เพิ่ม-ลดสั่งได้! การทำน้ำหนักสุดโหด ตลอดอาชีพของ “คริสเตียน เบล” - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
เพิ่ม-ลดสั่งได้! การทำน้ำหนักสุดโหด ตลอดอาชีพของ “คริสเตียน เบล”

ทราบกันดีนะครับว่านักแสดงระดับแนวหน้า ไม่ว่าจะระดับใด ล้วนแล้วแต่ต้องทุ่มเทมากมายเพื่อปรับตัวตนให้รับบทการแสดงในแต่ละเรื่องให้ได้สมจริง และทำให้ผู้ชมเชื่อมากที่สุด ยิ่งกับระดับฮอลลีวู้ด การแสดงขั้นเทพอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ การปรับโฉมให้สมจริง ก็เป็นอีกวิธีสำคัญ ที่จะเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือให้ผู้ชมได้ด้วยไม่แพ้กัน

คริสเตียน เบล เจ้าของรางวัล 1 ออสการ์ และ 2 ลูกโลกทองคำ

ขึ่นชื่อว่าฮอลลีวู้ดแล้ว แม้หลายสิ่งอย่างจะสามารถเนรมิตขึ้นมาได้ด้วยเทคโนโลยี และความล้ำหน้าของทีมซัพพอร์ต แต่บางที เรื่องของการสร้างคาแรกเตอร์ตัวละคร ทั้งหน้าตา และท่าทาง ก็เป็นสิ่งที่นักแสดงต้องสร้างมันออกมาเอง เช่นเดียวกับเรื่องของรูปร่าง ที่ต้องเพิ่ม-ลดกันอย่างหนักเพื่อรับบทแต่ละบทให้สมจริง ซึ่งผู้ที่ทุ่มเทใช้ทั้งความพยายาม และขีดจำกัดของร่างกาย อย่างมากที่สุด หนีไม่พ้น “คริสเตียน เบล” นักแสดงบริทิชวัย 45 ปี ที่วันนี้เราจะพาไปดูการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของน้ำหนัก ตลอดเส้นทางอาชีพนักแสดงของเขากัน

เริ่มกันที่ยุค 90 ก่อน

เบลในมาดหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว ซึ่งก้าวขึ้นมาเป็นพระเอกตั้งแต่ยุค 90 ในรูปร่างธรรมดา

นับตั้งแต่เป็นที่รู้จักมากขึ้นจากการรับบท “จิม”​ เด็กน้อยที่เป็นตัวนำเรื่องใน “Empire of the Sun” หนังของสตีเว่น สปีลเบิร์ก เมื่อปี 1987 (ขณะนั้นเบลอายุ 12-13 เอง) เบลก็เริ่มมีงานแสดงเข้ามามากขึ้น โดยบทนำที่โดดเด่นเรื่องแรกๆ นับจากนั้นคือ “Swing Kids” ซึ่งเบลในอายุ 18 ปี ต้องเริ่มมีวินัยในการเตรียมความพร้อมเพื่อรับบทในเรื่อง โดยแม้บทจะต้องการรูปร่างของเขาในแบบพระเอกธรรมดาทั่วไป แต่เขาต้องฝึกฝนเรื่องของการเต้น และมาร์เชี่ยล อาร์ต อยู่นาน กว่าจะพร้อมแสดงนำ

ผลงานหลังจากนั้นในยุค 90 ก็ไม่ถึงกับโดดเด่นมากนัก ทั้ง “The Secret Agent” (ปี 1996) และ “Metroland” (ปี 1997) ซึ่งเขาก็รับบทด้วยรูปร่างปกติของตัวเองแบบไม่มีปัญหา

