วันก่อนได้มีโอกาสดูคลิปไอเดียที่คุณปู่ “สแตน ลี” ผู้ล่วงลับ จะสร้าง “สไปเดอร์แมน” ขึ้นมา ตั้งแต่ยุคยังเป็นคอมมิค ว่าไม่มีใครเห็นดีเห็นงามกับแกเลย เพราะรู้สึกว่าตัวสไปดี้ หรือ “ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์” ที่มีสัญลักษณ์เป็นแมงมุมที่หลายคนเกลียด แถมยังเป็นแค่เด็กวัยรุ่นไฮสกูล คงจะทำให้คนมองเป็นฮีโร่เต็มตัวไม่ได้ เต็มที่ก็เป็นได้แค่ “Sidekick (ไซด์คิก)” หรือตัวช่วยพระเอก เท่านั้น
คำว่า “Sidekick” ที่ว่าไป เป็นแสลงที่ฝรั่งเค้าชอบใช้กัน ส่วนใหญ่จะใช้ในการ์ตูน หรือหนัง ในการเรียก “ผู้ช่วยพระเอก” “เพื่อนพระเอก” “พระรอง” หรือในแวดวงฮีโร่ก็จะเป็นประมาณ “ผู้ช่วยฮีโร่” แบบที่ “โรบิน” ที่จะเป็น Sidekick ของ “แบทแมน” เสมอไป
ย้อนกลับมาคิดถึงฟุตบอลที่เราชื่นชอบกันบ้าง ไอ้พวกนักเตะที่เป็น “Sidekick” แบบนี้ มันก็มีให้นึกถึงเหมือนกันนะ คือเป็นนักเตะที่เก่งแหละ ผลงานก็ดี แต่ให้ตายยังไง คนก็จะไปจำคนอื่นมากกว่า ทั้งๆ ที่พวก Sidekick พวกเนี้ย มีความสำคัญต่อทีมไม่น้อย
การจะหาพวกนักเตะ Sidekick แบบนี้ เอามาจัดลิสต์ มันก็เลยต้องย้อนไปถึงยุคเก่าหน่อย ในยุคที่แต่ละทีมจะมีสตาร์ประจำทีม ฝีเท้าดี โดดเด่น บุคลิกชัดเจน จนทำให้นักเตะที่เล่นร่วมกัน ถูกลืมไป
เพราะยุคสมัยปัจจุบัน แม้จะมีนักบอลสตาร์แบบเมสซี่ หรือโรนัลโด้ แต่องค์ประกอบอื่นๆ ก็สำคัญ และเป็นที่รู้จักกันทั้งนั้น เหมือนอย่างก็องเต้ ที่ใครก็จดจำเค้าได้ แม้จะเล่นแบบปิดทองหลังพระให้เชลซี และทีมชาติฝรั่งเศส ก็ตาม
และหากย้อนไปถึงสมัยก่อน ทีมที่เล่นด้วยระบบทีม และมีนักเตะที่ทำผลงานได้เด่นพอๆ กัน เช่น คู่หูกองหน้าโคล-ยอร์ค, สามทหารเสือดัทช์ กุลลิท-ไรจ์การ์ด-ฟาน บาสเท่น, คู่หูกระทิงดุ ราอูล-โมริเอนเตส พวกนี้ก็ไม่อาจนับเอาใครคนใดคนหนึ่ง มาเป็น Sidekick ของเราได้
และนี่คือ 9 นักเตะ Sidekick ที่เราคัดสรรมาแล้ว ว่าเราควรย้อนไปพูดถึงพวกเขากันหน่อย
คริส ซัตตัน
กองหน้าที่เกิดที่เมืองน็อตติ้งแฮม เป็นที่จดจำได้มากที่สุดจากการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก กับแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในซีซั่น 1994/95 แต่แน่นอนว่าคนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดต้องเป็น “อลัน เชียร์เรอร์” แม้ซัตตันจะยิงได้ในซีซั่นนั้นถึง 15 ลูก ก็ตาม
แม้คนจะพูดถึงเชียร์เรอร์ ในฐานะเครื่องจักรถล่มประตูมากกว่า แต่เราก็ไม่ควรลืมให้เครดิตกับซัตตัน ผู้เติมเต็ม ที่คอยดึงตัวประกบ และสร้างโอกาสให้ “ฮ็อตช็อต” ระเบิดฟอร์มยิง 34 ลูกในพรีเมียร์ลีก จนเป็นที่มาของฉายาคู่หู “SAS” ที่โด่งดังตอนนั้น
หากจะพูดถึงความเป็นพระเอกของซัตตัน เขาเองก็เคยเป็นดาวเด่นของนอริช มาก่อนจะย้ายมาร่วมทีม “กุหลาบไฟ” โดยซีซั่นสุดท้ายกับนอริช เขายิงได้ถึง 25 ประตู จนไปเตะตาแบล็คเบิร์นเข้า
