เห็นหัวเรื่องจั่วมาขนาดนี้ ก็โปรดเข้าใจผมได้เลยว่า บทความนี้เขียนตามใจตัวเองล้วนๆ แต่ใช่ว่าอยู่ดีๆ นึกอยากทำก็ทำ มันมีที่มาที่ไปสำคัญอยู่
บทความที่ทุกท่านได้อ่านนี้ เป็นบทความที่ 201 ของผมแล้วกับ The Macho โดยความตั้งใจทำ 100 อันดับนักเตะ “หงส์แดง” เคยคิดไว้ตั้งแต่เขียนบทความครบ 100 บทความ แต่ช่วงนั้นมีทั้งแฟนตาซี กับเรื่องราวอื่นให้วุ่นวาย เลยขอยกมาฉลองเล็กๆ กับการเขียนครบ 200 บทความแทน
วิธีการจัดอันดับนักเตะลิเวอร์พูลของผม เริ่มจากการจำกัดให้เหลือแค่เพียงยุคพรีเมียร์ลีก หรือนับตั้งแต่ซีซัน 1992/93 เป็นต้นมา เพราะถือเป็นปีที่ทันได้ดูแบบรู้เรื่องรู้ราว (ก่อนนั้นยังเด็กมาก) โดยย้ำอีกทีว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ
เพื่อความไม่ตกหล่น ผมลิสต์เอานักเตะหงส์แดงที่ได้ลงสัมผัสเกมออกมาทั้งหมด แล้วค่อยๆ ตัดตัวให้เหลือ 100 คนที่ชื่นชอบ พวกที่ถูกตัดออกแต่แรกก็อย่างนักเตะที่มีบทบาทน้อยนิด เช่น หลุยส์ อัลแบร์โต้, แยน ครอมแคมป์ หรือมิลาน โยวาโนวิช หรือนักเตะที่มีอิทธิพลต่อทีมมากมายในอดีต แต่การเล่นพรีเมียร์ลีกเป็นช่วงปลายแล้ว เช่น บรูซ กร็อบเบล่าร์, สตีฟ นิโคล หรือรอนนี่ วีแลน
ถัดไปที่ต้องตัดออก คือพวกนักเตะที่เคยเอาใจช่วย แต่ยังมีบทบาทไม่มากเพียงพอต่อทีม เช่น อัลแบร์โต้ อาควิลานี่, เซบาสเตียน โคอาเตส, คริสเตียน ซีเก้
หรือพวกที่ฉิวเฉียดติด Top 100 ประมาณว่าชอบนะ แต่มีคนที่ชอบกว่า อย่างพวกที่ต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป เช่น เคอร์ติส โจนส์, เนโค วิลเลียมส์ พวกที่เกือบจะดี แต่ยังดีไม่สุด เช่น มามาดู ซาโก้, จอนโจ้ เชลวีย์, ฌิมี่ ตราโอเร่ หรือจอมเก๋าที่เราได้ดูน้อยไปนิด (ทั้งที่ชอบ) อย่าง แจน โมลบี้ เป็นต้น
จากนักเตะเกินกว่า 200 ราย สุดท้ายก็ได้ 100 อันดับที่ผมชื่นชอบ โดยเราจะไปไล่ดูกันให้ครบตั้งแต่ท้ายตารางไปจนถึงหัวตาราง หวังว่า “เดอะ ค็อป” รวมถึงแฟนทีมอื่นที่ติดตามพรีเมียร์ลีกมานาน จะชื่นชอบ และร่วมหวนคิดถึงเหล่านักเตะที่เคยเดินผ่านป้าย “This is Anfield” ในสีเสื้อแดงเพลิงไปด้วยกัน
อันดับ 100 : นีล เมลเลอร์
อันดับ 99 : ทาคูมิ มินามิโนะ
อันดับ 98 : มาร์ติน เคลลี่
ดาวรุ่งที่เกิดในย่านวิสตัน ถือเป็นหนึ่งในสเกาเซอร์ที่เอาใจช่วยมาตลอด ในช่วงที่ก้ำๆ กึ่งๆ จะได้ขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ ก็มักจะมีเหตุให้หายหน้าไปนานจากอาการบาดเจ็บทุกทีไป
จากความพยายามปักหลักในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่ถนัด ก็เริ่มถูกโยกไปเล่นแบ็คขวา ซึ่งความคล่องตัวเป็นปัญหาสำคัญ จนสุดท้ายเมื่อโอกาสลงสนามน้อยลง ก็ต้องลาสโมสรที่อยู่มาแต่เด็ก แล้วย้ายไปพาเลซแทนจนปัจจุบัน
อันดับ 97 : นูริ ซาฮิน
อันดับ 96 : ร็อบบี้ คีน
ถือเป็นนักเตะที่น่าเสียดายที่สุดลำดับต้นๆ ที่ได้เคยแวะเวียนมาร่วมทัพลิเวอร์พูล โดยในตอนนั้นคีนอยู่ได้ไม่เต็มฤดูกาล เพราะ “ราฟา เบนิเตซ” ไม่ได้ต้องการ แต่เป็นทีมซื้อขายที่ยัดเยียดโอกาสเซ็นหัวหอกไอริชมาให้
นอกเหนือจากปัญหาได้รับโอกาสไม่สม่ำเสมอ ฟอร์มของทีมตอนนั้นก็ขึ้นๆ ลงๆ คีนจึงจรลีย้ายกลับสเปอร์ น่าเสียดายความทุ่มเทเต็มร้อย และวิญญาณเพชฌฆาต ที่หงส์แดงควรจะได้ประโยชน์ในระยะยาว
อันดับ 95 : เรียน บริวสเตอร์
อันดับ 94 : จอน ฟลานาแกน
อันดับ 93 : สจ๊วต ดาวนิ่ง
อันดับ 92 : อัลแบร์โต้ โมเรโน่
อันดับ 91 : นาธาเนียล ไคลน์
อันดับ 90 : อัลเบิร์ต ริเอร่า
อันดับ 89 : แดนนี่ เมอร์ฟี
แน่นอนว่าในยุคที่มิดฟิลด์เท้าชั่งทองรายนี้ค้าแข้งอยู่ “เดอะ ค็อป” ปลื้มกับการรับบทขาประจำ ยิงประตูชัยใส่ “ปีศาจแดง” ตัวผมเองก็ชื่นชอบเขาไม่น้อย ในเรื่องของเซ้นส์บอล และความเข้าใจในการเล่นได้ทั้งแดนกลาง และกองหน้าตัวต่ำ
