5G หนึ่งในเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายรูปแบบใหม่ระดับ Gbps เครือข่ายดีเลย์ต่ำทำให้รับ-ส่งข้อมูลได้ไวและเสถียรยิ่งขึ้น ถูกเริ่มนำมาใช้งานครั้งแรกในช่วงปลายปี 2018 ที่ผ่านมา ก่อนกระจายตัวสู่วงกว้าง ซึ่งเป็นการบุกเบิกยุคใหม่ของเครือข่ายไร้สายที่พัฒนามาแล้วถึง 5 ยุคสมัยด้วยกันคือ
1G ก้าวแรกสู่การส่งข้อความเสียงในรูปแบบของอนาล็อก
2G เริ่มต้นสู่การส่งข้อมูลรูปแบบเสียงในรูปแบบดิจิทัล พร้อมการส่งข้อความแบบตัวอักษร และใช้งานเครือข่ายอินเตอร์เน็ตผ่าน GPRS, EDGE
3G เริ่มต้นการใช้งานอินเตอร์เน็ตบนอุปกรณ์พกพา ด้วยเทคโนโลยี HSPA ตัวอักษรย่อคือ H ที่เราคุ้นตากันนั่นเอง ความเร็วระดับ Kbps
4G จุดเริ่มต้นของการเชื่อมต่อทุกอุปกรณ์เข้าด้วยกัน การใช้งาน ความเร็วระดับ Mbps ด้วยเทคโนโลยี LTE หรือ WiMAX
ซึ่ง 5G ถือเป็นก้าวแรกของเทคโนโลยีไร้สายเข้าสู่การเชื่อมต่อความเร็วระดับ Gbps ที่สามารถพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากกว่า เทคโนโลยี 4G ได้มากถึง 100 เท่ากันเลยทีเดียว. โดยเทคโนโลยี 5G ได้แบ่งเป็น 3 ช่วงด้วยกันคือ
Low-band เป็นการใช้ย่านความถี่ต่ำกว่า 1GHz สามารถใช้ช่วงความถี่เดียวกับ 4G ได้ แต่ว่า low-bang 5G นั้นมีความเร็วที่ช้ากว่าปกติ ซึ่งไม่มีความแตกต่างจาก 4G ที่ใช้งานกันในปัจจุบันเลย
Mid-band ใช้ย่านความถี่ระหว่าง 1 – 10 GHz ซึ่งเป็นย่านความถี่ที่ใช้กันทั่วถึงเช่นเดียวกับที่ใช้ใน Cellular และ Wi-Fi ในปัจจุบัน โดยเครือข่าย 5G เหล่านี้มีระยะห่างที่เหมาะสมในการใช้งานจากตัวปล่อยสัญญาณประมาณ 800 เมตร เท่านั้น แต่มีประสิทธิภาพในการ
High-band ใช้ย่านความถี่สูงในช่วง 20 GHz ถึง 100GHz ที่ยังในปัจจุบันยังไม่มีการนำมาใช้งานอย่างแพร่หลาย ซึ่งเป็นการส่งข้อมูลทีไวที่สุด แต่เนื่องจากระยะการส่งสัญญาณนั้นสามารถทำได้ในระยะไม่เกิน 244 เมตร เท่านั้น หมายความว่าการที่จะใช้งาน 5G ได้เต็มรูปแบบนั้นคือ ต้องมีตัวปล่อยสัญญาณอยู่ใกล้ตัวแทบทุกจุดของพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการวางตำแหน่งตามชั้นของตึกต่างๆ เพื่อการกระจายสัญญาณที่คลอบคลุมทุกพื้นที่มากที่สุด
5G ไม่ได้มีความหมายเพียงแค่ อินเตอร์เน็ตที่ไวขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ และการควบคุมอุปกรณ์ต่างๆที่ตอบสนองได้ไวแบบไร้รอยต่อ เช่นการควบคุมการสั่งการภายในบ้านหรือการนำ IoT มาใช้งานบนยานพาหนะให้มีประสิทธภาพ ความสะดวกและความปลอดภัยที่ดีขึ้นนั่นเอง.
