ใครจะไปคาดคิดว่าทุกวันนี้จะมีอุปกรณ์อื่นๆที่ไม่ใช่คอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊คที่เสี่ยงจะโดนมัลแวร์สุดร้ายกาจอย่าง Ransomware เล่นงาน เพราะจากงานวิจัยตัวล่าสุดได้เผยให้เราได้เห็นว่าบรรดา Hacker สามารถที่จะเข้าถึงกล้อง DSLR บางตัวและฝัง Ransomware เข้าไปเพื่อที่จะทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถที่จะเข้าถึงไฟล์รูปและการใช้งานกล้องได้ จนกว่าผู้ใช้งานจะทำการจ่ายเงินให้กับ Hacker จึงจะใช้งานได้เป็นปกติ

โดยรายงานตัวนี้มาจากศูนย์วิจัย Check Point Software Technologies ได้เผยให้เราเห็นการทำงานของ Picture Transter Protocol (PTP) ที่สามารถนำมาประยุกต์เพื่อที่จะทำให้กล้อง DSLR ติด Ransomware ได้ โดยกระบวนการ PTP สามารถที่จะนำมาใช้งานได้ทั้งผ่าน USB และ Wi-Fi โดยในส่วนของการโจมตีผ่าน Wi-Fi จะต้องเป็นการใช้งานในเครือข่ายเดียวกัน หรือหากเป็นการโจมตีผ่าน USB จะเป็นการเข้าไปโจมตีผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีการฝังมัลแวร์ไปเรียบร้อยแล้ว รอเพียงแค่ผู้ใช้งานทำการเชื่อมต่อกล้องเข้ากับคอมพิวเตอร์เท่านั้น

จากการทดสอบของทาง Check Point ได้แสดงตัวอย่างให้เราเห็นวิธีการนำ Ransomware เข้าไปในกล้อง Canon EOS 80D ผ่าน Wi-Fi โดยหลังจากที่ตั้งค่า Wi-Fi ให้ดึงดูดแล้ว เมื่อกล้องทำการเชื่อมต่อเข้ามาพวกเขาสามารถที่จะเข้าถึงตัวกล้องได้ทันที โดยเมื่อกล้องถูกโจมตีเราจะทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากการจ่ายเงินให้กับ Hacker ซึ่งไม่สามารถยืนยันได้ว่าเมื่อจ่ายเงินไปแล้วจะสามารถนำรูปกลับมาได้หรือไม่

ทาง Check Point ได้ส่งช่องโหว่ตัวนี้ให้กับทาง Canon เป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เดือนมีนาคมและมีการออกอัปเดตเพื่อแก้ไขในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ยังไม่มีรายงานว่ามีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากแบรนด์อื่นๆหรือไม่ นอกจากนี้พวกเขายังได้แนะนำให้ผู้ใช้งานหลีกเลี่ยงการเชื่อมต่อเข้ากับ Wi-Fi ที่ไม่น่าเชื่อถือ โดยใครที่ยังไม่ได้ทำการอัปเดตนี้สามารถที่จะเข้าไปทำการดาวน์โหลดได้แล้วผ่านเว็บไซต์ของทาง Canon ได้โดยตรง ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการใช้ Ransomware ที่ค่อนข้างจะแปลกและไม่เคยเห็นมาก่อน ใครที่มีกล้อง DSLR อยู่ในมือควรที่จะต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในการใช้งาน Wi-Fi เสียแล้ว

ที่มา – ThisIsGame