น่าเสียดายที่ระยะหลัง การให้สัมภาษณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอย กระทบสโมสรก็บ่อย อาจจะเพราะยังผูกใจเจ็บที่เป็นส่วนเกินตอนต้นยุคราฟา
อันดับ 88 : ฟาบิโอ ออเรลิโอ
อันดับ 87 : โจเอล มาติป
อันดับ 86 : สตีเฟ่น วอร์น็อค
อันดับ 85 : ดิว็อค โอริกี
อันดับ 84 : ริคกี้ แลมเบิร์ต
อันดับ 83 : ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์
ถึงจะยังแทบไม่ได้โชว์ฝีเท้าอะไรมากมายกับทีมชุดใหญ่ แต่ด้วย “ใจ” และ “ความกล้าเล่น” ทำให้ผมชื่นชอบไอ้หนูเอลเลียตต์มากเป็นพิเศษ และคิดว่า “เจอร์เก้น คลอปป์” เองก็รู้สึกเช่นกัน
ด้วยวัยเพียง 17 ปี คาดว่าเราจะได้เห็นอนาคตอันน่าตื่นเต้นของเอลเลียตต์ หวังว่าเขาจะยืนหยัดสู้เหมือนขวบปีที่ผ่านมา และได้โอกาสที่เหมาะสม จนประสบความสำเร็จกับทีมได้
อันดับ 82 : โมฮาเหม็ด ซิสโซโก้
อันดับ 81 : โจ อัลเลน
อันดับ 80 : ซิมง มินโญเล่ต์
อันดับ 79 : ฟาบินโญ่
อันดับ 78 : สเตฟาน อองโชซ์
อันดับ 77 : แอนดี้ แคร์โรลล์
อันดับ 76 : ราฮีม สเตอร์ลิง
แน่นอนว่าการจากกันไม่ค่อยดี ทำให้หลายคนร้องยี้ใส่ราฮีม ผมเองก็เคยคิดเช่นนั้น เพียงแต่หากมองเรื่องฝีเท้า กับเรื่องราวชีวิตวัยรุ่นที่วุ่นวาย ราฮีมผ่านอะไรมาเยอะกว่าจะมาถึงจุดนี้ และคู่ควรได้โอกาสกับทีมลิเวอร์พูล และประสบความสำเร็จในตอนนี้กับ “เรือใบสีฟ้า” (ถึงจะยังอยากให้ฝืดเวลาเจอกันหน่อยก็เหอะ!)
อันดับ 75 : เดยัน ลอฟเรน
อันดับ 74 : ฌิบริล ซิสเซ่
อันดับ 73 : ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่
น่าจะมีแฟนหงส์แดงหลายคนแปลกใจที่อันดับของแบ็คพลังม้า ต่ำเพียงแค่ 73 โดยส่วนตัวผมไม่ใช่ไม่ชอบเขา สไตล์การเล่นอันดุดัน และลูกยิงที่ “มันเท้า” (แบบสุภาพนิด ฮ่า) ติดตราตรึงใจเสมอ
เพียงแต่แบ็คจอมพลังรายนี้ มีช่วงผิดพลาดมากมายในโค้งสุดท้ายที่อยู่กับทีม โดยความผิดพลาดส่งผลต่อจุดเปลี่ยนหลายครั้ง จนนำไปสู่การแยกทางกับทีมที่น่าเห็นใจ แต่มันก็เป็นวิถีฟุตบอลที่ใช่ว่าจะสวยงามเสมอไป
อันดับ 72 : เอมิล เฮสกี
อันดับ 71 : ติตี้ กามาร่า
อันดับ 70 : นิโกล่าส์ อเนลก้า
อันดับ 69 : พอล อินซ์
ตอนอินซ์ย้ายกลับมาจากอิตาลี เซอร์ไพรส์เหมือนกันที่มาลงเอยกับลิเวอร์พูล ทั้งที่เคยเป็นถึงกัปตันทีมคู่อริอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ที่อินซ์ลงเล่นในสีเสื้อหงส์แดง แต่แฟนบอลก็ได้เห็นความทุ่มแท และดุดันสม่ำเสมอ จนลบข้อสงสัยไปได้ด้วยดี
อันดับ 68 : มาร์ติน สเกอร์เทล
อันดับ 67 : ไรอัน บาเบิล
ตอนที่มีข่าวว่าทีมจะซื้อตัวบาเบิลมา รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะนอกจากจะโฉบตัดหน้าหลายทีม ยังรู้สึกว่าสไตล์การเล่นของเขา จะสร้างมิติให้แผนการเล่นของราฟาเปลี่ยนไป เมื่อได้เขามาร่วมจอยกับเจอร์ราร์ด และตอร์เรส
แต่น่าเสียดายที่ความวูบวาบที่คาดหวัง ไม่สม่ำเสมอเพียงพอ ถึงจะอยู่กับทีมหลายปี แต่ก็นับได้ว่าแนวรุกดัทช์แมน ไม่ประสบความสำเร็จกับทีมเท่าไหร่ อย่างไรก็ดี ความชื่นชอบในลีลาและความกล้าเล่นของผมก็ไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงติดตามเขาเสมอ โดยเฉพาะผลงานในทีมชาติ
อันดับ 66 : เจอร์ซี ดูเด็ค
อันดับ 65 : สติก อิงเก้ บียอร์นบี้
อันดับ 64 : วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์
อันดับ 63 : แฮร์รี คีเวลล์
อันดับ 62 : ซานเดอร์ เวสเตอร์เฟลด์
อันดับ 61 : นีล รัดด็อค
“เรเซอร์” คือนักเตะที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน ความบ้าบิ่นผสมความอารมณ์ดี ปนเปในบุคลิกของแก ทั้งในและนอกสนาม
การเข้ามาของเขาไม่ได้ถึงกับช่วยอุดรอยรั่วให้แนวรับหงส์แดงในยุคนั้น แต่มันทำให้เรารู้สึกดูบอลสนุกขึ้น 10% เมื่อมีเขาอยู่ในสนาม ยิ่งเหตุการณ์ที่แกพับปกคอเสื้อ “เอริค คันโตน่า” ลง ยิ่งตอกย้ำว่านี่แหละคือเรเซอร์ที่เราชื่นชอบ!
