10 ภาพยนตร์ “เรือดำน้ำ” น่าเกรงขามจนเพื่อนบ้านต้องเกรงใจ - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
10 ภาพยนตร์ “เรือดำน้ำ” น่าเกรงขามจนเพื่อนบ้านต้องเกรงใจ

“เรือดำน้ำ” ถือเป็นยุทโธปกรณ์ทางทหารที่ทรงอานุภาพ มีขีดความสามารถหลากหลายโจมตีได้ทั้งในน้ำและบนบก แถมยังสามารถซ่อนตัว/หลบหลีกการตรวจจับจากฝ่ายข้าศึกได้เป็นอย่างดี  

ทำให้ เรือดำน้ำ เป็นยุทโธปกรณ์ทางทหารในฝันของกองทัพทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่กองทัพเรือไทยที่กำลังจะสั่งซื้อเรือดำน้ำชั้น “หยวน” (Yuan Class) รุ่น S26T จากสาธารณรัฐประชาชนจีนเพิ่มอีก 2 ลำ ด้วยราคา “โปรโมชั่น” กว่า 22,500 ล้านบาท หลังจากเพิ่งสั่งซื้อลำแรกไปเมื่อสองปีก่อน  ดังนั้น เพื่อเป็นการเชิดชูความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของกองทัพเรือไทย เราจึงขอแนะนำ 10 ภาพยนตร์ “เรือดำน้ำ” ลุ้นระทึกที่ดูแล้วต้องนึกถึงลุงคนนั้น

The Hunt for Red October (1990)

เรื่องราวของ “แจ็ค ไรอัน” (Alec Baldwin) นักวิเคราะห์หนุ่มจาก CIA ที่กำลังตามสืบความลับเกี่ยวกับ “เรด ออคโทเบอร์” (Red October) เรือดำน้ำล้ำยุครุ่นใหม่ล่าสุดของโซเวียตที่บังคับบัญชาโดยกัปตันโซเวียตรุ่นเก๋าอย่าง “มาร์โก้ เรเมียส” (Sean Connery) แต่อยู่ ๆ เรือดำน้ำสุดไฮเทคลำนี้ก็ได้แล่นหายไปในมหาสมุทรแอตแลนติกอย่างไร้ร่อยรอย จนทำให้ฝ่ายสหรัฐฯ เชื่อว่า กัปตันเรเมียสกำลังจะใช้ เรด ออคโทเบอร์ โจมตีชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ แบบสายฟ้าแลบ กองทัพเรือสหรัฐฯ จึงสั่งให้เรือรบทุกลำตามล่าและทำลายเรือตุลาแดงทิ้ง  แจ็คจึงต้องทำงานแข่งกับเวลาเพื่อค้นหาจุดประสงค์ที่แท้จริงของกัปตันเรเมียน

ใครที่เป็นแฟนนิยายเรื่อง “ทอม แคลนซี” (Tom Clancy) จะต้องรู้จักนิยายชุด “แจ๊ค ไรอัน” อย่างแน่นอน ซึ่ง The Hunt for Red October คือหนังที่ดัดแปลงมาจากหนังสือชุด แจ๊ค ไรอัน นั่นเอง  ดังนั้น ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่า หนังเรื่องนี้มันต้องเต็มไปด้วยบรรยากาศยุค “สงครามเย็น” อย่างแน่นอน  แม้ตัวหนังจะเกี่ยวกับเรือดำน้ำ แต่ The Hunt for Red October กลับไม่ใช่หนังแอคชั่นแนวยิงกันสนั่นจอ แต่เป็นหนังแนวสืบสวนสอบสวนที่มีฉากแอคชั่นเป็นส่วนประกอบมากกว่า  เราจึงจะได้เห็นปฏิบัติการลับลวงพราง การหักเหลี่ยมเฉือนคมและการชิงไหวชิงพริบกันของสองมหาอำนาจของโลกอย่าง “สหรัฐอเมริกา” กับ “สหภาพโซเวียต” โดยมีตัวละคร “แจ๊ค ไรอัน” เป็นคนกลางในการปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดคล้ายกับนักสืบในหนังสืบสวนสอบสวน  แถมคาแรคเตอร์ของตัวละคร กัปตันมาร์โก้ เรเมียส ที่แสดงโดย “ฌอน คอนเนอรี่” ก็ยังถือเป็นหนึ่งในกัปตันเรือที่เท่ห์และฉลาดที่สุดคนหนึ่งในโลกภาพยนตร์อีกด้วย

