแม้จะอยู่แค่ซีซันเดียวในปี 2010/11 แต่ก็เป็นปีที่ทีมเถลิงแชมป์ลิเบอร์ตาโดเรส สมัยที่ 3 โดยนอกจากดานิโล่ ซานโตสชุดนั้นมีทั้ง เนย์มาร์, อเล็กซ์ ซานโดร, เอลาโน่ และเฟลิเป้ แอนเดอร์สัน
ไฮไลต์สำคัญในนัดชิงลิเบอร์ตาโดเรส คือดานิโล่เป็นผู้ยิงประตูให้ทีม ร่วมกับเนย์มาร์ ช่วยให้ทีมชนะเพนารอล 2-1 หลังนัดแรกเสมอมา 0-0 คว้าแชมป์ได้สำเร็จ
ถัดจากความสำเร็จบนทวีปเกิด เขาก็ย้ายไปพัฒนาต่อที่ปอร์โต้ ต่อด้วยเรอัล มาดริด ซึ่งเขาอยู่ในชุดคว้าแชมป์ UCL 2 ใน 3 สมัยซ้อน ถึงจะเป็นเพียงแค่ตัวสำรองในนัดชิงก็ตาม
หลังจากย้ายออกจากมาดริด เขาก็ยังวนเวียนอยู่กับทีมระดับชั้นนำ ทั้งแมนฯ ซิตี้ ในช่วงสั้นๆ ก่อนจะย้ายมาอยู่กับยูเวนตุสในปัจจุบัน ซึ่งไม่แน่เหมือนกัน ว่าในอนาคตเขาอาจจะเพิ่มเหรียญแชมป์ทวีป ได้มากขึ้นไปอีก
ดิด้า
(แชมป์ลิเบอร์ตาโดเรส : ครูไซโร่ / แชมป์ UCL : เอซี มิลาน)
หนึ่งในทวารที่ดีที่สุดคนนึงของทีมชาติบราซิล ในยุคหลัง สร้างชื่อในบ้านเกิดกับครูไซโร่ ซึ่งเขาขึ้นมาเป็นมือ 1 ตั้งแต่อายุยังน้อย และนอกจากจะเริ่มติดทีมชาติ เขายังเป็นมือ 1 ในปี 1997 ที่ทีมคว้าแชมป์ลิเบอร์ตาโดเรส อีกด้วย
ในการตะลุยยุโรป ถึงช่วงเริ่มต้นจะติดขัด เพราะไม่สามารถแย่งมือ 1 ในทีม “ปีศาจแดงดำ” ได้ทันทีทันใด แต่พอเขาได้รับความไว้ใจ ก็ยึดตำแหน่งได้ยาวๆ และผ่านการเข้าชิง UCL ถึง 3 หน ประสบความสำเร็จ 2 หน จากการดวลจุดโทษชนะยูเวนตุส ในปี 2003 และการแก้แค้นลิเวอร์พูลสำเร็จ ในปี 2007 หลังพลิกล็อคแพ้ที่อิสตันบูลในปี 2005
ตลอด 10 ปีที่เขารับใช้มิลานมา เขายังคว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา 1 สมัย, โคปา อิตาเลีย 1 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 2 สมัย และแชมป์สโมสรโลก 1 สมัย รวมถึงอยู่ในทีมชุดแชมป์ฟุตบอลโลกกับบราซิล ในปี 2002 อีกด้วย
ฮวน พาโบล โซริน
(แชมป์ UCL : ยูเวนตุส / แชมป์ลิเบอร์ตาโดเรส : ริเวอร์เพลท)
แบ็คจอมลุยชาวอาร์เจนไตน์ เข้ามาอยู่ในลิสต์นี้แบบแปลกประหลาดกว่าทุกคนเค้า เพราะปีที่เขาเป็นแชมป์ 2 ทวีป คือขวบปีเดียวกันในปี 1996 ซึ่งจะว่าไปแล้ว เป็นปีที่อาชีพค้าแข้งของเขาสะดุดหกล้มมากกว่าจะประสบความสำเร็จ
โซรินเป็นเด็กปั้น และสร้างชื่อของอาร์เจนติโนส จูเนียร์ เทิร์นโปรชุดใหญ่ได้ไม่นาน ก็ได้ย้ายแบบก้าวกระโดดไปยูเวนตุส ในยุคของลิปปี้ พร้อมกับเริ่มเข้าข่ายติดทีมชาติอาร์เจนติน่า
แต่ชีวิตเขาในอิตาลีไม่ราบรื่น แทบไม่ได้ลงเล่นเลย แต่ก็ยังจับพลัดจับผลู อยู่ในชุดแชมป์ UCL ซึ่ง “ยูเว่” สามารถเบียดชนะอาแหยกซ์ ซึ่งอุดมไปด้วยนักเตะชื่อดัง นำทัพโดยดาวซัลโว UCL ปีนั้น ยารี ลิตมาเนน, เอ็ดการ์ ดาวิดส์, เอ็นวานโก้ คานู, เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ และพี่น้องเด บัวร์