อันดับ 60 : ฮาเวียร์ มาสเคราโน่
อันดับ 59 : ปีเตอร์ เคราช์
อันดับ 58 : เคร็ก เบลลามี่
อันดับ 57 : ยอสซี่ เบนายูน
อันดับ 56 : นาบี เกอิต้า
อันดับ 55 : สแตน คอลลีมอร์
สแตน “เดอะ แมน” คอลลีมอร์ คือความตื่นเต้นถึงขีดสุดในช่วงที่ทีมเสริมเขาเข้ามาจากฟอเรสต์ ความเร็วในการไปกับบอล และการหาโอกาสจบสกอร์ เป็นสิ่งบันเทิงที่ “เดอะ ค็อป” ได้รับในยุคที่ทีมเน้นเล่นเกมรุก
น่าเสียดายที่ขวบปีของเขากับทีมสั้นไปหน่อย ทำให้เราไม่ได้เห็นการทดลองแผนการเล่นต่างๆ มากนัก โดยเฉพาะสิ่งที่แฟนๆ อยากเห็น อย่างการจับ “คอลลี่” มาคู่กับ “ร็อบบี้ ฟาวเลอร์” ในระยะยาว
อันดับ 54 : ดีทมาร์ ฮามันน์
อันดับ 53 : เจสัน แม็คเคเทียร์
อันดับ 52 : โคโล ตูเร่
อันดับ 51 : ฟิลิปเป้ คูตินโญ่
คล้ายกับคำพูดของ “เจอร์เก้น คลอปป์” หาก “พ่อมดน้อย” เลือกอยู่กับทีมต่อ เขาอาจจะได้เป็นตำนาน และมีรูปปั้นอยู่ที่สนาม อันดับนักเตะที่ผมชื่นชอบก็คงขยับขึ้นสูงกว่านี้เช่นกัน
เรื่องการตัดสินใจย้ายของเจ้าตัว เชื่อว่าแฟนบอลทุกคนไม่ติดใจสงสัย เพียงแต่การแสดงออกตอนท้าย มันจะไม่น่ารักเท่าไหร่ ถือซะว่า “คูตี้” แกคว้าโอกาสที่มี เหมือนตอนที่ “เบรนแดน ร็อดเจอร์ส” ตัดสินใจดึงเขามาร่วมทีมจากอิตาลี ซึ่งเป็นก้าวกระโดดสำคัญ ที่ทำให้เขาเติบโตและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
อันดับ 50 : เกล็น จอห์นสัน
อันดับ 49 : อัลบาโร่ อาร์เบลัว
อันดับ 48 : โจ โกเมซ
อันดับ 47 : เอ็มเร่ ชาน
อันดับ 46 : จอร์จินิโอ้ ไวจ์นาดุม
อันดับ 45 : อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน
อันดับ 44 : แดนนี่ อิงส์
ผมชื่นชอบอิงส์ในมุมมอง 2 แบบ อย่างแรกคือชื่นชมความเป็นมืออาชีพ และความทุ่มเทไม่ย่อท้อของเจ้าตัว แม้จะต้องบาดเจ็บรุนแรงถึง 2 ครั้ง 2 หน แต่ตอนนี้ก็กลับมาแข็งแกร่ง และเพิ่งเข้าป้ายเป็นรองดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกกับเซาธ์แธมป์ตันมาหมาดๆ
อย่างที่ 2 คือเขาสะท้อนให้เห็น “มวลความอบอุ่น” ของทีมในยุค “เจอร์เก้น คลอปป์” ได้ชัดเจน ทุกคนที่เคยอยู่กับทีมล้วนได้รับความรัก และได้รับความคิดถึงเมื่อจากไปเสมอ มันเป็นพลังบวกที่ได้เห็นในทีมชุดนี้ ซึ่งเป็นอีกส่วนสำคัญต่อความสำเร็จ
อันดับ 43 : แดเนียล สเตอร์ริดจ์
อันดับ 42 : ราอูล ไมราเลส
อันดับ 41 : มิลาน บารอส
อันดับ 40 : ไมเคิล โอเว่น
ไม่ต่างจากคูตินโญ่นัก “เบบี้โกล์” จากลากับทีมไม่ค่อยดีเท่าที่ควร และยังย้ายไปอยู่กับคู่อริอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เลยทำให้แฟนบอลหลายคนยอมรับตัวเขาได้ยาก ยังไม่รวมกับการพูดไม่ค่อยคิดอีกหลายรอบในโซเชียล มีเดีย จึงไม่แปลกที่จะมีเสียงไม่เห็นด้วย ในการตั้งเจ้าตัวเป็นทูตสโมสร
ถึงจะไม่ปลื้มเมื่อตอนย้ายออกจากทีมเท่าไหร่ แต่หากมองย้อนไปในช่วงที่เขารับใช้ทีมแล้ว โอเว่นถือเป็นดาวรุ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด เรื่องเซ้นส์การทำประตูและหาตำแหน่งที่ว่าง ไม่เกินเลยที่จะบอกว่าเป็นระดับแนวหน้าของโลก และทำให้ “เดอะ ค็อป” ปลื้มใจแค่ไหน ในเวลานั้น
อันดับ 39 : เดวิด เจมส์
อันดับ 38 : เอียน รัช
อันดับ 37 : โฆเซ่ เอ็นริเก้