U-571

เรื่องราวของ “เทย์เลอร์” (Matthew McConaughey) ต้นเรือของเรือดำน้ำ S-33 แห่งราชนาวีอังกฤษที่ได้รับภารกิจลับสุดยอดในการเข้ายึดเรือดำน้ำ U-571 ของฝ่ายเยอรมันที่จอดเสียอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  แต่ทว่าภารกิจเกิดความผิดพลาดจนทำให้เรือ S-33 ถูกทำลายพร้อมทั้งกัปตันเรือและลูกเรือส่วนใหญ่ที่จมไปกับเรือ ทำให้ เทย์เลอร์ และลูกเรือที่รอดชีวิตเพียงหยิบมือต้องเปลี่ยนมาควบคุมเรือ U-571 ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักเพื่อต่อสู้กับเรือรบฝ่ายเยอรมันและทำภารกิจให้สำเร็จ

เรียกได้ว่า U-571 คือหนังเรือดำน้ำในดวงใจของใครหลายคน เพราะนี่คือหนังเรือดำน้ำที่เป็นหนัง “แอคชั่น” แบบเต็มสูบ โดยเฉพาะการเล่นแมวไล่จับหนูระหว่างเรือพิฆาตกับเรือดำน้ำ U-571 เป็นอะไรที่ตื่นเต้นลุ้นระทึกจนแทบกลั้นหายใจเหมือนหนังดึงคนดูเข้าไปเป็นลูกเรือคนหนึ่งของ U-571 เลยก็ว่าได้ ยิ่งฉากเรือพิฆาตทิ้งระเบิดน้ำลึกรับรองว่าคุณจะต้องลุ้นระทึกแบบเงียบ ๆ จนได้ยินเสียงหายใจของตัวเองอย่างแน่นอน


K-19: The Widowmaker (2002)

สร้างจากเรื่องจริงของโศกนาฏกรรมเรือดำน้ำครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในช่วงสงครามเย็น เมื่อเรือดำน้ำนิวเคลียร์รุ่นใหม่ของสหภาพโซเวียตชื่อ K-19 ถูกสร้างขึ้นในช่วงทศวรรษ 1950 ด้วยความที่สหภาพโซเวียตในขณะนั้นกำลังแข่งขันด้านการทหารกับสหรัฐอเมริกา ทำให้กองทัพเรือสั่งให้เรือดำน้ำ K-19 ออกปฏิบัติการอย่างเร่งรีบเพื่อแสดงถึงแสนยานุภาพของโซเวียต ทั้ง ๆ ที่เรือยังไม่พร้อม “อเล็กไซ ออสตริคอฟ” (Harrison Ford) ถูกมอบหมายให้เป็นกัปตันเรือ K-19 โดยมี “มิคาเอล โพเลนิน” (Liam Neeson) เป็นต้นเรือ แต่เมื่อเรือถูกเข็นออกปฏิบัติการขณะยังไม่พร้อม ทำให้ “เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์” บนเรือเกิดการรั่วไหลครั้งใหญ่ ลูกเรือนับร้อยชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตรายจากกัมมันตภาพรังสีที่กำลังแผ่ไปทั่วเรือ ทำให้เรือลำนี้กลายเป็นระเบิดนิวเคลียร์ลอยน้ำที่พร้อมจะระเบิดทุกเมื่อ กัปตันออสตริคอฟจึงต้องหาทางหยุดยั้งหายนะในครั้งนี้และช่วยชีวิตลูกเรือของเขาให้ได้