American Psycho (ปี 2000) จุดเริ่มต้นของความฟิต

รูปร่างฟิต & เฟิร์มของเบลใน American Psycho ที่ถูกพูดถึงอย่างมากตอนนั้น

เข้าสู่ยุค 2000 เบลได้มีโอกาสรับบทสำคัญ อย่างบท “พาทริค เบทแมน” ในหนัง “American Psycho” ซึ่งเป็นจุดเริ่ม เงื่อนไขเกี่ยวกับรูปร่างของเขาที่ต้องสัมพันธ์กับตัวละคร บทเบทแมนในเรื่องนี้ เบลต้องรักษาร่างกายให้ลีน (lean) โดยเบลเคยเปิดเผยว่า เขาต้องงดน้ำตาลอย่างจริงจัง เลือกทานแต่ไขมันดี และซีเรียสกับโลว์คาร์บ หรือการลดแป้ง เพื่อให้ร่างกายลีน และมีกล้ามเนื้อพอเหมาะเพียงพอจะถ่ายหลายฉากที่ต้องโชว์หุ่น โดยเบลใช้เวลาเตรียมตัวนานหลายเดือน

Reign of Fire (2002) ถึงเวลาเพิ่มกล้ามเนื้อ

เบลใน Reign of Fire ซึ่งเขาต้องเพิ่มกล้ามเนื้อมากขึ้น เพื่อให้เหมาะกับบท

แม้หนังแฟนตาซีมังกรพ่นไฟเรื่องนี้จะล้มเหลวเรื่องรายได้ แต่ในส่วนของการเป็นนักแสดงมืออาชีพ เบลต้องเพิ่มกล้ามเนื้อเพื่อรับบทนี้มากขึ้นราวๆ 5 ปอนด์ โดยต้องมาเน้นเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งแตกต่างจากการทำให้ลีนใน American Psycho

The Machinist (2004) ขีดสุดแห่งการลดน้ำหนัก

การรับบทใน The Machinist ถือเป็นขีดสดในด้านการลดน้ำหนัก ซึ่งเบลลงทุนลงแรงอย่างมาก

ถือเป็นขีดสุดของการแปลงร่างซึ่งถูกพูดถึงกันจนปัจจุบัน หลังเบลเร่งลดน้ำหนักมากถึง 28 กิโลกรัม จนน้ำหนักเหลือเพียง 54 กิโลกรัม ซึ่งด้วยความสูงระดับ 1.83 เมตร ทำให้ตัวเขาผอมแห้งสุดๆ เพื่อรับบท “เทรเวอร์ ราซนิค” ซึ่งเป็นตัวละครที่ต้องสื่อว่าไม่สามารถนอนหลับได้ลง เป็นระยะเวลายาวนาน

เบลเคยให้สัมภาษณ์ถึงการลดน้ำหนักครั้งนี้ว่า เขาทำทุกทางเพื่อให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว เช่น การกินเพียงแอปเปิ้ล, กาแฟ และน้ำเปล่า ไม่เว้นแม่แต่การสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ให้ร่างกายทรุดโทรมลงคือโหดกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว!

Batman Begins (2005) จากผอมแห้ง สู่ความบึก!

เบลมีเวลาสั้นมากเพียง 6 เดือน เพื่อจะเร่งทำน้ำหนัก และมัดกล้ามเพื่อรับบทบรูซ เวย์น

หลังจบจากการถ่ายทำ The Machinist เบลก็ต้องเตรียมตัวรับบทใหญ่ที่สุดในชีวิตเขาในขณะนั้น ซึ่งอายุประมาณ 30 ปี นั่นคือบท “บรูซ เวย์น” หรือ “แบทแมน” ของคริสโตเฟอร์ โนแลน ซึ่งเป็นบทที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในระดับที่แมสขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งช่วงเวลาที่เขาเตรียมตัวในเรื่องรูปร่าง เป็นระยะเวลาสั้นแค่ 6 เดือน

เบลเร่งเพิ่มน้ำหนักขึ้นมามากถึง 45 กิโลกรัม พร้อมกับสร้างกล้ามเนื้อให้เข้ากับการรับบทบรูซ เวย์น มหาเศรษฐีเพลย์บอย ซึ่งมีรูปร่างหนา และใหญ่ตามคอมมิค และตามภาพที่โนแลนอยากให้เป็น เขาเข้ายิมอย่างหนักหน่วง ทำงานใกล้ชิดกับเทรนเนอร์ส่วนตัว จนได้ผลตามที่เขาต้องการ

แต่ปัญหายังไม่จบเพียงเท่านั้น เมื่อ 45 กิโลกรัมที่เขาเพิ่มมา มันใหญ่เกินไปในความคิดของโนแลน และยังเป็นปัญหาต่อการใส่ชุดสูทแบทแมนอีกต่างหาก เบลเลยต้องกลับไปรีดน้ำหนักออกอีกหน จนสุดท้ายก็พร้อมสำหรับการถ่ายทำแบทแมนภาครีบู๊ตนี้จนได้

Rescue Dawn (2006) ลดน้ำหนักอีกหน!