อันดับ 36 : เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาโนลด์
เด็กมหัศจรรย์รายล่าสุดที่เติบโตมาจากระบบเยาวชนของสโมสร เทรนท์มีความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมที่จะค้าแข้งระยะยาวกับทีม และหวังจะขึ้นมาเป็นกัปตันทีมให้ได้ในอนาคต ถือเป็นเพชรสเกาเซอร์เม็ดงาม ที่ทีมขาดหายมานาน
ถึงตอนนี้ไอ้หนูเทรนท์ในวัย 21 ปี จะถูกยกให้เป็นหนึ่งในนักเตะที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก แต่เขาก็ยังเหลือจุดที่ต้องปรับปรุงอีกหลายอย่าง ซึ่งแน่นอนว่า “เดอะ ค็อป” ทุกคน จะคอยโอบอุ้มเขาไว้ หากใจนักสู้ของเขาไม่เปลี่ยนแปลง
อันดับ 35 : เจมส์ มิลเนอร์
อันดับ 34 : อดัม ลัลลาน่า
อันดับ 33 : จอห์น บาร์นส์
อีกหนึ่งตำนานของสโมสร ที่ในยุคพรีเมียร์ลีกเราจะเห็นเขาขยับบทบาทไปเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางเสียมาก แต่ “ปีกนิลกาฬ” ก็ยังมีบทบาทสำคัญกับทีมอยู่หลายปี และเคยขึ้นมาเป็นกัปตันทีมในยุคก่อน “พอล อินซ์” จะย้ายมาด้วย
นอกจากฝีเท้าในสนาม สิ่งที่ชื่นชอบน้าบาร์นส์อีกอย่าง คือ “แนวคิด” ซึ่งเราได้เห็นบ่อยครั้งขึ้น ในบทบาทนักวิเคราะห์หรือสื่อมวลชน โดยบาร์นส์หลอมรวมความเข้าใจในวิถีลิเวอร์พูล และการมองโลกด้วยความจริง ซึ่งทำให้เราประทับใจทุกครั้งที่ได้ฟัง
อันดับ 32 : แม็กซี่ โรดริเกซ
อันดับ 31 : สตีฟ ฟินแนน
อันดับ 30 : ลูคัส เลว่า
เทพแห่งความพยายามถูกนับว่าเป็นสเกาเซอร์คนนึงไปเสียแล้ว ด้วยความรักในฟุตบอล, แฟนบอล และการอุทิศตัวเองเต็มที่ให้ทีม แม้ช่วงเวลาฟอร์มเทพ จะไม่ได้ยืนยาวเท่าไหร่นัก แต่เขาก็เป็นที่รักของผู้คนแวดล้อม ความสัมพันธ์กับแฟนบอลเมื่อจากไป ก็ยังยอดเยี่ยม ลูคัสส่งความปรารถนาดีต่อทีม อยู่สม่ำเสมอ
ความชื่นชอบต่อลูคัสของผมไม่ต่างจากคนอื่นมากนัก คือรักในความพยายาม และความรักที่เขามีให้กับสโมสร ผมเคยเลือกชื่อเขาปักบนเสื้อแข่งที่ซื้อด้วยตัวนึง เพื่อขอบคุณความตั้งใจที่ใครเห็น ใครก็ต้องรัก
อันดับ 29 : มาร์ค ไรท์
ในยุคที่เริ่มต้นดูลิเวอร์พูลอย่างจริงจัง ไรท์ถือเป็นความอุ่นใจหลังบ้านที่ขาดไม่ได้ เขายอดเยี่ยมแข็งแกร่งทั้งลูกกลางอากาศ และทางบอลที่ช่ำชอง น่าเสียดายก็ตรงที่เจ็บบ่อย จนทีมใช้งานเขาปีๆ นึง ได้ไม่ค่อยเต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก
ในช่วงที่เล่นสม่ำเสมอ และท็อปฟอร์ม ไรท์ถูกยกย่องว่าเป็นกองหลังที่ผสมผสานฟุตบอลยุคเก่าและใหม่ไว้ในตัว เยือกเย็นเหมือนน้ำแข็ง แข็งแกร่งเหมือนภูผาหิน คือคำนิยามที่อดีตกุนซือ และนักเตะที่เคยร่วมงาน กล่าวถึงเขา
อันดับ 28 : โมฮาเหม็ด ซาล่าห์
อันดับ 27 : เวการ์ด เฮ็กเก้ม
อันดับ 26 : คาร์ล-ไฮนซ์ รีดเล่
ถึงจะอยู่กับทีมในช่วงสั้นๆ แต่ “ฉลามล้อคลื่น” เป็นนักเตะที่โคตรเท่ในความคิดผมสมัยนั้น เพราะนอกจากชื่นชอบลิเวอร์พูล ผมยังเอาใจช่วยดอร์ทมุนด์อยู่ด้วย พอได้รู้ว่ารีดเล่จะย้ายมาร่วมทัพหงส์แดง ตอนนั้นยอมรับเลยว่ากรี๊ดแตก ฮ่า
รีดเล่เป็นกองหน้าที่รูปร่างไม่สูงใหญ่ แต่กลับเล่นลูกกลางอากาศได้เก่ง ส่วนสำคัญมาจากความเข้าใจในเกม และยืนถูกที่ถูกเวลาเสมอ ถึงกับหงส์แดง รีดเล่จะรับบทสำรองบ่อยครั้ง และไม่ได้ยิงประตูมากมาย แต่ก็ถือเป็นช่วงเวลาสนุกสนานที่เราได้เชียร์นักเตะที่ชอบ ในสีเสื้อทีมที่รักที่สุด
