อันโตนิโอ โมฮาเหม็ด : แชมป์นี้เพื่อลูกชายผู้ล่วงลับ - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
อันโตนิโอ โมฮาเหม็ด : แชมป์นี้เพื่อลูกชายผู้ล่วงลับ

ว่ากันตามจริง บ้านเราไม่ค่อยคุ้นเคยกับชื่อของ “อันโตนิโอ โมฮาเหม็ด” นักหรอกครับ ที่พอจะจดจำกันได้มากหน่อย ก็คงเป็นรอบรองชนะเลิศของศึกชิงแชมป์สโมสรโลก ที่เขาทำหน้าที่กุนซือพาทีม “มอนเทเรย์” แชมป์โซนคอนคาเคฟ (อเมริกากลาง) ดวลกับลิเวอร์พูล อย่างสนุก

จังหวะเรียกเหลือง 2 ของโมฮาเหม็ด (คนชูมือภาพซ้าย) ที่ทำเอาคลอปป์เม้งแตก
(Source : Daily Mail)

เกมในวันนั้น แม้จะไม่ได้มีถ่ายทอดสดในบ้านเรา แต่ก็มีหลายคนหาช่องทางดูมันจนได้ รวมทั้งผมด้วยคนนึง นอกจากแอ็คชั่นข้างสนามที่มีให้เห็นบ้าง ตามสไตล์กุนซือจากแดนลาตินอเมริกา ยังมีซีนที่แกปะทะคารมกับ “เจอร์เก้น คลอปป์” ด้วย หลังแกไปทำท่ากดดันให้ผู้ติดสินควักเหลืองที่ 2 ไล่โจ โกเมซออก คลอปป์เลยไม่พอใจ จนสุดท้ายโวยเกิน โดนใบเหลืองไป

หลังจากผ่านทัวร์นาเมนต์นั้น ที่มอนเทเรย์จบด้วยอันดับ 3 เราก็ไม่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของโมฮาเหม็ดอีกเลย จนกระทั่งถึงตอนที่มอนเทเรย์ คว้าแชมป์ “ลีก้า เอ็มเอ็กซ์” หรือศึกตัดสินแชมป์ลีกสูงสุดของเม็กซิโก ซึ่งถือเป็นแชมป์สมัยที่ 5 ของมอนเทเรย์ ที่ห่างหายจากสมัยก่อนหน้าถึง 9 ปี

แชมป์ที่รอคอยนาน 9 ปี ของมอนเทเรย์ ซึ่งมีความหมายมากมาย
(Source : En24 News)

ความสุดยอดของแชมป์สมัยนี้ คือลีกเม็กซิโกเค้าจะมีการแข่งแบบพบกับหมดรอบนึง แล้วเอา 8 อันดับแรกของตารางเข้ามาแข่งขัน “แชมป์เปียนชิพ สเตจ” ต่ออีกที ซึ่งมอนเทเรย์น่ะ จบที่อันดับ 8 หรืออันดับสุดท้ายที่จะได้เข้าเล่น แต่กลายเป็นว่าในบั้นปลาย ทีมอันดับ 8 อย่างพวกเขาได้ครองแชมป์ ด้วยการฝ่า 3 รอบน็อคเอาท์แบบเหย้า-เยือน ซึ่งหินมาก

ชัยชนะในแมทช์ตัดสินกับสโมสร “คลับ อเมริกา” ต้องลุ้นกันถึงการดวลจุดโทษในนัดที่ 2 หลังทั้ง 2 ทีมต่างเก็บชัยในแมทช์เหย้าได้ 2-1 เท่ากัน ซึ่งสุดท้ายเป็นมอนเทเรย์ ที่เอาชนะไปได้ 4-2

แมทช์ชิงกับคลับ อเมริกา ต้องลุ้นกันถึงช่วงยิงลูกโทษตัดสิน
(Source : En24 News)