กับแบล็คเบิร์น ซัตตันรับใช้ทีมต่อเนื่อง แม้คู่หูอย่างเชียร์เรอร์จะย้ายออกไป ก่อนที่เขาจะล้มเหลวกับการย้ายไปเชลซี และกลับมายิงประตูได้ต่อเนื่องอีกครั้งเมื่อย้ายไปเซลติก แม้เขาจะถูกพูดถึงน้อยกว่าคู่หูอย่าง “เฮนริค ลาส์สัน” ก็ตาม
เบเบโต้
ศูนย์หน้าร่างบาง ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะรอดจากเหล่ากองหลังขาโหดในยุคนั้นไปได้ แต่เบเบโต้ ก็พิสูจน์แล้ว ว่าเทคนิคที่ดี และลีลาของเค้า สามารถเล่นงานใครก็ได้ โดยเฉพาะในฟุตบอลโลก 1994 ที่ทีมชาติบราซิล ก้าวไปถึงแชมป์
ความจริงเบเบโต้ ลงเล่นในฟุตบอลโลกถึง 3 สมัย (1990, 1994, 1998) แต่ 1994 ที่เขาเล่นร่วมกับ “โรมาริโอ” ถือเป็นการประสานงานที่ลงตัว จนทำให้บราซิลผ่านด่าน ฮอลแลนด์, สวีเดน และอิตาลี ไปจนถึงแชมป์ โดยเขาทำได้ 3 ประตู รวมถึงประตูสำคัญที่พาบราซิลชนะอเมริกา 1-0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
คนมักจะพูดถึงโรมาริโอ ด้วยลีลาที่ดุดัน และเป็นแกนหลักในการพังประตูของทีม แต่หากมองไปที่เบเบโต้ เขาก่อกวนแนวรับคู่แข่งไปทั่ว และมีอิสระในการเล่น ซึ่งยุคนั้นเราไม่ค่อยได้เห็นกองหน้าตัวซัพพอร์ตที่เล่นในรูปแบบนี้เท่าไหร่
อังเดร โวโรนิน
แม้แฟนบอลบ้านเราจะคุ้นเคยกับ 2-3 ฤดูกาลที่น่าผิดหวังกับลิเวอร์พูล แต่ถ้าจะย้อนไปถึงช่วงที่เขาประสบความสำเร็จ เขาทำผลงานได้ไม่เลวเลย ในการค้าแข้งอยู่ในบุนเดสลีก้า กับไมนซ์, โคโลญจน์ และไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น
จุดเด่นของโวโรนินคือความขยันทุ่มเท ตำแหน่งการยืนของเขาจะส่ายไปทั่วทั้ง หลังกองหน้า, ด้านข้าง หรือการเล่นศูนย์หน้าตรงกลาง แต่จุดอ่อนสำคัญของเขาคือความเฉียบคมที่น้อยไปหน่อย จนทำให้เขามักจะเป็นตัวสนับสนุนเพื่อเปิดทางให้คนอื่น มากกว่า
หลังยิงถึงหลัก 20 ประตูกับไมนซ์ การย้ายมาอยู่โคโลญจน์ ก็มีคนที่เด่นกว่า อย่างโพโดลสกี้ พอย้ายไปอยู่กับเลเวอร์คูเซ่น ที่ผลงานส่วนตัวถือว่าโดดเด่น แต่ก็ยังถูกจับตาน้อยกว่า ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ หรือสเตฟาน คีสลิงก์ อยู่ตลอด
โอลิเวอร์ นอยวิลล์
อีกหนึ่งกองหน้าคนขยัน ที่โด่งดังกับเลเวอร์คูเซ่น รวมถึงมึนเช่นกลัดบัค แถมยังติดทีมชาติเยอรมันถึง 69 นัด เป็นแนวรุกอีกรายในช่วงยุค 2000 ที่ผู้จัดการทีมอยากมีติดทีมไว้
จำนวนประตูของนอยวิลล์ จะอยู่ในระดับไม่เกิน 15 ประตูต่อซีซั่น เพราะมีบทบาทเป็นกองหน้าตัวเสริม ของพวกตัวจบสกอร์อย่าง อูล์ฟ เคียส์เท่น, ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ในเลเวอร์คูเซ่น หรือมิโรสลาฟ โคลเซ่ ในทีมชาติเยอรมัน