กับ Rescue Dawn นอกจากจะต้องลดน้ำหนัก ยังต้องค่อยเพิ่มระหว่างถ่ายทำ เพื่อความสมจริง

ความท้าทายในชีวิตการแสดงของเบลยังคงดำเนินต่อไป เมื่อเขาต้องรับบท “ดีเธอร์ เด็งเลอร์” ในหนังเชลยสงคราม “Rescue Dawn” ซึ่งเบลต้องลดน้ำหนักตัวเองลงอีกครั้งกว่า 25 กิโลกรัม แถมหนังยังมีการถ่ายทำแบบย้อนไทม์ไลน์ ทำให้เบลต้องค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักจากที่ลดขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อให้สมจริงกับบทอีกต่างหาก!

The Dark Knight (2008) กลับมาบึกแบบลีนอีกรอบ!

นอกจากการกลับมาทำน้ำหนักให้เป็นแบทแมนได้น่าเชื่อแล้ว เบลต้องคิดเผื่อเรื่องการเข้าฉากบู๊ด้วย

เมื่อผ่าน Rescue Dawn ที่ต้องโทรมไปแล้ว เบลก็พอจะมีช่วงระยะเวลาให้เรียกน้ำหนัก และความบึกคืนมา เพื่อเตรียมเล่น “The Dark Knight” ภาคต่อของมนุษย์ค้างคาวในอีกราว 2 ปีถัดมา โดยเบลเคยเผยว่า เขาตั้งใจให้ตัวละครบรูซ เวย์นรอบนี้มีร่างกายที่ลีน แต่ลีนแตกต่างกับตอน American Psycho เมื่อ 6-7 ปีก่อน

นอกจากเรื่องของรูปลักษณ์ของตัวละครแล้ว เบลยังให้ความสำคัญกับความลีนของตัว เพื่อจะได้รับบทแอ๊คชั่นที่มากขึ้นของแบทแมนได้สะดวกขึ้นอีกด้วย เพราะในมุมมองเขา บทแบทแมนนี้ต้องแกร่ง มีความอึด แต่ก็ต้องรวดเร็ว และมีความคล่องตัว ให้เข้าฉากต่างๆ ได้ราบรื่นเช่นกัน

The Fighter (2010) เอ้า! ผอมกันอีกรอบดีกว่า!

เป็นอีกครั้งที่เบลรับบทตัวละครที่มีจริง กับบทดิ๊คกี้ เอ็คลุนด์ ที่พาเขาไปชนะออสการ์สำเร็จ

ยังครับ เรื่องลดให้ผอมมันยังไม่จบ เมื่อเบลจะได้รับบท “ดิ๊คกี้ เอ็คลุนด์” ตัวละครที่มีตัวตนจริง ซึ่งเป็นอดีตนักมวย ที่เคยติดยา และมีรูปร่างผอมโทรม ในหนัง “The Fighter” โดยเบลรับบทเป็นพี่ชายของมาร์ค วอห์ลเบิร์ก และเพื่อความสมบทบาท เขาต้องทำการลดน้ำหนัก เพื่อเอากล้ามเนื้อออก รวมๆ แล้ว น้ำหนักลดลงไปราว 13-14 กิโลกรัม เลยทีเดียว

สิ่งที่ดีขึ้นหน่อยสำหรับการลดน้ำหนักรับบทผอมแห้งหนนี้ คือเขาตัดสินใจไม่ลดด้วยวิธีโหดๆ แบบที่เขาเคยทำใน Machinist เพราะนอกจากเรื่องอายุที่มากขึ้น ทีมซัพพอร์ตด้านเมคอัพเอง ก็มีวิวัฒนาการดีขึ้น ที่จะช่วยให้การสวมบทตัวละครของเขาแนบเนียนยิ่งขึ้นด้วย