เมื่อโอกาสในอิตาลีมันย่ำแย่ เขาจึงย้ายกลับไปริเวอร์เพลท หลังจบฤดูกาลคว้าแชมป์ยุโรป และในปีเดียวกัน เขาก็มีส่วนร่วมในการพาริเวอร์เพลทไปถึงแชมป์ลิเบอร์ตาโดเรส โดยทีมชุดนั้นมีศูนย์หน้าต่างวัยที่ชื่อว่า เอ็นโซ ฟรานเชสโคลี่ กับ เอร์นัน เครสโป ร่วมด้วยกองกลางคุณภาพ ทั้งอาเรียล ออร์เตก้า, มัทเธอัส อัลเมด้า, มาร์เซโล่ กัลยาโด้
วอลเตอร์ ซามูเอล
(แชมป์ลิเบอร์ตาโดเรส : โบคา จูเนียร์ / แชมป์ UCL : อินเตอร์ มิลาน)
ในช่วงเวลาที่ฟอร์มเข้าฝัก ยุคประมาณ 2000 กว่าๆ ชื่อของซามูเอล ถูกยกให้เป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่เหนียวแน่น และเข้าสกัดบอลแม่นยำที่สุดในโลกคนนึง โดยซามูเอล เริ่มต้นอาชีพกับนีเวลส์ โอลด์ บอยส์ ก่อนจะย้ายไปร่วมทีมยักษ์ใหญ่ร่วมลีกอย่าง โบคา จูเนียร์
ซามูเอลอยู่กับโบคาราว 3 ปี และในซีซันสุดท้าย เขาเป็นกำลังสำคัญพาทีมคว้าแชมป์ลิเบอร์ตาโดเรส สมัยที่ 3 ของสโมสร โดยมีเพื่อนร่วมทีมชื่อคุ้นเคยทั้ง มาร์ติน ปาแลร์โม, ฮวน โรมัน ริเกลเม่, ฆอร์เก้ เบอร์มิวเดซ
หลังจากนั้น เขาย้ายมาท็อปฟอร์มกับโรม่า ก่อนจะแวะไปเรอัล มาดริด ช่วงสั้นๆ ก่อนจะมาอยู่กับอินเตอร์ มิลาน ยาวนานเกือบ 10 ปี ซิวแชมป์เซเรีย อา 5 สมัย, โคปา อิตาเลีย 3 สมัย และ UCL 1 สมัยในปี 2010 ซึ่ง “งูใหญ่” ของโชเซ่ มูรินโญ่ ชนะบาเยิร์น มิวนิค จาก 2 ประตูของดืเอโก้ มิลิโต้
คาร์ลอส เตเบซ
(แชมป์ลิเบอร์ตาโดเรส : โบคา จูเนียร์ / แชมป์ UCL : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)
ศูนย์หน้าอารมณ์ศิลปินชาวอาร์เจนไตน์ ถือเป็นตำนาน และสมบัติของโบคา จูเนียร์ อย่างแท้จริง ปัจจุบันเขายังค้าแข้งอยู่กับโบคา ซึ่งถือเป็นหนที่ 3 ของเขาแล้ว นับตั้งแต่แจ้งเกิดกับทีมตั้งแต่ปี 2001
แชมป์ลิเบอร์ตาโดเรสของเจ้าตัว เกิดในปี 2003 ซึ่งเจ้าหนูเตเบซวัย 19 ปี ขึ้นมายึดตัวจริงได้แล้ว การประสานงานกับมาร์เซโล่ เดลกาโด้ และกิลเลอร์โม่ เชล็อตโต้ ทำให้แนวรุกพวกเขายากจะรับมือ โดยเตเบซสามารถยิงประตูในนัดชิงเลกที่ 2 ได้ด้วย
ส่วนแชมป์ยุโรป เตเบซคว้ามันได้กับ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2008 ซึ่งพวกเขาชิงกับคู่ปรับร่วมลีก เชลซี โดยเกมนัดนั้นยืดเยื้อไปจนถึงการดวลจุดโทษตัดสิน และเตเบซซึ่งเล่นเต็ม 120 นาที เป็นคนรับหน้าที่ยิงลูกแรกเข้าไป ก่อนจะชนะสุดดราม่า 6-5
โรเก้ จูเนียร์
(แชมป์ลิเบอร์ตาโดเรส : พัลไมรัส / แชมป์ UCL : เอซี มิลาน)
อีกหนึ่งเพชรเม็ดงามตอนดาวรุ่ง แต่กลับดับแสงลงอย่างรวดเร็วในช่วงอายุราว 24-25 ปี โดยทีมที่เขาค้าแข้งด้วยนานที่สุดคือพัลไมรัส ซึ่งทำให้เขาเริ่มติดทีมชาติบราซิล และถูกจับตามองว่าจะเป็นยอดเซ็นเตอร์ของโลกในอนาคต
โรเก้ จูเนียร์ อยู่ในชุดแชมป์ลิเบอร์ตาโดเรสครั้งแรก และครั้งเดียวของสโมสร ในปี 1999 โดยเขาเล่นเซ็นเตอร์คู่กับ จูเนียร์ ไบยาโน่ ตัวกองหลังทีมชาติบราซิล โดยหลังจากเริ่มมีชื่อเสียง เขาก็ย้ายซบเอซี มิลาน ซึ่งทำให้เขาพอคุ้นเคยกับเกมยุโรป และอยู่ในชุดคว้าแชมป์ UCL ในปี 2003