ทางภาคธุรกิจเองนั้น 5G มีความสำคัญในการพัฒนาด้านการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก เช่น Big data ได้อย่างรวดเร็ว ด้วย ML (Machine Learning) , AI (Artificial Intelligence) ซึ่งจะมีประโยชน์ในการต่อยอดข้อมูลเพื่อการเติบโตขององค์กรได้เป็นอย่างดี หรือจะเป็นการนำมาใช้สำหรับโครงการ Smart City ก็ตามที ที่ให้ทุกอุปกรณ์ของทั้งเมืองสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้อย่างไร้รอยต่อในช่วงสัญญาณที่ดีเลย์ต่ำกว่าการใช้งาน 4G
ในปัจจุบันประเทศไทยเองได้มีการประมูลคลื่นสำหรับการทำ 5G ขึ้นมา โดยจะมีทั้งหมด 3 คลื่นคือ
700MHz คลื่นความถี่ต่ำที่สามารถกระจายสัญญาณได้กว้างสุด ตกเป็นของ AIS, True, และ CAT Telecom. ถือเป็นย่านความถี่แบบ Low-band ที่มีข้อได้เปรียบตรงที่กระจายสัญญาณได้กว้างกว่า Mid-band, High-band ซึ่งความเร็วในการใช้งานสำหรับความถี่เท่านี้บนอุปกรณ์พกพาถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวันเลยก็ว่าได้
2600Mhz หรือ 2.6 GHz ย่านความถี่ระดับ Mid-band ที่ในหลายประเทศเลือกใช้งานกันมากที่สุด โดยในประเทศไทย Ais และ True เป้นผู้ถือใบอณุญาตสำหรับการใช้งานคลื่นนี้
26GHz ย่านความถี่ระดับสูงสุด High-Band ที่ในประเทศไทยเรานั้นถือคลองทั้ง AIS, True, DTAC และ TOT โดยจุดเด่นของคลื่นนี้คือ สามารถทำความเร็วได้สูงสุด แต่ก็ต้องแรกมาด้วย ระยะระหว่างสัญญาณที่สั้นกว่าปกติ
เราจะเห็นได้ว่า 5G ถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ที่จะเข้ามาให้ผู้ใช้งานสามารถเกิดการสื่อสารระหว่างบุคคลกับเครื่องจักรมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมเครื่องจักรหรือยานพาหนะจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง หรือจะเป็นความปลอดภัยในระดับองค์กรที่ตรวจสอบได้รวดเร็วขึ้น.
แล้วถ้าเป็นการใช้งานอินเตอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟน 5G ด้วยแล้ว เราจะเห็นได้จากการเปรียบเทียบการดาวน์โหลดภาพยนต์ที่มีความยาว 2 ชม. นั้นจะเห็นว่า เทคโนโลยี 5G มีการพัฒนาให้สามารถใช้งานดาวน์โหลดได้ในเวลาหลักวินาทีในความเร็ว 10 Gbps ต่างจาก 4G เดิมที่สามารถทำเวลาได้ใน 6 นาที ในความเร็ว 100 Mbps แต่ในปัจจุบัน 4G LTE สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 2.0 Gbps ถือว่าเป็นความเร็วที่สามารถใช้งานได้แทบทุกการดาวนโหลดต่างๆผ่านสมาร์ทโฟนแต่ก็ต้องแรกมาด้วยกับราคาโปรโมชั่นที่สูงขึ้น.
แล้วถ้าเทคโนโลยี 5G เข้ามาเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในประเทศไทยกับค่าตัวที่มีราคาสูงในปลายปีนี้หรือปีหน้านั้นจะทำให้คุณยอมเปลี่ยนใจมาใช้ 5G หรือไม่ หรือจะเลือกเดินกลับมาลองสัมผัส 4G ความเร็วสูงสุดกันดูก่อน ?
