ภาคแยกแต่จัดเต็มพอๆ กับแฟรนชายส์หลัก
จาก Fast and Furious ที่มาได้ไกลขนาดนี้ด้วย Justin Lin ผู้กุมบังเหียนซีรีส์นี้เริ่มจาก Tokyo Drift ภาค 3 ยาวมาจนถึง Fast & Furious 6 และเตรียมจะกลับมากำกับภาค 9
แต่ภาคแยกของสองตัวละครเด่นเกินคนอื่นอย่าง Luke Hobbs และ Dekkard Shaw นั้นได้ David Leitch จาก Deadpool 2 มากำกับแทน คนเขียนบทยังคงเป็น Chris Morgan ที่เขียนมาตั้งแต่ Tokyo Drift ที่ได้ Drew Pearce จาก Mission: Impossible – Rogue Nation และ Iron Man 3 มาช่วยเขียนด้วย แค่นี้ก็บอกได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มันต้องมันสุดติ่งกระดิ่งแมวแน่นอน และมันก็ไม่ได้ลดความมันส์ไปจาก Fast & Furious แต่อย่างใด
ถ้าหากไม่สนใจความเป็น Fast & Furious แล้วล่ะก็มันเป็นภาพยนตร์ Action ที่มันส์จัดเต็ม จนแทบจะเรียกว่ามันสามารถยืนหยัดด้วยตัวเองไม่จำเป็นต้องถือชื่อแฟรนชายส์มาด้วยก็ได้ แต่การที่เราเดินทางมากับตัวละครเหล่านี้ทำให้เราสามารถจูนกับพวกเขาติดได้ตั้งแต่ต้นเรื่อง ไม่ต้องมัวไปเล่าประวัติอะไรกันให้เสียเวลา
Cast หน้าใหม่จัดเต็มไม่แพ้ชุดใหญ่
ในขณะที่เหล่าดาราและตัวละครที่เราคุ้นหน้ากันในซีรีส์ Fast & Furious นั้นเราค้นหน้าและผูกพันธ์ และจำหน้ากันได้ดี แต่ Hobbs & Shaw นั้นก็ไม่ได้ยอมน้อยหน้าขนดารามากฝีมือและดังปังกันสุดๆ
ทั้ง Idris Elba,Vanessa Kirby,Eiza González และ อีกมากมายที่มาเติมทัพให้มากกว่าที่มันจะเป็นแค่ Hobbs & Shaw เดี่ยวๆ นี่ยังไม่รวมถึงเหล่า Cameo ที่แทบจะมาแย่งภาพยนตร์กันไปครึ่งเรื่อง!
เคมีของนักแสดงที่ดูไม่เข้ากันแต่โคตรลงตัว
จากที่เคยห้ำหั่นกันใน Furious 7 ที่ Deckard Shaw ไปตามล่าคอรบครัว Toretto จนกลายมาช่วยพวกเขาในภาคต่อมา The Fate of the Furious ในภาคแยกนี้ Deckard Shaw และ Luke Hobbs ต้องจับมือกันปกป้องโลกอีกครั้ง Dwayne Johnson และ Jason Statham ทั้งคู่เป็นดาราภาพยนตร์ Action ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ในขณะที่เสือสองตัวไม่สามารถอยู่ในถ้ำเดียวกันได้ แต่เสือและสิงโตคู่นี้กลับสอดประสานกันได้ดี ในภาพยนตร์ก็ยังไม่พลาดที่จะขยี้ความต่างของทั้งสองที่กลับแสดงกันได้เคมีที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย งอนกันแขวะกันแกล้งกันเหมือนเป็นพระเอกนางเอก
Vanessa Kirby หญิงแกร่งแห่งหนังสายลับ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า Hobbs & Shaw เรื่องนี้มีความคล้ายคลึงกับ Mission Impossible : Fallout มาก มันมีไวรัสที่จะล้างโลก มันมีความเป็นสายลับ มันมีฉากแอคชั่นที่ตราตรึง และที่สำคัญมันมี Vanessa Kirby เหมือนกัน Kirby นั้นมีผลงานโดดเด่นจะเป็นซีรีส์ดราม่า The Crown แล้วค่อยกระโดดมาปังกับ MI:Fallout น่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เธอได้รับบทในเรื่องนี้ และมันอาจจะทำให้ดูเหมือนเธอไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาก ทว่าหากมองลึกลงไปการแสดงของเธอสามารถบ่งบอกได้ชัดเจนว่ามันเป็นภาพยนตร์คนละเรื่องกัน สิ่งที่เธอนำมาแสดงนั้นคือส่วนหนึ่งตัวตนของ Magdalene Shaw การแสดงของเธอทำให้เห็นภาพทับซ้อนของการแสดงจาก Helen Mirren ในบางฉาก ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าเธอมีสายเลือดของตระกูล Shaw จริงๆไม่ใช่แค่เก่งแต่ต่อยตีกับชาวบ้าน ใน Hobbs & Shaw นี้เธอได้เพิ่มดีกรีบทบู๊มากขึ้นและสามารถทำได้ไม่น้อยหน้าคนอื่นๆเลย
