ทีมน้องใหม่ของศึกพรีเมียร์ลีก 2019/20 ต่างก็ขะมักเขม้นเสริมทัพกันเป็นการใหญ่ในช่วงนี้ “สิงห์ผงาด” แอสตัน วิลล่า เทเงิน 100 ล้านยูโร เสริมนักเตะหลายราย นำโดย “เวสลี่ย์” กองหน้าบราซิเลี่ยนจากคลับ บรูช ส่วน “นกขมิ้นเหลืองอ่อน” นอริช ซิตี้ แม้จะลงทุนไม่มาก แต่ก็เติมตัวมีประสบการณ์ เข้ามาหลายราย
อีกทีมนึงคือ “ดาบคู่” เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ซึ่งกลับมาสู่พรีเมียร์ลีก ครั้งแรกในรอบ 13 ปี ลงทุนไปกับนักเตะฟอร์มดีจากศึกแชมป์เปียนชิพ และมีการเซ็นฟรีนักเตะบางราย อย่าง “ฟิล จากีลก้า” อดีตคนคุ้นเคยของทีม และที่น่าสนใจมากคือ “ราเวล มอร์ริสัน” กองกลางวัย 26 ปี อดีตนักเตะ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ ร่วมกับ พอล ป็อกบา, เจสซี่ ลินการ์ด, ไมเคิล คีน
แน่นอนว่ามันไม่แปลกหรอก ที่นักเตะระดับเยาวชนเทพๆ จะไม่ประสบความสำเร็จเมื่อขึ้นสู่ระดับซีเนียร์ อย่างแมนฯ ยู เด็กชุดนั้น ก็มีพวก ไรอัน ตุนนิคลิฟฟ์, วิลล์ คีน, ไทเลอร์ แบล็คเก็ตต์ หรือ ชอน แม็คกินตี้
แต่กับเคสของ “ราเวล มอร์ริสัน” มันกลับแตกต่างออกไป เพราะไม่เคยมีใครสงสัยในฝีเท้าของเขาเลย แต่การที่เขาไม่สามารถขึ้นมาประสบความสำเร็จได้ เป็นเพราะพฤติกรรมของตัวเขาเองล้วนๆ
รู้จักราเวล เยาวชนผู้ฉายแสง
ราเวล เกิดที่เมืองแมนเชสเตอร์เลย ถูกทาบทามเข้าสู่อคาเดมี่ของยูไนเต็ด โดย “ฟิล โบรแกน” อดีตโค้ชเยาวชนของปีศาจแดง
ในช่วงวัยรุ่น ราเวลมีฝีเท้าที่เตะตา จนถึงขนาด “เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน” และ “ริโอ เฟอร์ดินานด์” เคยออกปากว่า ไอ้หนูมิดฟิลด์คนนี้ มีฝีเท้าที่เทพกว่าเด็กในอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
ราเวลเซ็นสัญญากับทุนเยาวชนของปีศาจแดงในปี 2009 ตอนอายุ 16 ปี ถัดจากนั้นอีกแค่ปีเดียว ด้วยฝีเท้าที่พัฒนารวดเร็ว เขาได้สัญญาอาชีพตั้งแต่อายุ 17 และได้ประเดิมสนามในทีมชุดใหญ่ในปีเดียวกัน ในศึกลีก คัพ กับวูล์ฟแฮมป์ตัน โดยเปลี่ยนตัวลงแทน “ปาร์ค จี ซอง”
ในทีมเยาวชนยู-18 ราเวลโชว์ความสามารถต่อเนื่อง โดยเฉพาะการคุมแผงกลาง กับ “พอล ป็อกบา” และ “ไรอัน ตุนนิคลิฟฟ์” พาทีมอสูรน้อย คว้าแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ ในปี 2011 โดยเขายิงประตูได้ทั้งรอบรองกับเชลซี และเบิ้ล 2 ลูก ในนัดชิงกับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด
เด็กเทพของอสูรแดงชุดนั้น ถูกจับตามองอย่างมาก ว่าอาจจะเป็น Class of 92 รุ่นต่อไป ที่สามารถขึ้นมาเป็นกำลังหลักในทีมชุดใหญ่
โดยเฉพาะราเวล ที่เฟอร์กี้เอง เคยพูดว่านี่เป็นดาวรุ่งที่ดีที่สุดที่เขาเคยเห็น รุ่นพี่อย่าง “แกรี่ เนวิลล์” ก็เคยพูดว่าราเวล เป็นกองกลางตัวเปลี่ยนเกมที่ยอดเยี่ยม และมีศักยภาพก้าวขึ้นไปเป็น “พอล แกสคอยน์” คนใหม่ของวงการ
เรื่องราวนอกสนาม ที่น่าเอือมระอา
แม้ฝีเท้าของราเวล จะถูกจับตามองเป็นอย่างมาก แต่เรื่องชีวิตนอกสนามของเขา ก็ถูกพูดถึงมากไม่แพ้กัน
ราเวล เคยถูกตำรวจตักเตือนครั้งแรก ในเหตุใช้กำลังตั้งแต่ปี 2008 หรือตั้งแต่อายุแค่ 15 ปี หลังจากนั้นอีก 3 ปี ตอนกำลังรุ่งๆ ก็รอดนอนคุกหวุดหวิด ในข้อหาข่มขู่พยานในคดีปล้น ซึ่งเป็นเรื่องวุ่นวายนอกสนาม ที่ดาวรุ่งอนาคตไกลอย่างเขา ควรหลีกหนีให้ไกลที่สุด
ไม่กี่เดือนจากนั้น เขาต้องขึ้นโรงขึ้นศาลอีกรอบ หลังถูกตั้งข้อหาทำร้ายร่างกายแฟนสาว แม้สุดท้ายเขาจะยอมรับโทษปรับ แต่ในสายตาของผู้คนที่คาดหวังจากรั้วโอลด์ แทรฟฟอร์ด พวกเขารู้สึกว่า พฤติกรรมของราเวล เกินที่จะให้อภัยแล้ว
เฟอร์กี้ เคยเขียนไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเอง ในภายหลังว่า เส้นทางของราเวล เป็นเรื่องเศร้าที่สุดเรื่องนึงสำหรับเขา ราเวลเป็นนักเตะพรสวรรค์ ที่น่าจะดีที่สุดที่ทีมเคยเซ็นสัญญาอาชีพมา แต่ปัญหานอกสนามกลับทำลายทุกสิ่ง และมันเป็นเรื่องน่าเจ็บปวดมาก ที่ต้องปล่อยเขาออกจากทีมไปในที่สุด
โอกาสอีกครั้งที่เวสต์แฮม
ในปี 2012 “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของ “แซม อัลลาไดซ์” ตัดสินใจมอบสัญญา 3 ปีครึ่ง ให้กับราเวล โดยมีเงื่อนไขที่แมนฯ ยู จะได้เงินโบนัสทุกครั้งที่เขาลงสนามให้เวสต์แฮม เพื่อให้ปีศาจแดง ยอมปล่อยตัวนักเตะ ที่เคยถูกยกย่องว่าน่าจับตามองที่สุด
“เฟอร์กี้” แจ้งกับ “บิ๊กแซม” ตามตรง ว่าราเวลเป็นนักเตะพรสวรรค์ที่เก่งมาก มีทักษะยอดเยี่ยม เพียงแต่พฤติกรรม ทำให้เขาจำเป็นต้องออกจากยูไนเต็ด แล้วไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ซักที่ ซึ่งเขาหวังว่าบิ๊กแซมจะช่วยราเวลได้ แต่สุดท้ายแล้ว มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย
หลังได้เริ่มประเดิมสนามไปไม่นาน พฤติกรรมนอกสนามของราเวล ก็ทำให้เกิดเรื่องราวขึ้นอีก เมื่อเขาโพสต์ทวิตเตอร์ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว จนโดนปรับเป็นเงิน 7,000 ปอนด์ และถูกคาดโทษจากเอฟเอ
แม้จะมีช่วงที่ราเวล ลงสนามและโชว์ฟอร์มได้อยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้ว บิ๊กแซมผิดหวังกับนักเตะดาวโรจน์คนนี้เป็นอย่างมาก จากทัศนคติ และการประพฤติตัวที่ค่อนข้างมีปัญหา จนอัลลาไดซ์เคยกล่าวว่า ราเวลเป็นนักเตะพรสวรรค์ที่เขาเสียดายที่สุด ตั้งแต่เคยร่วมงานมา
ราเวล ถูกปล่อยยืมตัวออกไปถึง 3 ครั้งระหว่างอยู่กับเวสต์แฮม ทั้งกับ เบอร์มิงแฮม, ควีนส์ปาร์ค และคาร์ดิฟฟ์ ฟอร์มการเล่นของเขา ได้เรื่องได้ราวตอนอยู่กับเบอร์มิงแฮม และควีนส์ปาร์ค แต่ก็ยังขาดความต่อเนื่อง และไม่ค่อยได้โอกาสกับต้นสังกัดอย่างเวสต์แฮมนัก
ผู้จัดการทีมที่เขาร่วมงานตอนยืมตัว ทั้งลี คลาร์ก, แฮร์รี่ เร้ดแนปป์ และ รัสเซลล์ สเลด ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาคือนักเตะพรสวรรค์ที่เก่งกาจ แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวของเขาเอง ที่จะทำให้ไม่มีสมาธิจดจ่อกับการเล่น
แม้ความตั้งใจกลับตัวของราเวล จะสร้างความหวังให้เวสต์แฮมอยู่บ้าง ตอนต้นซีซั่น 2013/14 ที่เขาดูมีความมุ่งมั่น และได้เล่นต่อเนื่อง เขายิงได้ถึง 5 ประตู จากการลงเล่นราว 20 นัด โดยเฉพาะประตูโซโล่ เข้าไปยิงแบบชิพข้ามตัว “อูโก้ ยอริส” ในนัดเจอกับสเปอร์
แต่ความคาดหวังนั้น ก็ดับลงอย่างรวดเร็ว ด้วยอาการบาดเจ็บ และทัศคติที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย ที่แก้ไม่หาย
ตระเวนต่างแดน หาโอกาส
หลังอยู่กับเวสต์แฮมจนเกือบครบสัญญา และไม่มีทีท่าจะได้ลงเล่นในทีมอีก เขาถูกปล่อยตัว และเซ็นสัญญากับ “อินทรีฟ้า-ขาว” ลาซิโอ ด้วยสัญญายาวถึง 4 ปี ซึ่งแน่นอนว่าทีมดังจากกรุงโรม คาดหวังว่าจะเปลี่ยนเขากลับมาเป็นนักเตะที่มุ่งมั่นได้
แม้ช่วงแรก เขาจะทำได้ดีในการซ้อม และเล่นแมทช์พรีซีซั่น แต่ไม่นาน เขาก็เริ่มมีข่าวว่าตั้งหลักในอิตาลีไม่ได้ และเริ่มโดนทีมสตาฟฟ์โค้ชออกมาเตือน เมื่อเขาไม่พยายามจะปรับตัว และพูดภาษาอิตาลี เพื่อสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีม
ท้ายที่สุด เขาไม่ค่อยได้รับเลือกลงเล่น เพราะมีปัญหาเรื่องความทุ่มเท และการพยายามปรับตัว ราเวลลงเล่นในเซเรีย อา แค่ 4 นัด การยืมตัวกลับมายังควีนส์ปาร์ค ก็ไม่ประสบความสำเร็จ และแม้การแหวกแนว ยืมตัวไปเล่นในเม็กซิโกกับ “แอตลาส” จะทำได้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ที่ลาซิโอ ดีขึ้น