เกียรติประวัติสำคัญของนอยวิลล์ คือการเป็น “ทริปเปิ้ล” รองแชมป์กับเลเวอร์คูเซ่น ในปี 2002 ทั้ง เดเอฟเบ โพคาล, บุนเดสลีก้า และ UCL ปิดท้ายด้วยการเป็นรองแชมป์ฟุตบอลโลกปีเดียวกันอีก 1 ถ้วย หลังเยอรมัน พ่ายบราซิลในนัดชิง
ไม่ค่อยมีใครจำว่า นอยวิลล์เป็นตัวหลักในทุกถ้วยที่พลาดหวัง โดยคนมักจะจำแค่ว่ามันเป็นปีที่ผิดหวังของ “มิชาเอล บัลลัค” เพื่อนร่วมทีมคนดัง ของเขาซะมากกว่า
จอห์นนี่ เร็ป
พูดถึงชื่อนี้หลายคนอาจจะงงว่าใครกัน ส่วนนึงเพราะเร็ป คือนักเตะที่โลดแล่นอยู่ในสนามตั้งแต่ยุค 70-80 นู่นเลย แต่อีกส่วนที่สำคัญคือ ไม่ค่อยมีใครจำเขาได้ ทั้งที่เขาประสบความสำเร็จไม่น้อย ทั้งระดับสโมสร และทีมชาติ
เร็ปเป็นแกนหลักของทีมชาติฮอลแลนด์ ในฟุตบอลโลกถึง 2 สมัย ในปี 1974 และ 1978 ซึ่งเป็นสองครั้งติดต่อกัน ที่ทีม “กังหันลม” ได้ทะลุเข้าถึงรอบชิง แม้จะอกหักพ่ายแพ้ทั้ง 2 หนก็ตาม
ฮอลแลนด์ในช่วงขวบปีนั้น แน่นอนว่านำโดยจอมทัพเทวดาอย่าง “โยฮัน ครัฟฟ์” พร้อมกับนักเตะขึ้นชื่อทั้ง “โยฮัน นีสเก้นส์” และ “ร็อบ เรนเซ็นบริงค์” แทบไม่มีใครจดจำชื่อของเร็ป ในตำแหน่งปีกขวา ที่นอกจากจะมีส่วนเติมเต็มโททัล ฟุตบอล ยังยิงประตูในฟุตบอลโลก 2 หน ได้รวมกันถึง 7 ประตูเชียว
ในระดับสโมสร แม้เร็ปจะเริ่มต้นที่อาแหยกซ์ เหมือนขุนพลดัทช์หลายคน แต่เขามาประสบความสำเร็จบนแผ่นดินฝรั่งเศส เล่นได้โดดเด่นกับบาสเตีย ก่อนย้ายไปเป็นแชมป์ลีกกับแซงต์ เอเตียนในปี 1980/81 ซึ่งตอนนั้นคนก็มักจะจำ ได้แต่ชื่อแกนรุกคู่หูของเขาอย่าง “มิเชล พลาตินี่”
ฟรองซัวส์ โอมัม-บิยิก
ศูนย์หน้ารูปร่างแข็งแรงของทีม “หมอผี” แคเมอรูน ในยุคต้น 90 รายนี้ ถือเป็นหนึ่งในนักเตะประวัติศาสตร์ของชาวแอฟริกัน เพียงแต่คนมักจดจำคู่หูดาวยิงของเขาอย่าง “โรเจอร์ มิลล่า” ซะมากกว่า
โอมัม-บิยิก ผู้มีจุดเด่นเรื่องพละกำลัง ลงเล่นฟุตบอลโลกให้แคเมอรูน ถึง 3 สมัย เป็นผู้โหม่งประตูโทนช็อคโลก ในการพาทีมหมอผี ล้มอาร์เจนติน่าแชมป์เก่า ในนัดเปิดสนามฟุตบอลโลก 1990 ที่อิตาลี ก่อนที่ทีมชาติโนเนมจากแอฟริกาของเขา จะเซอร์ไพรส์เข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย
ในระดับสโมสร เขาโชว์ฟอร์มเป็นเรื่องเป็นราวกับ ลาวาล และ แรนส์ ในลีกเอิง ก่อนจะได้มีโอกาสย้ายซบทีมใหญ่อย่างโอลิมปิค มาร์กเซย น่าเสียดายที่เขาไม่ประสบความสำเร็จ ก่อนจะออกพเนจรไปอีกหลายทีม และแขวนสตัดท์ในปี 2000
มาร์ติน ครี
พูดถึง Sidekick ในแนวรุกมากันเยอะแล้ว ขอแหวกแนวพูดถึง Sidekick ในตำแหน่งกองหลังกันบ้าง กับมาร์ติน ครี กองหลังชาวเยอรมัน ที่แทบไม่มีใครจำได้ ว่าเขาคือหนึ่งใน 11 ตัวจริงของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ชุดที่ปราบยูเวนตุส คว้าแชมป์ UCL ในปี 1997