แน่นอนว่าการคว้าแชมป์หนแรกในรอบ 9 ปี ย่อมสร้างความปลาบปลื้มให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับสโมสร แต่ความรู้สึกของโมฮาเหม็ด มีอะไรมากกว่านั้น น้ำตาที่หลั่งออกมาแบบไม่อายใคร มีความหมายลึกซึ้งเกินกว่าแค่ดีใจ…

เล่าย้อนถึง “อันโตนิโอ โมฮาเหม็ด” หน่อย ว่าจริงๆ เขาเป็นชาวอาร์เจนไตน์ ที่มีเชื้อสายผสมมากมายทั้งเลบานอน, ซีเรีย และโครเอเชีย ด้วยการมีเลือดเนื้ออาหรับนี่แหละ ทำให้เขาได้ฉายาว่า “เอล ตูร์โก้” หรือแปลเป็นอังกฤษคือ “เดอะ เติร์ก” ฉายาที่คนลาตินชอบใช้เรียกคนที่ลาตินด้วยกันเอง ที่มีเชื้อสายอาหรับผสม

โมฮาเหม็ดสมัยค้าแข้ง เห็นก็รู้ว่าเป็นตัวแสบไม่เบาแน่นอน
(Source : Marca)

ชีวิตค้าแข้งของเขาไม่ได้ราบรื่นโรยด้วยกลีบกุหลาบ แม้จะโชว์ผลงานได้ยอดเยี่ยมกับ “ฮูรากาน” สโมสรแจ้งเกิด จนได้ย้ายไป “ฟิออเรนติน่า” แต่เขาก็ไม่สามารถเบียดขึ้นมาเป็นตัวจริงในทีมได้ จนต้องถูกยืมกลับมาเล่นให้ยอดทีมแดนฟ้าขาว อย่าง “โบคา จูเนียร์ส” และ “อินดิเพนเดนเต้” ซึ่งเป็นช่วงที่ทำให้เขาติดทีมชาติอาร์เจนติน่าสั้นๆ แถมยังได้เป็นหนึ่งในชุดลุยโคปา อเมริกา ปี 1991 ด้วย

โมฮาเหม็ด (ซ้าย) กับดิเอโก้ ซิเมโอเน่ ตอนติดทีมชาติฟ้าขาว
(Source : MoiCeleste)

หลังจากนั้นเขาก็ระหกระเหินไปค้าแข้งกับหลายสโมสรในเม็กซิโก รวมถึงมอนเทเรย์ ก่อนจะแขวนสตั๊ด และเริ่มอาชีพกุนซือที่ดินแดนจังโก้นั่นเลย

ประวัติการคุมทีมของเขา ก็ไม่ได้ต่างจากสมัยที่เป็นนักเตะนัก เพราะเขาเทียวไปเทียวกลับเม็กซิโก-อาร์เจนติน่า กับหลากหลายสโมสร เขาเคยคุมฮูรากันถึง 3 หน และการคุมมอนเทเรย์ หนนี้ก็คือหนที่ 2

มาดสมัยคุมอินดิเพนเดนเต้ ซึ่งเคยพาทีมคว้าแชมป์ “โคปา ซูดาเมริกาน่า” ด้วย
(Source : Mundo D – La Voz)

โดยเขาถือเป็นกุนซือที่มีชื่อในเม็กซิโกพอตัวเลย เคยคว้าแชมป์ “ลีก้า เอ็มเอ็กซ์” มาแล้ว 2 สมัยก่อนหน้านี้ ทั้งกับ “ทิฮัวน่า” และ “คลับ อเมริกา” แต่สโมสรที่เขาคุมทีมนานที่สุด กลับเป็นมอนเทเรย์ ที่เขาคุมทีมตั้งแต่ 2015-2018

ฝีไม้ลายมือของโมฮาเหม็ดในเม็กซิโก ทำให้เขามีโอกาสได้ลองของ ย้ายไปคุมทีม “เซลต้า บีโก้” ในลา ลีก้า แต่สุดท้ายมันก็เหมือนตอนที่เขาย้ายไปอิตาลีเมื่อตอนค้าแข้ง เขาคุมทีมได้เพียง 13 นัด และโดนปลดออกจากตำแหน่ง เพราะผลงานย่ำแย่

