น่าจับตามองมาตั้งแต่ประกาศสร้างแล้วสำหรับซีรี่ย์เรื่องนี้ตั้งแต่บท การวางตัวนักแสดง ผู้กำกับ และทีมโปรดักชั่นที่จัดมาชุดใหญ่อลังการพอออกฉายจริงใน Netflix ก็คว้าคะแนนวิจารณ์ด้านบวกจากเว็บ IMDb ไปแล้ว 8.3 เว็บมะเขือเทศ 85% ซึ่งเพิ่งมาแค่ 5 วันเท่านั้นเอง
“Maniac” เป็นซีรีส์ความยาว 10 ตอน จาก Netflix ซึ่งได้รับการดัดแปลงมาจากซีรี่ย์สัญชาตินอร์เวย์ในชื่อเดียวกัน เรื่องราวพูดถึงการเข้าร่วมการทดสอบยาชนิดพิเศษรูปแบบใหม่ของหญิงสาวมีปม แอนนี แลนด์สเบิร์ก กับ โอเวน มิลกริม ชายหนุ่มผู้มีปัญหาทางจิต โดยหวังว่าการทดสอบนี้จะสามารถช่วยรักษาพวกเขาได้โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามแผนส่งผลให้ชีวิตพวกเขาต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล
ถ้าคุณเห็นตัวอย่างเรื่องนี้ที่ปล่อยออกมาแล้วคิดว่ามันจะต้องเป็นหนังไซไฟ ตื่นเต้น เร้าใจ คุณอาจจะคิดถูกอยู่ แต่แค่ 1 ส่วน 4 ของเรื่อง เพราะมันคือซีรี่ย์โครตบ้าที่ยำทุกแนวเอาไว้หมด แต่แก่นจริงๆ ของเรื่องนี้มันคือหนังจิตวิทยาชั้นดีที่เล่นกับภาวะจิตใจของมนุษย์ หนังตึงเครียดพอสมควรโดยเฉพาะตอนแรกๆ ดาร์กแต่สอดแทรกความตลกร้าย บ้าบอ บางฉากก็รู้สึกว่า จัก ! อะไร แต่ตอนจบกลับฟิลกู๊ดเฉยเลย
การพลิกบทบาทของ โจนาห์ ฮิลล์ (Jonah Hill) จากลุคฮาๆ กวนๆ ใน ‘Superbad คู่หู คู่ฮา’ มารับบทชายผู้ป่วยด้านสุขภาพจิตเพราะปมภายในครอบครัว ไม่น่าเชื่อว่าพอมาเป็นแนวดราม่าเขาก็ทำได้ดีจนเราลืมภาพร่าเริงแบบเดิม ยิ่งกลับมาประกบคู่กับ เอ็มมา สโตน (Emma Stone) ยิ่งออกรส
นอกจากบทตัวละครหลักพวกเขายังต้องรับบทบาทอีกหลายตัวละครหลากบุคลิกในเรื่องเดียวกันสลับไปสลับมา เรียกว่าเป็นความท้าทายและงานโชว์ของขั้นสุดของนักแสดงทั้งสองคน อีกหนึ่งคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ แซลลี ฟิลด์ (Sally Field ) แม้จะมานิดเดียวช่วงท้ายๆ แต่พลังการแสดงแรงกล้ามาก จับตาดูเธอให้ดีเพราะเธอนี่แหละตัวคลายปมในเรื่อง
การได้ แครี่ ฟุคุนางะ (Cary Fukunaga ) ผู้กำกับฝีมือดีจากหนังเรื่อง Jane Eyre, Beasts of No Nation ,ซีรี่ย์ True Detective ช่อง HBO มาทำหน้าที่นี้ทำให้ส่วนงานโปรดักชั่นได้บรรยากาศโลกยุคดิสโทเปียในอนาคตคล้าย Bland Runner 2049 แต่มีกลิ่นอายยุค 70s ในสไตล์ Japanese งงไหม ? คือซีรี่ย์เปรียบให้ญี่ปุ่นเป็นเหมือนผู้นำโลกยุคนั้นเลยมีวัฒนธรรมเข้ามาผสมกับเทคโนโลยียุคเก่ากึกสมัย 70s อย่างคอมพิวเตอร์เครื่องยักษ์ โปรแกรมที่เลียนแบบมาจากเกมส์ยุคนั้น หรือโทนสีสดใสจากไฟ LED ดูเหมือนจะพิลึกแต่มันกลับเข้ากันได้ดีแบบประหลาด
อย่างที่บอกว่ามันคือการยำแหลกแต่ไม่ได้พัง แครี่สามารถวางเนื้อเรื่องและโปรดักชั่นออกมาได้อย่างฉลาดและปั่นประสาทสมชื่อซีรี่ย์ โดยการหยิบอะไรเล็กๆ น้อยๆ จากหนังเรื่องนู้นเรื่องนี้มาเล่น ไม่ว่าจะเป็น Raising Arizona , Lord of the Rings , Doctor Strangelove, The Matrix, Her,The Graduate หรือแม้แต่ซีนบู้แหลกสไตล์ Jonh Wick ก็มากะเขาด้วย
นอกจากนั้นเนื้อเรื่องยังมีความจิกกัดสังคมปัจจุบันสอดแทรกอยู่เยอะพอสมควร เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตการอาศัยอยู่เมืองใหญ่ที่ค่าใช้จ่ายอะไรก็สูงไปหมดจนความฝันเหมือนเป็นเรื่องที่ไกลตัว การว่างงาน บริการเพื่อนปลอมๆ การตกอยู่ในอาการซึมเศร้าหรือการใช้ยาเสพติดเพื่อแก้ปัญหาของคนยุคปัจจุบัน
โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นซีรี่ย์ที่ไม่ใช่แค่ภาพสวย ดูเพลิน แต่ดูจบแล้วได้แง่คิดที่สื่อให้เห็นว่าเราทุกคนล้วนมีความโรคจิตอะไรบางอย่างซ่อนอยู่และมีปัญหาเป็นของตัวเอง หากสังเกตดีๆตัวละครทุกตัวจะมีพฤติกรรมแปลกๆ ดูเพี้ยนๆ กันหมด ซึ่งความโรคจิตนั้นอาจมาจากการชอบกัดเล็บ กินขี้มูกตัวเอง หรือการพูดคนเดียว เหมือนฉากหนึ่งในเรื่องที่แอนนากล่าวว่า “ใครก็บ้าทั้งนั้นแหละ” ตัวยา A B C ในเรื่องเปรียบเสมือนจิตแพทย์ที่พาเราออกไปตามหาว่าเราเป็นใคร เราเจออะไรอยู่ และเราจะก้าวข้ามจุดนั้นไปได้อย่างไร เหมือนตัวเราเองก็ได้รับการรักษาไปพร้อมๆ กับตัวละครในเวลาเดียวกัน