และด้วยความพร้อมด้านร่างกายที่เตรียมตัวมา บวกกับการแสดงที่เข้าถึงตัวละครดิคกี้ ทำให้เบลสามารถคว้าออสการ์ตัวแรก และตัวเดียวจนถึงปัจจุบัน มาครองได้สำเร็จจากรางวัลสมทบชายยอดเยี่ยม

The Dark Knight Rises (2012) เรียกความฟิต ความบึก ปิดฉากไอ้ค้างคาว

กับการรับบทแบทแมนเป็นครั้งสุดท้าย เบลปรับเปลี่ยนการสร้างรูปร่างไปบ้าง ตามอายุของตัวละคร

ภาคปิดฉากของไตรภาคแบทแมนในแบบฉบับโนแลน เบลเรียกน้ำหนักคืนมา และทำให้ร่างกายลีนขึ้นอีกครั้ง เพื่อรับบทบรูซ เวย์น ที่อายุมากขึ้น ซึ่งแม้ตัวบทจะไม่ได้มีหุ่นฟิตเปรี๊ยะเหมือนภาคก่อนหน้า แต่ก็ต้องมีร่างกาย ที่พร้อมสำหรับซีนมูฟเมนท์แอ๊คชั่นต่างๆ ที่ยังคงมีอยู่พอสมควร

American Hustle (2013) ระเบิดขีดสุดอีกครั้ง ด้วยการเพิ่มน้ำหนัก

ถ้านับเรื่องการทะลุขีดจำกัดเรื่องการเพิ่มน้ำหนัก คงไม่มีบทไหนหนักเท่า American Hustle

หลังจบไตรภาคมนุษย์ค้างคาว เบลยังคงไม่หยุดความท้าทายในการรับบท ซึ่งต้องแปลงโฉมรูปร่างของตัวเอง โดยรอบนี้เป็นการเพิ่มน้ำหนักตัวอย่างมากถึง 20 กิโลกรัม ให้ลงพุง และมีบุคลิกเหมาะกับการรับบท “เออร์วิ่ง โรเซนเฟล” ซึ่งส่งให้เขาเข้าชิงออสการ์อีกหน

เบลเคยบอกกับสื่อว่า เขาใช้วิธีการกินทุกสิ่งอย่างแบบไม่หยุด โดยเฉพาะโดนัท และชีสเบอร์เกอร์ เบลใช้คำว่าคว้าอะไรได้ก็กินหมด ซึ่งเขาเองยังเผยอีกว่า มันส่งผลกระทบให้เหมือนความสูงของเขาลดลง และร่างกายมีอาการเจ็บปวดตามกระดูกและข้อ โดยเขาเองเคยยอมรับว่าเกือบจะท้อ และยอมแพ้อยู่หลายรอบ

The Big Short (2015) รูปร่างปกติ ก็ชิงออสการ์ได้!

การรับบทไมเคิล เบอร์รี่ ใน The Big Short ถือเป็นบทที่เบลสามารถใช้น้ำหนักธรรมดาของตัวเองได้

ว่ากันว่าการรับบท “ไมเคิล เบอร์รี่” ของเบลใน “The Big Short” เป็นบทบาทที่น้ำหนักใกล้เคียงกับน้ำหนักตัวปกติของเขามากที่สุด เรื่องนี้ถือเป็นการเข้าชิงออสการ์ครั้งแรกของเบล ที่แสดงโดยไม่ได้ทำน้ำหนักขึ้น-ลงผิดปกติ หลายคนก็คิดว่าด้วยวัยเกินหลัก 40 ปี อาจจะถึงเวลาหยุดทำอะไรสุดโต่งในเรื่องนี้เสียที

Vice (2018) ยัง ยังไม่จบ! เพิ่มกันอีกหน รับบทดิ๊ค เชนี่ย์

อีกหนึ่งบทสำคัญใน Vice ที่ทำให้เบลตัดสินใจทำน้ำหนักอีกครั้งเพื่อรับบทดิ๊ค เชนี่ย์
การแปลงโฉมรับบทเชนี่ย์ เบลยังต้องพึ่งเรื่องเมคอัพ และการตัด/โกนผมในบางพื้นที่ด้วย