แม้จะได้ขยายสัญญากับลาซิโอ ไป 1 ปี เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่ต้องผ่าตัดครั้งใหญ่ แต่ทุกอย่างก็ไม่มีอะไรดีขึ้น จนเขาถูกปล่อยตัว และเซ็นสัญญาระยะสั้น 6 เดือน กับ “ออสเตอซุนด์” ทีมในลีกสวีเดน ซึ่งมีผู้จัดการทีมเป็นชาวอังกฤษ
อย่างไรก็ดี ด้วยอาการบาดเจ็บ และค่าเหนื่อยที่สูงกว่าคนอื่นของราเวล ทำให้เขาได้ลงเล่นเพียง 6 นัด ตลอดสัญญา และไม่ได้รับพิจารณาการต่อสัญญา แต่อย่างใด
โอกาสครั้งสุดท้ายในลีกผู้ดี
และเมื่อต้นเดือน ก.ค. ที่ผ่านมานี้เอง “คริส ไวลเดอร์” กุนซือ ซึ่งพาทีม “ดาบคู่” เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เลื่อนชั้นขึ้นมาสู่พรีเมียร์ลีกสำเร็จ ได้ยืนยันว่า ราเวล มอร์ริสัน กำลังฝึกซ้อมร่วมกับทีม และในที่สุดอีกราว 2 สัปดาห์ให้หลัง ราเวลก็ได้เซ็นสัญญาเป็นทางการ เป็นระยะเวลา 1 ปี
ไวลเดอร์ แสดงความมั่นใจว่า ราเวลเป็นนักเตะที่เหมาะสมกับทีมดาบคู่ และเขาไม่ได้กลัว หรือเป็นกังวล จะเซ็นสัญญานักเตะตัวแสบ ที่ขึ้นชื่อคนนี้
นอกเหนือจากความมั่นใจส่วนตัว ไวลเดอร์ ได้คุยกับคนที่รู้จักราเวลหลายคน รวมทั้งแฮร์รี่ เร้ดแนปป์ ซึ่งเห็นด้วยว่าเขาเป็นนักเตะพรสวรรค์ และควรได้โอกาส หากเขามีสมาธิโฟกัสกับการเล่น
การตัดสินใจของไวลเดอร์ จะถูกหรือผิด อันนี้คาดเดาได้ยากยิ่ง เพราะหากเทียบจากประวัติของราเวล โอกาสที่จะประสบความสำเร็จคงจะไม่มาก แต่กลับกัน หากเขาปลุกผีราเวลได้ มันก็จะกลายเป็นการเสี่ยงที่คุ้มค่า ยิ่งกับทีมน้องใหม่ ซึ่งไม่ได้มีงบประมาณมากมายอะไรนัก
ในทางกลับกัน กับตัว “ราเวล มอร์ริสัน” เอง นี่อาจจะเป็นโอกาสครั้งท้ายๆ ของเขาแล้ว ที่จะพิสูจน์ตัวเอง ว่าเขาคือนักเตะที่ดีพอจะเล่นในระดับสูง
อาจไม่ต้องถึงขั้นเทียบเท่า หรือดีกว่า “พอล ป็อกบา” ตามที่เคยได้รับการสรรเสริญตอนเป็นวัยรุ่น ขอแค่ให้มันลบคำสบประมาทตลอดมา ว่าเขาคือนักเตะที่ “เสียของ” ที่สุด แค่นั้นก่อน ก็เพียงพอแล้ว
Picture : Manchester Evening News, Sheffield Newsroom, These Football Times, The Telegraph, SamfordCrimson News, GiveMeSpot, Eurosport, NBC Sports, Sky Sports, EPA, Fox Sports, Mirror, QPR, GazzaMercato, ESPN, Itz, The42