ว่ากันตามตรง K-19 อาจจะไม่ใช่หนังเรือดำน้ำสไตล์แอคชั่น เพราะเนื้อแท้มันคือหนังแนวดราม่า-เอาตัวรอด (Survival) ที่มีฉากหลังส่วนใหญ่เป็นเรือดำน้ำขนาดยักษ์เท่านั้น แต่ก็อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะ K-19 ทำให้เราต้องลุ้นและเอาใจช่วยไปกับลูกเรือที่ต้องหาทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์สุดเลวร้ายบนเรือดำน้ำที่ไม่ต่างอะไรกับระเบิดนิวเคลียร์ลอยน้ำซึ่งพร้อมจะระเหยร่างพวกเขากลายเป็นควันได้ทุกเมื่อ แถมเมื่อพวกเขาแก้ปัญหาได้อย่างหนึ่งแล้ว มันก็จะมีสถานการณ์วิกฤติใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่เรื่อย ๆ จนเราต้องลุ้นตัวโก่งว่าพวกเขาจะรอดชีวิตออกจากสุสานลอยน้ำนี้ได้อย่างไร  

Crimson Tide (1995)

เรื่องราวของเรือดำน้ำนิวเคลียร์ “ยูเอสเอส อลาบาม่า” (USS Alabama) ที่ได้รับภารกิจให้มุ่งหน้าไปยังชายฝั่งรัสเซียเพื่อหยุดยั้งกลุ่มชาตินิยมหัวรุนแรงที่พยายามก่อกบฏยึดอำนาจรัฐบาลรัสเซีย แต่ในระหว่างปฏิบัติภารกิจ กัปตัน “แฟรงค์ แรมซีย์” (Gene Hackman) นายทหารเรือรุ่นเก๋ามากประสบการณ์กลับไม่ค่อยลงรอยกับต้นเรือหนุ่มไฟแรงอย่าง “รอน ฮันเตอร์” (Denzel Washington) เท่าไหร่นัก จนกระทั่งพวกเขาได้รับคำสั่งที่ไม่ชัดเจนจากศูนย์บัญชาการ ทำให้กัปตันแรมซีย์และต้นเรือฮันเตอร์เกิดความขัดแย้งกันอย่างหนักเพราะแต่ละคนตีความคำสั่งแตกต่างกัน เกิดเป็นการต่อสู้หักเหลี่ยมยึดอำนาจกันระหว่างสองผู้นำบนเรือดำน้ำนิวเคลียร์ที่ต่างฝ่ายก็คิดว่าตัวเองทำสิ่งที่ถูกต้อง

พูดได้ว่า Crimson Tide คือหนังเรือดำน้ำลูกผสมระหว่างหนังแอคชั่นลุ้นระทึกกับหนังดราม่าการเมืองสุดเข้มข้น ซึ่งทำออกมาได้น่าประทับใจและน่าจดจำที่สุดเรื่องหนึ่ง เพราะแม้แต่คนดูเองก็ไม่รู้เลยว่าฝ่ายไหนกันแน่ที่คิดถูก เนื่องจากคำสั่งที่ตัวละครได้รับนั้นไม่ชัดเจนตีความได้ทั้งสองอย่าง ขึ้นอยู่กับทัศนคติและลักษณะนิสัยของคนตีความ โดยกัปตันแรมซีย์เป็นนายทหารเรือรุ่นเก๋ามากประสบการณ์ผ่านสงครามมาอย่างโชกโชน ทำให้เขาตีความคำสั่งที่ได้รับว่าเป็นคำสั่ง “ยิง” ในขณะที่ต้นเรือฮันเตอร์ เป็นนายทหารหนุ่มการศึกษาสูง ยึดมั่นในหลักการและเหตุผล เขาจึงตีความคำสั่งนั้นว่าเป็นคำสั่ง “ยกเลิก”  ดังนั้น นอกจากฉากฉากเรือดำน้ำไล่ยิงกันแล้ว เราจะได้เห็นการยิงกันผ่านบทพูดของตัวละครที่ต่างฝ่ายต่างก็งัดเหตุผลและอุดมการณ์ของตัวเองมาโต้แย้งอีกฝ่ายอย่างดุเดือด

DAS BOOT (1981)