อย่าชะล่าใจไปครับ! เบลยังไม่หมดความท้าทายที่จะรับบทดีๆ ในอาชีพการแสดงของเขา และข้อเสนอของ “อดัม แม็คเคย์” ที่เคยร่วมงานกันจาก The Big Short ที่ให้เขารับบท “ดิ๊ค เชนี่ย์” นักการเมืองมากประสบการณ์ และอดีตรองประธานาธิบดี ก็น่าสนใจเกินกว่าเบลจะปฏิเสธได้

เบลทำน้ำหนักเพิ่มขึ้นราว 18 กิโลกรัม เพื่อรับบทเชนี่ย์ทั้งวัยหนุ่ม และวัยแก่ พร้อมทั้งยังบริหารกล้ามเนื้อบางจุด โดยเฉพาะบริเวณบ่า และคอ เพื่อให้ดูหนาขึ้น เหมาะสมกับตัวละครนี้ แถมยังต้องมีการโกนผมบางจุด และใช้เมคอัพเข้าช่วย เพื่อให้เบลเป็นเชนี่ย์ที่สมจริงที่สุด โดยเบลเผยว่าเขากินพายไปจำนวนมาก ระหว่างที่เขาเร่งทำน้ำหนักขึ้นมา

และการแปลงโฉมรับบทเชนีย์หนนี้ ก็ทำให้เขาได้ชิงออสการ์อีกรอบในรางวัลดารานำชายยอดเยี่ยม ซึ่งสุดท้ายผู้ชนะรางวัลนี้คือ “รามี่ มาเล็ค” จาก “Bohemian Rhapsody” นั่นเอง

Ford v. Ferrari (2019) ผลงานใหม่ ที่น่าจะลดน้ำหนักกันหน่อย

ภาพจากกองถ่าย ซึ่งเบลปรับน้ำหนักจาก Vice เรียบร้อย ดูผอมลงหน่อยด้วย

ผลงานในลิสต์ที่เหลืออยู่ของเบลคือ “Ford v. Ferrari” ซึ่งสร้างจากเรื่องจริงของการช่วงชิงความเป็นใหญ่บนสนามแข่งของฟอร์ด และเฟอร์รารี่ ในปี 1966 ซึ่งเบลจะรับบทเป็น “เคน ไมลส์” นักแข่งรถชาวบริทิช ซึ่งถ้าจะเอาให้เหมือนเด๊ะ ก็น่าจะต้องดูผอมบางกว่ารูปร่างปกติของเบลซักหน่อย

อย่างที่เห็นไปครับ อาชีพการแสดงของ “คริสเตียน เบล” นั้นเต็มไปด้วยการท้าทายขีดจำกัดของตัวเอง ในการเพิ่มหรือลดน้ำหนักที่ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ ให้เป็นจริงขึ้นมาได้

แน่นอนครับ ว่าเบลอาจจะมีการเผาผลาญ หรือร่างกายที่ทำให้ทำสิ่งนี้ได้ดีกว่าคนอื่น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า ทั้งหมดเป็นจริงขึ้นมาได้ เพราะความทุ่มเท และจริงจังของเขา ที่มุ่งมั่นอย่างมากเพื่อจะนำเสนอผลงานการแสดงในระดับที่ดีที่สุด ให้กับผู้ชมอย่างเราได้ชมกัน

ข้อมูลเพิ่มเติม : Vulture, Vanity Fair, Men’s Health, News.com.au, 80s Kids

Picture : IGN Entertainment, Hollywood Reporter, fm libre parana, Entertainment Weekly, Pinterest, ShortList, YouTube, ResetEra, DaviantArt, Mxdwn Movies, Collider, WallpaperUP, Men’s Health, Washington Post, Parade, IMDb

rocketseer

ทำงาน Sports content | บ้าบอล-เป็น The KOP | (เคย)บ้าดูหนัง-(เคย)ทำเพจหนัง | อยู่บ้านนาน ก็ชักเป็นบ้า!

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save