ในรอบทศวรรษที่ผ่านมามีผู้จัดการทีมฝีไม้ลายมือดีหลายๆคนพาเดินหน้าพาทีมประสบความสำเร็จมากมายไม่ว่าจะเป็นผลงานในสนามที่มีแชมป์มาประดับตู้โชว์สโมสร หรือการบริหารทีมนอกสนามที่ทำกำไรเข้าสู่ทีม
สุดยอดเทรนเนอร์ 5 รายต่อไปนี้ แสดงให้คอบอลได้เห็นแล้วว่า พวกเขาควรอยู่ในกลุ่มโค้ชที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปีที่แล้ว และไม่น่าแปลกใจเลยหากดูผลงานของแต่ละคน
5. มัซมิลิเลียโน่ อัลเลกรี
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาคงมีใครกล้าปฏิเสธความยอดเยี่ยมของ อัลเลกรี อย่างแน่นอน โดยในปี 2010 ที่เจ้าตัวโยกจากทีมเล็กๆอย่าง กายารี่ มาคุม เอซี มิลาน นั้น เขาทำงานได้เป็นอย่างดีด้วยการพาพลพรรค “ปีศาจแดง-ดำ” คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ได้ทันทีตั้งแต่ปีแรกที่เป็นกุนซือ
หลังอำลาถิ่น ซาน ซิโร่ เมื่อเดือนมกราคมปี 2014 อัลเลกรี ว่างงาน 6 เดือนก่อนจะรับงานกุมบังเหียน ยูเวนตุส และพา “เจ้าม้าลาย” กวาดแชมป์เซเรีย อา ได้ 5 สมัยติดต่อกันพร้อมกับทำให้ทีมแข็งแกร่งทั่วแผ่นโดยมีนักเตะอย่าง จอร์โค้ คิเอลลินี่, อันเดรีย ปิร์โล่, ปอล ป็อกบา และ เปาโล ดีบาล่า นำทีม
ในปี 2019 อัลเลกรี อำลา ยูเวนตุส และกลายเป็นเทรนเนอร์ว่างงานตั้งแต่ตอนนั้น และมีข่าวกับสโมสรใฆญ่มากมายอาทิ ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์, อาร์เซน่อล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ล่าสุดในวัย 53 ปี โค้ชยอดฝีมือชาวอิตาเลียนหวนกลับมานำทัพ “เจ้าม้าลาย” อีกครั้งแล้ว
4. โชเซ่ มูรินโญ่
กุนซือเจ้าของฉายา “เดอะ สเปเชี่ยล วัน” ประสบความสำเร็จมากมายตลอดอาชีพของเขาโดยคว้าแชป์ลีกสูงสุดทุกประเทศที่เขาทำงานไล่ตั้งแต่ในบ้านเกิดโปรตุเกส กับ เอฟซี ปอร์โต้, อังกฤษ กับ เชลซี, อิตาลี กับ อินเตอร์ มิลาน และ สเปน กับ เรอัล มาดริด
แม้ในช่วงหลัง มูรินโญ่ จะทำผลงานส่วนตัวตกลงไป แต่เขาก็ยังพาทีมได้แชมป์อยู่บ้าง โดยแชถ้วยรางวัลล่าสุดของเจ้าตัวคือการพา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก เมื่อปี 2016-2017 และโยกไปคุมเมื่อปี 2019 สเปอร์ส
เมื่อเดือนเมษายนปี 2021 มูรินโญ่ ทำผลงานกับ สเปอร์ส ได้ไม่ดีนักจึงถูกปลดออกจากตำแหน่ง แต่เขาว่างงานได้ไม่นานหลังจาก โรม่า ประกาศแต่งตั้งให้เจ้าตัวไปคุมทีมในอีก 2 เดือนต่อมา
3. เจอร์เก้น คล็อปป์
สุดยอดเทรนเนอร์จอมปั้นดาวรุ่งแห่งวงการฟุตบอล และเป็นหนึ่งในโค้ชที่มีเอกลักษณ์มากที่สุดคนหนึ่งของโลก คล็อปป์ สร้างชื่อขึ้นมากับทีมเล็กในเยอรมันบ้านเกิดอย่าง ไมนซ์ ก่อนจะพาตัวเองประสบความสำเร็จอย่างสุดยอดกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