เรื่องราวของเรือ U-96 ที่ได้รับภารกิจดักทำลายขบวนเรือสินค้าของอังกฤษแถบทะเลเมดิเตอเรเนียนและมหาสมุทรแอตแลนติก ก่อนที่จะต้องเปิดฉากโจมตีกับกองเรือของอังกฤษระหว่างเล็ดลอดผ่านช่องแคบยิบรอลตา

แม้ตัวหนังจะดูเก่าไปสักหน่อย แต่นี่คือหนังเรือดำน้ำฝีมือของผู้กำกับขั้นเทพอย่าง “วูล์ฟกัง ปีเตอร์เซน” ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นหนังเรือดำน้ำที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งที่เคยสร้างมาในโลกภาพยนตร์เลยทีเดียว  โดยตัวหนังจะพาเราไปสำรวจชีวิตในเรือดำน้ำสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านมุมมองของลูกเรือ ซึ่งมันจะเต็มไปด้วยบรรยากาศที่อึดอัด ตึงเครียด และความกลัว โดยตัวหนังจะให้นักแสดงใช้ชีวิตอยู่ในฉากเรือดำน้ำจริง ๆ เป็นเวลาหลายเดือนโดยไม่มีโอกาสออกมาด้านนอก ต้องกินนอนและใช้ชีวิตประจำวันเหมือนกับเป็นลูกเรือดำน้ำสมัยสงครามโลกจริง ๆ ดังนั้นหากคุณเห็นนักแสดงนวดเครายาวเฟิ้มหน้าตาอิดโรย นั่นไม่ใช่เมคอัพแต่อย่างใด ความยุ่งยากนี้ทำให้หนังใช้เวลาถ่ายทำอยู่ถึง 2 ปีเต็มเพราะผู้กำกับต้องการให้หนังออกมาสมจริงที่สุดในทุกด้าน

Kursk

สร้างจากเรื่องจริงของโศกนาฏกรรมเรือดำน้ำครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ เรื่องราวของเรือดำน้ำของรัสเซีย K-141 หรือ “คูร์ส” (Kursk) ที่ประสบอุบัติเหตุตอร์ปิโดที่อยู่บริเวณหัวเรือเกิดระเบิดขึ้น จนเรือดำดิ่งสู่ก้นทะเลพร้อมลูกเรือที่รอดชีวิตเพียงหยิบมือ ในขณะที่สถานการณ์กำลังวิกฤติ รัฐบาลรัสเซียกลับพยายามปกปิดและปฏิเสธความช่วยเหลือจากนานาชาติ จนโอกาสรอดชีวิตของลูกเรือริบหรี่ลงเรื่อย ๆ

Kursk คือหนังเรือดำน้ำที่สะท้อนความเน่าเฟะของการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะรัฐบาลรัสเซียในเวลานั้นซึ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ตัวเองเสียหน้า แม้แต่การยอมสละชีวิตลูกเรือของตัวเอง แถมสาเหตุของโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ก็เกิดมาจากความพยายามทำอะไรเกินตัวของรัฐบาลและกองทัพรัสเซียด้วยการขยายกำลังรบแข่งกับสหรัฐอเมริกาในยุคสงครามเย็น เป็นเหตุให้รัฐบาลขาดแคลนงบประมาณในการบำรุงรักษาอาวุธ อาวุธที่หมดอาวุธการใช้งานจึงยังถูกเข็นออกมาใช้จนเกิดเหตุสลดขึ้น ทั้ง ๆ ที่มันควรจะปลดประจำการไปตั้งนานแล้ว  โศกนาฏกรรมเรือดำน้ำ Kursk จึงเป็นบทเรียนสำคัญไม่ใช่แค่กับรัสเซีย แต่เป็นทุกประเทศที่มีเรือดำน้ำ

Below (2002)

