ในเมื่อหนังสร้างมาจากนวนิยายของเจ้าพ่อสยองขวัญชื่อดังอย่าง “สตีเฟ่น คิง” การันตีได้ถึงความหลอกหลอนที่เราคาดไม่ถึง แถมหนังยังเป็น ภาคต่อของหนังสุดหลอนขึ้นหิ้งในตำนานเมื่อ 40 ปีที่แล้วอย่าง The Shining(1980)

ซึ่งได้ผู้กำกับชื่อดังอย่าง “สแตนลีย์ คูบริก” ที่ลงมือเขียนบทดัดแปลง และกำกับหนังเรื่องแม้จะได้รับเสียงตอบรับจากผู้ชมว่านี่คือหนังสยองขึ้นหิ้งตลอดกาลเพียงใด แต่ตัวเจ้าของนวนิยายอย่างคิงกลับไม่ชอบค่อนไปทางเกลียดเลยก็ว่าได้ ถึงกับประกาศว่า “The Shining ของคูบริกไม่ได้ดัดแปลงมาจากนวนิยายของเขา” แต่ในภาคนี้เราได้ผู้กำกับและเขียนบทคือ “ไมค์ ฟลานาแกน” ผู้มีผลงานสยองที่กำลังเป็นกระแสอยู่นั้นคือ ซีรีส์ The Haunting of Hill House ซึ่งตัวคิงเองก็ชื่นชอบผู้กำกับหนุ่มคนนี้เป็นการส่วนตัว ดังนั้นเรารับประกันได้เลยว่า Doctor Sleep เป็นหนังที่เต็มไปด้วยความสยองแบบฉบับนวนิยาย ที่เพิ่มเสน่ห์ด้วยสไตล์ของผู้กำกับ แต่ไม่ทิ้งกลิ่นอายของ The Shining เพื่อให้เราได้หวนระลึกถึงคืนนรกในตอนนั้น

หนังเริ่มเรื่องต่อจากเหตุการณ์ในคืนสยองที่ โรงแรมโอเวอร์ลุคทันที เมื่อแดน และแม่หนีออกจากโรงแรมมาได้ พวกเขาย้ายไปอยู่ฟอริด้าดินแดนที่ไม่มีหิมะตกเพื่อไม่ต้องให้หวนคิดถึงคืนนั้นอีก แดนพยายามหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองสงบ และเมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่ เขาได้พบกับแอบรา เด็กสาวที่มีพลังไชน์มหาศาลที่กำลังประสบปัญหาจากการโดนตามล่าตัวของกลุ่ม เดอะ ทรู น็อต โดยมีผู้นำอย่าง โรส เดอะแฮท ผู้มีพลังไชน์แข็งแกร่ง แดนจึงต้องกลับไปที่โรงแรมโอเวอร์ลุคอีกครั้งเพื่อจบเรื่องราวทั้งหมด

Doctor Sleep คือการสานต่อ The Shining ที่เก็บลายระเอียดทั้งเทคนิคการถ่าย มุมกล้องเอกลักษณ์ของหนัง รวมทั้งการใช้ซาวด์ประกอบ รวมถึงฉากเปิดที่พาเราข้ามทะเลสาบ ไล่ตามไหล่เขายาวไปจนถึงโรงแรมโอเวอร์ลุค หากแต่หนังอาจจะไม่โดนใจใครที่รู้สึกว่าหนังเอื่อยเกินไป มีฉากที่ไม่จำเป็นเยอะเกินไป (ความยาวหนัง 2ชม.30นาที) แต่บอกเลยว่าเช่นเดียวกับภาคแรก 30 นาทีหลังคือความมันส์ที่คุณรอคอย เมื่อหนังจบลงคุณจะรู้สึกสนุกขึ้นมาในทันที

Text – Nichaya.t