Fast & Furious ที่มีกลิ่นอายของ Mission Impossilbe แบบจัดเต็ม
Hobbs & Shaw นั้นแทบจะไร้โทนของหนังซีรีส์หลัก แต่สิ่งที่พุ่งออกมาจากภาพยนตร์เรื่องนี้กลับกลายเป็นกลิ่นอายของ Mission Impossible ที่สอดแทรกมุกตลกและพล็อตที่ซีเรียสจริงจัง พร้อมๆกับฉากแอคชั่นที่ดุดันสมจริง ในขณะที่มันยังคงแปะป้าย Fast & Furious ไว้ในจุดนี้มันกลายเป็นข้อเสีย แต่ถ้าถอดป้ายแฟรนชายส์ออกไปมันสามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างดี มันดุดันมันส์จัดเต็ม มันเป็นตัวของตัวเอง มันขยายจักรวาลของตัวเองภายใต้ร่มเงาเดิม พล็อทแบบเดิมๆได้สดใหม่ ถึงแม้จะไม่แปลกใหม่ก็ตามที มันทำให้เราเฝ้ารอดูภาคต่อของตัวมันเองโดยที่ไม่ได้คิดถึงเนื้อเรื่องหลัก มันทำหน้าที่เหมือน Spider-Man บน Marvel Cinematic Universe ที่ถึงแม้จะอยู่ภายใต้จักรวาลเดียวกัน แต่ก็มีจักรวาลเล็กๆแยกเป็นตัวของตัวเอง
ครอบครัวคือครอบครัว ยังไง Fast & Furious ก็ต้องว่าด้วยครอบครัว
แต่ในเรื่องนี้กลับมาโฟกัสคำว่าครอบครัวในฐานะของ “สายเลือด” แทน ใน Fast & Furious นั้นครอบครัวเกิดจากความเป็นเพื่อน มิตรภาพที่เกิดขึ้นตลอดเส้นทาง ความเป็นแก๊งรถซิ่ง แต่อย่างที่ชื่อเรื่องบอก Hobbs & Shaw เป็นการพูดถึงของสองสายเลือดตระกูล Hobbs และ ตระกูล Shaww ที่ถึงแม้จะต่างสถานที่และพื้นหลังแต่ก็มีความคลับคล้ายคลับคลากันในบางส่วน แต่ทั้งเรื่องเป็นการปกป้องและกลับมารวมกันอีกครั้งของคนทั้ง 2 ตระกูลนี้
ทำได้ดีแต่ยังไม่สุด
Hobbs & Shaw เป็นภาพยนตร์ที่ดีในตัวมันเอง ภายใต้ส่วนผสมของ 2 แฟรนชายส์ดังที่กล่าวไปแล้วด้านบน มันมีสิ่งที่ตรงข้ามกันและภาพยนตร์เรื่องนี้ยังไม่สามารถนำมันมาทำให้ลงตัวในเรื่องนี้เหมือนกับที่ทำกับ 2 ตัวละครหลักได้ นั่นก็คือความสมจริง Fast & Furious หลังจาก Tokyo Drift นั้นเริ่มออกทะเลจากหนังแต่งรถ ซิ่งรถกลายมาเป็นหนังแอคชั่นบู๊ระห่ำ สิ่งที่หลุดลอยไปนอกเหนือจินตนาการนั้นคือความเรียล ไม่ได้บอกว่าภาพยนตร์ต้องทำให้สมจริง แต่บางครั้งมันไมได้อธิบาย มันไม่ได้ทำให้เราเชื่อได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นสามารถเป็นจริง ในขณะที่ Mission Impossible ในช่วงหลังๆที่ความเรียลเข้าขั้นเหมือนไปขโมย Christopher Nolan มา ที่ลดความไฮเทคลงแต่ผสมผสานมันไปกับพล็อตเรื่องและฉากแอคชั่น กับการแสดงที่สมจริงทำให้เรารู้สึกว่ามันยืนอยู่บนฐานของความเป็นจริง นี่คือสองสิ่งที่เรื่องนี้ไม่สามารถนำเข้ามาผสมรวมกันให้กลายเป็นของตัวเองได้ มันยังคงเต็มไปด้วยฉากแอคชั่นบู๊ระห่ำที่ครึ่งหนึ่งมันดูสมจริงเป็นจริง แต่ในอีกครึ่งหนึ่งที่มันลอยหลุดเอามันส์กันอย่างเดียว แต่ในส่วนของฉากแลกหมัดกันนั้น ไม่มีข้อกังขาแต่อย่างใด ขอให้เชื่อมือผู้กำกับ David Leitch จาก Deadpool 2, John Wick และ Atomic Blonde ได้
เซอร์ไพรส์จัดเต็มให้แฟนๆ !
สิ่งที่ต่างออกไปจากแฟรนชายส์หลักของ Hobbs & Shaw นอกจากอารมณ์ขันและความกวนส้นเท้ายังมี Easter Egg ของนักแสดงนำที่ขนกันมา รวมไปถึง Cameo ที่พร้อมจะเซอร์ไพรส์แฟนๆ เต็มที่ คนที่ดูภาพยนตร์แอคชั่นเยอะจะเซอร์ไพรส์เอามากๆ ในขณะที่คนเข้าไปดูภาพยนตร์แอคชั่นเป็นครั้งแรกอาจจะไม่ค่อยเก็ทกันสักเท่าไหร่ แต่ส่วนนี้แหละที่มันจะทำให้เราเฝ้ารอภาคต่อไป…หรืออยากจะเข้าไปดู Hobbs & Shaw มันอีกรอบ!
คะแนน : B-
Text – Millenium Flerken