อันดับ 25 : มาร์คุส บับเบิล
อันดับ 24 : ซาดิโอ มาเน่
อันดับ 23 : อลิสซง เบ็คเกอร์
อันดับ 22 : จอร์แดน เฮนเดอร์สัน
แน่นอนว่ากัปตันทีมคนปัจจุบันอย่าง “เฮนโด” ถูกพูดถึงมากมายในด้านความพยายาม และทุ่มเทแบบมืออาชีพให้กับสโมสรเสมอ ซึ่งกว่าที่คนจะเห็นคุณค่า ก็เล่นเอาผ่านวิบากกรรม มามากมายหลายอย่าง
วิบากกรรมสำคัญที่สุดคือตัวของเขาเอง เพราะเขาเคยได้รับความกดดันจากการรับปลอกแขนต่อจาก “สตีเว่น เจอร์ราร์ด” ซึ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจ และสไตล์การเล่นของตัวเองไปพักใหญ่ ยังไม่รวมถึงตอนที่เป็นส่วนเกิน จนร็อดเจอร์สเอ่ยปากให้ย้าย แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ และพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นกำลังสำคัญกับทีมในทุกวันนี้
อันดับ 21 : โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่
อันดับ 20 : ชาบี อลอนโซ่
อันดับ 19 : เฟร์นานโด มอริเอนเตส
สมัยนั้นตอนเชียร์บอล หรือเล่นวินนิ่ง (หรือฟีฟ่า) เราจะมีนักเตะทีมอื่นที่ชอบเพราะมันเท่ดี และแน่นอนว่ามอริเอนเตสเป็นหนึ่งในนั้น ไม่คาดคิดเหมือนกันว่า จะมีโอกาสเห็นเขาย้ายมาหาความท้าทายกับลิเวอร์พูล เพราะตอนนั้น เขาเปรียบเป็นสัญลักษณ์ของเรอัล มาดริด ไม่ต่างจาก “ราอูล กอนซาเลซ”
คล้ายกับรีดเล่ “เอล มอโร่” อยู่กับทีมแค่ช่วงสั้นๆ และไม่ได้สร้างอิมแพ็คอะไรมากเท่านักเตะสแปนิชรายอื่นที่ราฟาดึงมาร่วมทีม แต่มันก็ช่วยยืนยันว่าตอนนั้นลิเวอร์พูลมีเสน่ห์ดึงดูดนักเตะชื่อชั้นระดับเกรดเอมาร่วมทีม
อันดับ 18 : ร็อบ โจนส์
ยุคสมัยที่ดูลิเวอร์พูลจริงจัง ก็คงเป็นยุคของ “แกรม ซูเนสส์” คุมทีม และอยู่ดีๆ ก็มีแบ็คขวาโนเนมโผล่มา นามว่า “ร็อบ โจนส์” นอกจากจะอายุน้อย ยังมาจากลีกล่าง แต่กลับได้รับความไว้วางใจลงเล่นตัวจริงอย่างรวดเร็ว
แม้ผลงานโดยรวมของหงส์แดงสมัยซูเนสส์ จะไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว แต่การให้โอกาสโจนส์ถือเป็นความสนุกสนานในการชมสมัยนั้น แบ็คอะไรเล่นได้ดีไปหมดทั้งรุก-รับ น่าเสียดายที่แกมาเจ็บเรื้อรังไปซะก่อน ไม่งั้น “แกรี่ เนวิลล์” มีหนาวแน่ กับตำแหน่งในทีมชาติอังกฤษ
อันดับ 17 : แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน
อันดับ 16 : หลุยส์ การ์เซีย
อันดับ 15 : เปเป้ เรน่า
พื้นฐานนิสัยของเปเป้ คือแกเป็นคนน่ารัก และมีความเป็นมืออาชีพสูงอยู่แล้ว ไม่ว่าจะอยู่กับสโมสรไหน ยิ่งกับลิเวอร์พูลที่แกผูกพันมานานเกือบ 10 ปี ยิ่งทำให้เราได้เห็นมุมนี้ ได้ชัดเจนอย่างยิ่ง
นอกเหนือจากนิสัยใจคอ เปเป้ยังสร้างสถิติยอดเยี่ยมไว้มากมาย ด้วยเปอร์เซ็นการเซฟต่อนัด, การเสียประตูน้อยนิดกับทีม, คลีนชีต และความเชี่ยวชาญในการเซฟจุดโทษ ถ้าไม่นับช่วงหลังที่ฟอร์มตกลงไป ถือว่าเปเป้เป็นการซื้อตัวที่ยอดเยี่ยมครั้งนึงในยุคพรีเมียร์ลีก
อันดับ 14 : แดเนียล แอกเกอร์
อันดับ 13 : เดิร์ค เคาท์
อันดับ 12 : ยารี ลิตมาเน่น