หลังจากนั้น การย้ายที่น่าสนใจคือถูกยืมมายังลีดส์ ยูไนเต็ด ในยุครอยต่อจากยุคทองของดาวรุ่ง แต่ฟอร์มการเล่นของโรเก้ จูเนียร์ กลับออกทะเล และการย้ายทีมถี่ยิบถัดจากนั้น ก็ล้มเหลวไปหมด ทั้งกับเลเวอร์คูเซ่น, ดุยส์บวร์ก หรือการย้ายแบบยืมตัวกลับไปพัลไมรัส ก็ตาม
เนย์มาร์
(แชมป์ลิเบอร์ตาโดเรส : ซานโตส / แชมป์ UCL : บาร์เซโลน่า)
แนวรุกพรสวรรค์แต่เจ้าปัญหา ชาวบราซิล แจ้งเกิดกับซานโตสตั้งแต่อายุ 17 ตลอดเวลา 4 ปีในช่วงวัยรุ่นกับทีม เขายิงกระจุยเกินกว่า 100 ลูก และเป็นรองดาวซัลโวของลิเบอร์ตาโดเรส ในปี 2011 ที่ซานโดสทะลุไปเป็นแชมป์
ถัดจากนั้นอีกราว 2 ปี เจ้าหนูเนย์มาร์ ย้ายมาสร้างความฮือฮากับบาร์เซโลน่า ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยังมีส่วนร่วมกับเกมรุกอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ และสามารถคว้าแชมป์ UCL กับทีม เป็นแชมป์ 2 ทวีปตั้งแต่อายุแค่ 23 ปีเท่านั้น โดยในซีซันนั้น (2014/15) เนย์มาร์เป็นดาวซัลโวร่วมใน UCL และเป็นคนยิงประตูปิดกล่องให้ทีมชนะยูเวนตุส 3-1 ในนัดชิง
ปัจจุบันนักเตะแข้งทองอายุ 28 ปีแล้ว ถึง 5 ปีนับจากนั้นจะตะกุกตะกักอยู่หลายช่วง จะด้วยอาการบาดเจ็บ, ความเกเรไม่อยู่กับร่องกับรอย และแพสชันที่ดูลดลงเรื่อยๆ แต่ก็ถือว่าเขายังมีเวลาอีกพอควร ให้เพิ่มแชมป์ระดับทวีป เพื่อเป็นเกียรติประวัติส่วนตัว
คาฟู
(แชมป์ลิเบอร์ตาโดเรส : เซา เปาโล / แชมป์ UCL : เอซี มิลาน)
ปิดท้ายนักเตะระดับตำนาน และติดโผหนึ่งในแบ็คขวาที่ดีที่สุดตลอดกาล โดยคาฟู ถือว่าเป็นนักเตะที่มาแจ้งเกิดในระดับสโมสรบนเวทียุโรปค่อนข้างช้า แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพ และความฟิตที่ไม่เป็นรองใคร ทำให้เขาเล่นในระดับสูงได้จนถึงอายุ 38 ปี เลยทีเดียว
แชมป์ลิเบอร์ตาโดเรสของคาฟู เกิดกับสโมสรที่เขาเติบโตมาอย่างเซา เปาโล โดยคาฟูเป็นกำลังสำคัญของทีม ในชุดที่ครองจ้าวอเมริกาใต้ 2 ปีติด 1992 และ 1993 โดยผู้ที่ชูถ้วยแชมป์ทั้ง 2 ครั้งคือ ไร ผู้ที่ได้ชูถ้วยแชมป์โลก ในฐานะกัปตันทีมชาติบราซิล ในอีก 1 ปีถัดมา
ความจริงแล้ว คาฟูเคยโผล่มาเล่นในยุโรปกับเรอัล ซาราโกซ่า แต่ไม่ประสบความสำเร็จ กว่าจะกลับมาลุยยุโรปอีกหนกับโรม่า ก็อายุ 27 ปี ส่วนตอนย้ายไปมิลาน ก็อายุปาเข้าไป 33 ปีนู่นเลย
แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ยังรักษาฟอร์มการเล่นระดับสูงไว้ยอดเยี่ยม และสั่งลาช่วงท้ายอาชีพ ด้วยการคว้าแชมป์ UCL ในปี 2008 ถึงในนัดชิงกับลิเวอร์พูลปีนั้น คาฟูจะเป็นแค่สำรองของมัสซิโม่ อ็อดโด้ ก็ตาม
Picture : Twitter, 90min, Zimbio, UEFA, Diario AS, Lance!, Bleacher Report, Yahoo Sport UK, Pinterest, Eurosport Asia, ForoCoches, Scoopnest, YouTube, El Comercio Perú, Tribuna, Gol di Tacco a Spillo, FourFourTwo, Futebol no Planeta, Leeds Live, Kickoff, China Daily, facebook (Conmebol Libertadores), The AC Milan Offside