ฉลองชัย หลังพาคลับ อเมริกา ซิวแชมป์ “ลีก้า เอ็มเอ็กซ์” ในปี 2014
(Source : ESPN)

จนสุดท้าย เขาได้มีโอกาสกลับมาคุมมอนเทเรย์อีกหน หลัง “ดิเอโก้ อลองโซ่” กุนซือชาวอุรุกวัย ที่พาทีมเป็นแชมป์ “คอนคาเคฟ แชมป์เปียนส์ ลีก” ถูกปลดออกไป หลังผลงานฤดูกาลใหม่ไม่ดี

สุดท้ายเขาก็พาทีมเป็นแชมป์ลีก้า เอ็มเอ็กซ์ ได้สำเร็จ และนั่นเป็นที่มาของน้ำตาอันมีความหมาย จนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก เพราะน้ำตาที่เขาหลั่งออกมา เกิดจากเหตุการณ์อันเป็นอุปสรรคสำคัญ ซึ่งมากมายกว่าสมัยที่เขาเป็นนักเตะ หรือกุนซือ หลายเท่าตัว

เรื่องราวนั้น เกิดขึ้นช่วงฟุตบอลโลกปี 2006 ซึ่งโมฮาเหม็ด พาลูกชายของเขาที่ชื่อ “ฟาริด” ไปชมการแข่งขันด้วยที่เยอรมัน โดยพ่อลูกหวังว่าจะไปเชียร์ทีมชาติอาร์เจนติน่า

ภาพโมฮาเหม็ดกับ “ฟาริด” ลูกชายของเขา ซึ่งเป็นแฟนทีมมอนเทเรย์
[Source : Twitter (FutbolBible)]

แต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝัน เมื่อทั้งคู่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างรุนแรง จนฟาริดต้องเสียชีวิต ในขณะที่โมฮาเหม็ด เกือบจะต้องสูญเสียขาจากเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่ก็รอดพ้นมาได้

ความปวดร้าวที่สูญเสียลูกชายของโมฮาเหม็ด นำมาซึ่งคำสัญญาที่เขายึดมั่นมาตลอด ว่าเขาจะกลับไปพาสโมสรมอนเทเรย์ สโมสรที่ลูกชายของเขาเชียร์มาตั้งแต่เด็ก คว้าแชมป์ลีกสูงสุดแดนจังโก้ให้ได้ และมันต้องใช้เวลานานถึง 13 ปี กว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะประจวบเหมาะ จนเป็นที่มาของน้ำตาของผู้เป็นพ่อ

น้ำตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ ความรู้สึก ของโมฮาเหม็ด หลังพามอนเทเรย์คว้าแชมป์
[Source : Twitter (FutbolBible)]

โมฮาเหม็ดอุทิศแชมป์ครั้งนี้ให้ฟาริด อย่างไม่ต้องสงสัย แน่นอนว่าภาพที่เราได้เห็น สร้างอารมณ์ร่วมมากมาย และสัมผัสได้อีกครั้งว่า “ฟุตบอล เป็นอะไรที่มากกว่า… แค่ฟุตบอล”

และนอกเหนือจากคำสัญญาอันยึดมั่นของโมฮาเหม็ดแล้ว เรายังได้เห็นภาพของชายคนนึงผู้ไม่ยอมแพ้ แม้จะเจออุปสรรคกี่หนก็ตาม แต่เมื่อเขามีความเชื่อมั่นซะอย่าง วันนึงความสำเร็จที่น่าพึงพอใจ จะมาหาคุณในสักวัน

(Source : Goal.com)

Picture : Goal.com, Daily Mail, En24 News, Marca, MoiCeleste, Mundo D – La Voz, ESPN, Twitter (FutbolBible)

rocketseer

ทำงาน Sports content | บ้าบอล-เป็น The KOP | (เคย)บ้าดูหนัง-(เคย)ทำเพจหนัง | อยู่บ้านนาน ก็ชักเป็นบ้า!

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save