ข่าวย้ายมาลิเวอร์พูลของตำนานชาวฟินแลนด์ มีมาหลายครั้งหลายครา และก็มาเป็นจริงจนได้ในยุคของ “เชราด์ อุลลิเยร์” ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้แฟนบอลตื่นเต้นมาก เพราะลิตมาเน่นถือเป็นนักฟุตบอลที่มีคลาสมากที่สุดคนนึง ในยุคโมเดิร์นฟุตบอล
น่าเสียดายที่ระยะเวลาเล่นร่วมกับลิเวอร์พูลถือว่าน้อยไปหน่อย เพราะลิตมาเน่นย้ายมาตอนอายุขึ้นเลข 3 แล้ว เราเลยได้เห็นลุกยิง-ลูกจ่าย แค่พอหอมปากหอมคอ ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าได้แกมาตอนยังหนุ่มกว่านั้น เกมรุกจะสนุกสนานแค่ไหน
อันดับ 11 : สตีฟ แม็คมานามาน
อันดับ 10 : แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์
อย่างที่ทราบกันว่า “บิ๊กแม็ค” อยู่กับหงส์แดงแค่เพียงสั้นๆ 2 ซีซัน แถมย้ายมาฟรีในวัย 33-34 ปีอีกต่างหาก ดังนั้นแค่เล่นให้โอเค ก็คุ้มค่าแล้วล่ะ
แต่มันไม่ใช่แค่นั้น แม็คอัลลิสเตอร์ คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ, ลีกคัพ, ยูฟ่า คัพ, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และชาริตี้ ชิลด์ กับลิเวอร์พูลแบบครบถ้วน ด้วยการมีส่วนสำคัญอย่างมาก ลูกยิงสำคัญใส่เอฟเวอร์ตัน ช่วยพาทีมจบอันดับ 3 คว้าพื้นที่ไปเล่น UCL เหนืออดีตทีมเก่าอย่างลีดส์ ก็เป็นอีกโบนัสที่ลืมไม่ลง
นอกเหนือจากเซ้นส์บอลที่คงอยู่ครบถ้วน ความทุ่มเทในการเล่นยังไม่แพ้นักเตะหนุ่มๆ ถือเป็นความลงตัวในซีซันที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในยุคของ “เชราด์ อุลลิเยร์” อย่างแท้จริง
อันดับ 9 : แพทริค แบร์เกอร์
นอกเหนือจากที่ชื่นชอบดอร์ทมุนด์เป็นทุนเดิม ทีมชาติเช็กในยูโร 1996 มันโคตรจะน่าเชียร์ การที่เห็น “คาเรล โพบอร์สกี้” กำลังจะซบแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำให้แอบอิจฉา แต่ความตาร้อนนั้นก็มลายหายไป เมื่อทราบว่าเรา กำลังจะได้หนึ่งในนักเตะน่าจับตาอย่างแบร์เกอร์เข้ามาบ้าง
นอกจากรูปลักษณ์อันมีเสน่ห์น่าเชียร์ เท้าซ้ายของแบร์เกอร์ยังฉมังไม่แพ้กัน การเล่นของเขาเต็มไปด้วยพลังขับเคลื่อน กลายเป็นตัวหลักสำคัญของทีมอยู่ 3-4 ซีซัน ก่อนจะลดบทบาทลงในปีที่คว้าทริปเปิลแชมป์บอลถ้วย และจากทีมไปในเวลาต่อมา
อันดับ 8 : หลุยส์ ซัวเรซ
ศูนย์หน้าจอมกัดทีมชาติอุรุกวัย เป็นคำนิยามที่ชัดเจนของการ “มีอยู่ในทีมรัก อยู่ฝั่งตรงข้ามเกลียด” เพราะยามเขาสวมยูนิฟอร์มหงส์แดง เขาเป็นที่รักของทุกคนในสโมสร ด้วยแพสชั่นและการเป็นส่วนนึงของครอบครัว แม้หลายทีจะขาดสติทำอะไรที่ไม่ควรทำไปบ้าง
“เอล ปิสโตเรโล่” เป็นกองหน้าที่ดีที่สุดอันดับต้นๆ ของลิเวอร์พูลในยุคพรีเมียร์ลีกอย่างไม่ต้องสงสัย การเคลื่อนที่ตลอดเวลา, ทักษะที่เปี่ยมล้น และความอยากเอาชนะทุกสิ่งตรงหน้า ทำให้เขาคู่ควรกับแชมป์รายการใหญ่เป็นอย่างยิ่ง น่าเสียดายเหลือเกินที่ซีซัน 2013/14 จะจบลงด้วยคราบน้ำตา
อันดับ 7 : เวอร์จิล ฟาน ไดค์
หากจะถามถึงนักเตะที่ชอบที่สุดในชุดปัจจุบัน ส่วนตัวผมตอบฟาน ไดค์ อย่างไม่มีข้อกังขา เพราะนอกจากผลงานในสนามที่เข้ามายกระดับทีมอย่างชัดเจน ภายนอกสนามเขายังมีอิทธิพลต่อทุกสิ่งโดยรอบ คุ้มค่ากับการรอคอยยาวนานเกือบ 2 ปี ที่ทีมมุ่งเป้าเซ็นสัญญาแบบรักแล้วไม่เปลี่ยนใจ