เรื่องราวของเรือดำน้ำ ยูเอสเอส ไทเกอร์ ชาร์ค (USS Tiger Shark) กำลังออกลาดตระเวนในมหาสมุทรแอตแลนติกช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนได้พบกับลูกเรือชาวอังกฤษ 3 คนที่รอดชีวิตอยู่กลางทะเลจากการถูกโจมตีโดยเรือดำน้ำฝ่ายเยอรมัน โดยหนึ่งในผู้รอดชีวิตเป็นนางพยาบาลชื่อ “แคลร์” (Olivia Williams) แต่ทว่าหลังรับผู้รอดชีวิตขึ้นมาบนเรือ ลูกเรือต่างก็พบเจอกับเหตุการณ์แปลกประหลาดที่หาคำอธิบายไม่ได้ สถานการณ์บนเรือเลวร้ายลงเรื่อย ๆ จนอาจไม่มีใครรอดชีวิตกลับขึ้นฝั่งได้อีก

หากใครชอบหนังแนวระทึกขวัญผสม Sci-fi อย่าง คุณอาจจะชอบ Below เพราะนี่คือหนังเรือดำน้ำเพียงไม่มีเรื่องที่แทบไม่มีความเป็นแอคชั่นเลย แต่มันอัดแน่นไปด้วยความระทึกขวัญหลอนประสาทผสม Sci-fi คล้ายกับ Event Horizon เพียงแต่เปลี่ยนจากยานอวกาศมาเป็นเรือดำน้ำ เราจะไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ประหลาดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนเรือมันคืออะไรกันแน่ และมันเกี่ยวโยงกับตัวละครเหล่านี้ยังไง ตัวหนังจะค่อย ๆ เฉลยไปทีเปลาะ จนถึงจุดหักมุมแบบเหวอ ๆ ในตอนไคลแม็กซ์  นอกจากนี้ ตัวหนังยังเล่นกับพื้นที่แคบและความรู้สึกอึดอัดภายในเรือดำน้ำได้อย่างฉลาด คุณไม่ต้องแปลกใจเลยหากดูแล้วรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ทั่วท้อง

Black Sea

เรื่องราวของกัปตัน “โรบินสัน” (Jude Law) กะลาสีประสบการณ์ในแถบทะเลดำ เขาถูกบริษัทเดินเรือเลิกจ้างกะทันหันจนขาดรายได้ เขาจึงวางแผนที่จะออกตามหาเรือดำน้ำเยอรมันสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่บรรทุกทองคำมูลค่ากว่าร้อยล้าน ซึ่งอับปางอยู่ก้นทะเลตรงไหนสักแห่งของทะเลดำ เกิดเป็นภารกิจโจรกรรมที่ยิ่งกัปตันโรบินสันดำลงไปลึกมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นธาตุแท้ของมนุษย์มากเท่านั้น

หากใครคุ้นเคยหนังโจรกรรมอย่าง Ocean 11 (2001) แล้ว บอกได้เลยว่า Black Sea แตกต่างกันแบบคนละขั้ว เพราะนี่คือหนังโจรกรรมที่เผยให้เห็นธาตุแท้ของมนุษย์สารพัดประเภท ยิ่งดำลงไปลึกมากเท่าไหร่ ธาตุแท้ของคนก็จะเผยออกมา ทั้งความขี้ขลาด ความเห็นแก่ตัว ความโลภ หรือแม้แต่ความโง่ มันคือหนังเรือดำน้ำที่ไม่มีฉากแอคชั่น มีเพียงการเอาตัวรอดแบบเรียล ๆ พร้อมกับโทนหนังที่ดูตึงเครียดอึมครึมเหมือนกับอารมณ์ของมนุษย์ที่สิ้นหวังกับชีวิตบนบกจนต้องลงมาหาอนาคตใต้ทะเล

Hunter Killer (2018)   

เรื่องราวของ “โจ กลาส” (Gerard Butler) กัปตันเรือดำน้ำตัวแสบประจำกองทัพเรือสหรัฐ เขาได้รับมอบหมายให้นำเรือดำน้ำ ยูเอสเอส โอมาฮา (USS Omaha) ออกไปค้นหาเรือดำน้ำสหรัฐฯ อีกลำ ที่ขาดการติดต่อไปบริเวณอาร์กติก แต่กัปตันโจกลับพบเบาะแสของการก่อรัฐประหารในรัสเซียเพื่อหวังจุดชนวนสงครามกับสหรัฐอเมริกา  เขาจึงต้องร่วมมือกับหน่วยซีลที่แทรกซึมเข้าไปในรัสเซียเพื่อช่วยเหลือประธานาธิบดีรัสเซียที่ถูกจับเป็นตัวประกันและหยุดยั้งแผนการร้ายนี้