ในระหว่างปี 2008-2015 ที่ กุมบังเหียน ดอร์มุนด์ นั้น คล็อปป์ พาทีมต่อกรกับมหาอำนาจลูกหนังเมืองเบียร์อย่าง บาเยิร์น มิวนิค ได้อย่างสูสี และคว้าแชมป์บุนเดสลีกา ได้ถึง 2 สมัย พร้อมกับปั้นนักเตะอย่าง มาริโอ เกิตเซ่, โรเบิร์ต เลวฟานดอฟสกี้ และ มาร์โก รอยส์ เป็นต้น
หลังอำลา ดอร์ทมุนด์ คล็อปป์ ก็ย้ายมาคุม ลิเวอร์พูล และปรังแต่ง “หงส์แดง” จนกลายเป็นยอดทีมของยุโรป และพาทีมคว้าแชมป์หลายรายการไล่ตั้งแต่ พรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูฟ่า ซุเปอร์ คัพ และแชมป์สโมสรโลก
2. เป๊ป กวาร์ดิล่า
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาหากถามว่า สโมสรใดเล่นฟุตบอลได้สนุก และสวยงามที่สุดหลายคนต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า บาร์เซโลน่า ในปี 2008-2012 ยุคที่ กวาร์ดิโอล่า นำทีม โดยพลพรรค “เจ้าบุญทุ่ม” ในเวลานั้น ประสบความสำเร็จมากมายด้วยสไตล์การเล่นที่เป็นเอกลักษณ์
หลังอำลาถิ่น คัมป์ นู กวาร์ดิโอล่า ก็ย้ายมาคุม บาเยิร์น ต่อจาก จุ๊ปป์ ไฮย์เกส เทรนเนอร์จอมเก๋า และเขาก็ทำให้ “เสือใต้” กลายเป็นทีมระดับแนวหน้าของวงการฟุตบอลยุโรปยากที่ใครจะต่อกรด้วย โดยพาทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้ถึง 3 สมัย
โค้ชชาวสเปน ย้ายจาก บาเยิร์น มากุมบังเหียน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อปี 2016 และเขาก็สร้างให้ “เรือใบสีฟ้า” กลายเป็นยอดทีมเมืองผู้ดีด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง 3 สมัย แต่น่าเสียดายที่เจ้าตัวยังไม่เคยพาทีมคว้าแชมป์ยุโรปได้เลย
1. ดิเอโก้ ซิเมโอเน่
ผู้จัดการทีมชาวอาร์เจนไตน์นั่งนำทัพ แอตฯ มาดริด เข้าสู่ปีที่ 10 แล้ว และเขาก็ยังพาทีมสู้กับ 2 มหาอำนาจลูกหนังสเปนอย่าง บาร์เซโลน่า และ มาดริด อย่างสนุก และพาพลพรรค “ตราหมี” คว้าแชมป์ลา ลีกา ได้ถึง 2 สมัย
ในยุคนี้ โค้ชวัย 50 ปี ได้รับการยกย่องย่างกว้างขวางว่า เป็นสุดยอดเจ้าแท็คนิตคนหนึ่งในโลกฟุตบอล เขาสามารถวางแผนได้อย่างรอบคอบไม่ว่าจะเป็นการเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่า หรืออ่อนกว่า และเจ้าตัวมักจะมีทีเด็ดพาทีมคว้าชัยอยู่เสมอ
จากความยอดเยี่ยมของ ซิเมโอเน่ นั้น ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าตัวจะได้รับการบันทึกสถิติว่า เป็นกุนซือที่รับค่าเหนื่อนมากที่สุดอันดับหนึ่งของโลก
ภาพประกอบ : skysports.com