เสื้อทีมลิเวอร์พูลตัวล่าสุดที่เสียตังค์อุดหนุนสโมสรของผม เป็นหมายเลข 4 และชื่อของเวอร์จิลอย่างไม่ต้องลังเล แม้ตอนนี้เขาจะอายุ 29 แล้ว แต่ด้วยสไตล์การเล่น และการรักษาร่างกายที่ดี เชื่อว่าเขาจะยังเป็นกำลังสำคัญของทีมไปได้อีกหลายปี แบบขาดไม่ได้
อันดับ 6 : ซามี ฮูเปีย
ไม่ต่างจากฟาน ไดค์ ภูผาหินชาวฟินน์เกิดมาเพื่อเป็นผู้นำในแนวรับโดยแท้ จากนักเตะโนเนมที่ถูกเซ็นเข้ามาด้วยราคาราว 2.5 ล้านปอนด์ กลายเป็นตำนานของหงส์แดง ผู้อยู่รับใช้ทีมมานานเกือบ 10 ปี น้ำตาของชายร่างใหญ่รายนี้ ในวันอำลาสนามที่แอนฟิลด์ บ่งบอกถึงความรักที่เขามีให้ทีมได้อย่างดี
ด้วยฟอร์มการเล่นที่สม่ำเสมอ และความเป็นผู้นำที่สุขุม ทำให้อุลลิเยร์มอบหมายให้เขาเป็นกัปตันทีม หลังลงเล่นแค่เพียง 2 ซีซัน ก่อนตำแหน่งอันทรงคุณค่าจะส่งต่อให้เด็กลูกหม้อสโมสรอย่าง “สตีเว่น เจอร์ราร์ด” โดยซามี่ไม่เคยอิดออด และยินดีสอนทุกสิ่งอย่างให้สตีวี่ กลายเป็นยอดกัปตันในเวลาต่อมา
อันดับ 5 : เฟร์นานโด ตอร์เรส
แม้ต่อมาความจะแดงว่าเงินที่ “2 ปลิงมะกัน” ลงทุนซื้อสโมสร รวมถึงเอาใจ “เดอะ ค็อป” ด้วยการคว้าศูนย์หน้าระดับโลกอย่างตอร์เรส จะเป็นเงินกำมะลอกู้หนี้ยืมสินมา แต่ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่านี่คือการซื้อที่ตื่นเต้นที่สุดครั้งนึงในประวัติศาสตร์ของสโมสร
“เอล นินโญ่” คือนิยามความสมบูรณ์แบบของกองหน้าที่แตกต่างจากซัวเรซสิ้นเชิง หากซัวเรซเป็นพายุหมุนที่เคลื่อนที่วุ่นวายปั่นป่วน ตอร์เรสเปรียบเหมือนวาทยกรที่เคลื่อนที่เป็นจังหวะจะโคน และเร่งเร้าได้เสมอเมื่อจำเป็น
ถึงตอนจะแยกทางจากกันจะหุนหันให้ตกใจเกินไป แต่มันก็พอเข้าใจในการตัดสินใจ เมื่อเวลาผ่านไปซักพัก น่าเสียดายที่หลังจากนั้นตอร์เรสไม่เคยแสดงฝีเท้าระดับเทพแบบที่อยู่ในถิ่นแอนฟิลด์ได้เลย อดคิดเล่นๆ ไม่ได้ ว่าการประสานงานกับซัวเรซ จะออกมายังไง
อันดับ 4 : ร็อบบี้ ฟาวเลอร์
ยุคแรกที่ “เดอะ ก็อด” ก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ มันคือยุคแห่งการเล่นเกมรุกอันเร้าใจของลิเวอร์พูล ยิ่งได้เห็นเด็กสโมสรที่ยิงได้เฉียบคมขนาดนั้น ยิ่งเชียร์บอลสนุกเข้าไปใหญ่ ลูกยิงแสกหน้า “ปีเตอร์ ชไมเคิล” บ่งบอกความเป็นตัวตนของฟาวเลอร์ เช่นเดียวกับบุคลิกอันยียวนที่ไม่มีใครเหมือน
หากพูดถึงเรื่องระเบียบวินัย หรือความฟิต ฟาวเลอร์อาจไม่ได้มีจุดเด่นให้พูดถึงชัดๆ แต่การเคลื่อนที่เท่าที่จำเป็น และเลือกจังหวะจบสกอร์ที่ยอดเยี่ยม ถูกหัวหอกพลาสเตอร์ยาหยิบเอามาใช้ทดแทนได้ลงตัว
โดยฉายา “เดอะ ก็อด” ได้มาจากความรักที่แฟนๆ มอบให้ ไม่แปลกที่การกลับมาร่วมทีมอีกครั้งในปี 2006 จะเป็นอีกหนึ่งวันที่ “เดอะ ค็อป” ยิ้มแก้มปริที่สุดครั้งนึงในชีวิต
อันดับ 3 : สตีเว่น เจอร์ราร์ด
อันดับที่ 3 ก็สูงลิบมากแล้ว แต่กับชายที่ชื่อ “สตีเว่น เจอร์ราร์ด” คงมีหลายคนตั้งคำถามว่ามันต่ำเกินไปหรือเปล่า? ซึ่งผมมีเหตุผลอธิบายอยู่แหละ
ไม่อาจปฏิเสธเลยว่าเจอร์ราร์ดแบกความรับผิดชอบของสโมสรไว้บนบ่านานแสนนาน ถึงจะไม่มีใครเรียกเขาว่าเป็น “มิสเตอร์ลิเวอร์พูล” เท่าไหร่นัก เพราะเขาโดดเด่นในด้านผลงานต่างๆ มากกว่าแค่การรับใช้สโมสรมานาน แต่ในความรู้สึกผมแล้ว เขาคือ “มิสเตอร์ลิเวอร์พูล” เสมอ ด้วยความรับผิดชอบเต็มความสามารถ ทั้งในและนอกสนาม