ความจริงแล้ว ครีถือเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ที่โดดเด่นมาตั้งแต่หนุ่มๆ โดยเขาเริ่มเป็นที่รู้จักกับโบคุ่ม ทีมที่เขาอยู่มาตั้งแต่เยาวชน เป็นตัวจริงสม่ำเสมอ ยิงประตูได้ทุกซีซั่น ก่อนจะย้ายมาเป็นตัวหลักต่อที่เลเวอร์คูเซ่น กว่าจะย้ายมาทีม “เสือเหลือง” ดอร์ทมุนด์ ก็เป็นช่วงอายุเกือบ 30 ปี
กับดอร์ทมุนด์เอง เขาก็มีโอกาสได้ลงอยู่เรื่อยๆ เพียงแต่คนอาจจะจดจำนักเตะอย่างเจอร์เก้น โคห์เลอร์, มัทธีอัส ซามเมอร์ หรือสเตฟาน รอยเตอร์ มากกว่าจะจำชื่อเสียงเรียงนามของเขา
หลังคว้าแชมป์ UCL กับดอร์ทมุนด์อย่างยอดเยี่ยม ในวัย 32 ปี ครีก็อยู่เล่นกับทีมต่ออีกซีซั่น ก่อนจะแขวนสตัดท์หลังจบซีซั่นถัดมา โดยเขาไม่เคยก้าวไปติดทีมชาติเยอรมันชุดใหญ่ซักนัดเดียว
เคลาดิโอ คานิกเกีย
ปิดท้ายเหล่า Sidekick ด้วยนักเตะที่มีเสน่ห์ที่สุดคนนึงของวงการฟุตบอลยุค 90 อย่าง “เจ้าวิหค” เคลาดิโอ คานิกเกีย กองหน้าตัวซัพพอร์ต ซึ่งสามารถถ่างออกไปเล่นปีกได้ ผู้ซึ่งเล่นฟุตบอลโลกถึง 3 สมัย และมักจะเป็น “เพื่อนของพระเอก” ที่ชื่อ “ดิเอโก้ มาราโดน่า” อยู่เสมอ
ความจริงแล้ว คานิกเกียถือเป็นนักเตะคนนึงที่สนิทสนมกับมาราโดน่า ที่สุดในทีมฟ้า-ขาว เขาและ “เสือเตี้ย” ประสานงานกันได้ยอดเยี่ยมในฟุตบอลโลก 1990 คานิกเกียเป็นผู้ยิงประตูโทน ดับฝันบราซิลในรอบน็อคเอาท์ ก่อนที่ทีมฟ้า-ขาว จะเข้าไปแพ้ในนัดชิงที่ไม่ค่อยน่าจดจำต่อเยอรมันตะวันตก 0-1 ซึ่งตัวเขา ถูกแบนไม่ได้เล่นในนัดชิงดำ จากใบเหลืองในรอบรองกับอิตาลี
ในฟุตบอลโลก 1994 คานิกเกีย ยังคงฟอร์มที่ดี ด้วยการยิง 2 ประตูในรอบแรก ก่อนที่ทีมฟ้า-ขาว จะตกรอบด้วยฝีเท้าของโรมาเนีย ในรอบน็อคเอาท์ หลังทีมระส่ำระสายจากการเสียมาราโดน่า เพราะโดนส่งกลับบ้านจากกรณีโด๊ปยา
คานิกเกียปิดท้ายชื่อของเขากับฟุตบอลโลกในปี 2002 ในวัย 35 ปี หลังไม่ได้ไปร่วมรอบสุดท้ายปี 1998 การมีชื่อติดทีมในปี 2002 ถือว่าเซอร์ไพรส์ เพราะก่อนหน้านี้เขามีปัญหา หลังปฏิเสธจะตัดผมยาวอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งขัดกับคำสั่งของกุนซือ “ดาเนียล พาสซาเรลล่า”
คานิกเกีย เป็นตัวสำรอง และไม่ได้ลงเล่นซักนาทีเดียวในฟุตบอลโลกหนนั้น แต่ก็ยังมีเรื่องให้พูดถึง โดยในนัดสุดท้ายของรอบแรก ที่ทีมทำได้แค่เสมอสวีเดน 1-1 และต้องตกรอบไป เขาเป็นผู้เล่นคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่โดนไล่ออกทั้งที่อยู่ในซุ้มสำรองข้างสนาม เพราะไปโต้เถียงกับกรรมการ
Picture : ChatSports, Watson.de, The Sun, Twitter, MovieWeb, Marca, Rotherham United, Daily Record, ESPN, Eurosport Asia, The Bundesliga Fanatic, Futbolgrad, WR, Sporting News, These Football Times, Picbon, Le Bled Parle, The Sportsman, T-Online, UEFA.com, CalcioMercato, El Mundo, Caniggiascores (WordPress)