Hunter Killer คือหนังเรือดำน้ำแอคชั่นขนานแท้ ตัวหนังมีทั้งฉากเรือดำน้ำไล่ล่ากันใต้ทะเลไปถึงฉากยิงกันหูดับตับไหม้บนบก ซึ่งก็ดูสนุกตื่นเต้นพอสมควร แม้พล็อตกับเนื้อเรื่องจะแสนเบาหวิวและเต็มไปด้วยการจับแพะชนแกะหาเหตุผลไม่ค่อยได้ แต่ความสนุกตื่นเต้นของฉากแอคชั่นก็มากพอที่จะทำให้คนดูลืมตรงจุดนี้ไปได้ ถึงฉากแอคชั่นบางฉากมันจะดูเว่อร์วังอลังการเกินความจริงไปบ้าง แต่ในเมื่อหนังทำออกมาสนุกดีก็ไม่ใช่ปัญหา แถมหนังบางช่วงยังกดดันให้คนดูได้ลุ้นตามพอสมควร หากเทียบกับเรื่องอื่น ๆ ที่ผ่านมาแล้ว Hunter Killer คือหนังเรือดำน้ำที่ดูง่ายย่อยง่ายโดยไม่ต้องเก็บมาคิดมากหลังดูที่สุด


Greyhound (2020)

เรื่องราวของ “เออร์เนสต์ เคราส์” (Tom Hank) กัปตันเรือพิฆาต ยูเอสเอส เกรย์ฮาวนด์ (USS Greyhound) ที่ได้รับภารกิจคุ้มกันขบวนเรือสินค้าจากสหรัฐอเมริกาเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังประเทศอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่สิ่งที่รอต้อนจับขบวนเรือของพวกเขาอยู่ คือ ฝูงเรือดำน้ำเยอรมันที่ดักซุ่มและรอออกล่าเรือฝ่ายสัมพันธมิตรราวกับหมาป่าที่กำลังออกล่าเหยื่อ กัปตันเคราส์ต้องคุ้มกันขบวนเรือให้อยู่รอดปลอดภัยเป็นเวลา 48 ชั่วโมงก่อนที่ฝูงบินและกำลังเสริมจากฝ่ายอังกฤษจะเดินทางมาถึง

เรียกได้ว่า Greyhound ค่อนข้างต่างจากหนังเรือดำน้ำทุกเรื่องทุกหน้านี้ เพราะมันเป็นหนังเรือดำน้ำเพียงเรื่องเดียวที่ตัวเอกไม่ได้ขับเรือดำน้ำ แต่ดันอยู่บนเรือพิฆาตที่ถูกฝูงเรือดำน้ำไล่ล่า ความสนุกของมันจึงอยู่ที่คนดูไม่รู้เลยว่าใต้ผิวน้ำกว้างใหญ่ไพศาล เรือดำน้ำซ่อนอยู่ตรงไหนบ้าง และจะออกมาโจมตีเมื่อไหร่ ความไม่น่าไว้ใจของหนังยิ่งถูกสำทับด้วยโทนของภาพและเสียงที่ทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว ภาพโทนเย็นดูซีด ๆ เทา ๆ บวกกับซาวด์เอฟเฟคแปลก ๆ ฟังแล้วรู้สึกโหวงเหวง ยิ่งเพิ่มอรรถรสความตื่นเต้นและลุ้นระทึกได้เป็นอย่างดี น่าเสียดายที่ Greyhound ไม่ได้ฉายในโรงภาพยนตร์ตามแผนเดิมเพราะโควิด 19 จนถูก Apple ซื้อไปฉายบน Apple TV ซึ่งยังไม่มีสตรีมมิ่งในไทย

Text – Exocet

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save