ความชอบของเจอร์ราร์ดสำหรับผมเลยไม่ได้หวือหวาเหมือนคนอื่น (เชื่อแน่ว่าถามหลายคน คงตอบเจอร์ราร์ดเป็นอันดับ 1) มันเป็นความรู้สึก “อุ่นใจ” มากกว่าที่มีกัปตันยืนเป็นตัวแทนของทีมอยู่เสมอ และเชื่อว่าความอุ่นใจที่ว่า จะหวนกลับมามีบทบาทสำคัญอีกในอนาคต ไม่ว่าจะตำแหน่งไหน แต่ “เฮียเจิด” จะกลับมาที่แอนฟิลด์แน่นอน
อันดับ 2 : เจมี่ คาร์ราเกอร์
เทียบกับเพื่อนร่วมรุ่นอย่างเจอร์ราร์ด “คาร์ร่า” มีบุคลิกและรูปแบบการเล่นที่แตกต่างกันสิ้นเชิง หลายครั้งเขาเป็นตัวตลกทั้งของแฟนบอลตัวเอง และแฟนบอลฝั่งตรงข้าม แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาจะหยุดทุ่มเทให้กับทีม ใส่ได้ใส่หมด พรสวรรค์ไม่ได้ ก็ขุดพรแสวงมันออกมาแทน
ความพยายามทั้งหมดทั้งมวล ทำให้เขาเป็นตัวเลือกแรกๆ ของผู้จัดการทีมทุกราย และเคยมีช่วงที่ฟอร์มการเล่นสุดยอดอยู่ 1-2 ซีซัน ที่สามารถจัดการกับการจู่โจมทุกรูปแบบของแนวรุกฝั่งตรงข้าม พร้อมยังมีแรงเหลือ ไปแรงกระตุ้นเพื่อนร่วมทีม จนทุกคนที่เคยร่วมงานบ่นยับว่าหูชากันทุกราย ฮ่า
นอกเหนือจากความทุ่มเทในสนาม คาร์ร่ายังเป็นตัวฮาหน้าเป็น ซึ่งสร้างบรรยากาศครึกครื้นให้ทีมเสมอ ไม่แปลกเลยที่แกจะรับหน้าที่เป็นคอมเมนเตเตอร์ได้ดี ยิ่งโดยเฉพาะกับคู่ปรับเก่า “แกรี่ เนวิลล์”
อันดับ 1 : เจมี่ เร้ดแนปป์
อันดับ 1 ของผมไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย นับตั้งแต่เริ่มดูลิเวอร์พูลอย่างจริงจัง ทั้งบุคลิกหน้าตา และความสามารถในสนาม “เร้ดเดอร์” คือนักเตะที่ชื่นชอบเสมอ แม้สุดท้ายเขาจะไปได้ไม่ไกลอย่างที่หวัง เพราะอาการบาดเจ็บที่ซ้ำเติมครั้งแล้วครั้งเล่า
นอกเหนือจากวิชั่นในสนามที่โดดเด่น วิชั่นในความเป็นผู้นำนอกสนามของเขาก็ถูกพูดถึงจากผู้คนในสโมสรมากมาย อย่างเจอร์ราร์ดที่เคยเป็นเด็กขัดรองเท้าของเจมี่ ก็บอกเล่าสิ่งที่เขาได้รับจากคำสอนของรุ่นพี่รายนี้ ซึ่งส่งผลให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในกัปตันทีมที่ดีที่สุดของสโมสร
เอกลักษณ์สำคัญของเจมี่อีกอย่างคือเป็นคนถ่อมตัว และไม่ชอบเป็นเป้าสายตา เขาเคยปฏิเสธการจัดเทสติโมเนียล แมทช์จากลิเวอร์พูล เพราะคิดว่าตัวเองไม่ได้ตอบแทนสโมสรเพียงพอ และไม่คู่ควรกับเกียรตินั้น เขาคือสุภาพบุรุษตัวจริงในรั้วหงส์แดงตอนนั้น
ว้าว! ครบถ้วน 100 อันดับไปเรียบร้อย โดยผมคงไม่สามารถอธิบายถึงความชื่นชอบแต่ละอันดับได้ครบ เลยเลือกเขียนรายละเอียดแค่เพียงบางคนที่อยากจะกล่าวถึง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลต้องย้ำอีกทีว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ แต่ก็ยังแอบหวังว่าคนที่หลงมาอ่านจะชอบกันนะครับ 🙂
Picture : Glasgow Live, The Kop Times, This is Anfield, Zimbio, Liverpool FC, 90Min, Premier League Museum, Diario AS, Sky Sports, FootTheBall, Rush The Kop, Evening Standard, Sportskeeda, Liverpool Echo, Planet Football, Irish Mirror, Goal.com, Shropshire Star, Full Sports, Football365, Propaganda-Photo, The Telegraph, These Football Times, TEAMtalk, Dream Team, Pinterest
1 Comment
Comments are closed.
[…] อ้างจากแหล่งที่มา: … […]