กลายเป็นข่าวดีแบบ 2 ทอดไปเรียบร้อย เมื่อวันที่ 17 ก.ค. ที่ผ่านมา หลัง “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ได้กุนซือใหม่ จากการที่สมาคมฟุตบอลฯ ออกมาคอนเฟิร์ม(ซักที) ประกาศแต่งตั้ง “อากิระ นิชิโนะ” ผู้จัดการทีมชาวญี่ปุ่นคนแรกในประวัติศาสตร์ เข้ามาคุมทีมชุดใหญ่ และยู-23 รวมทั้งอีกข่าวดี ที่ผลการจับสลากฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก ออกมาค่อนข้างเป็นใจ

โดย “ทิม เคฮิลล์” ตำนานฟุตบอลชาว “จิงโจ้” ออสเตรเลีย จับชื่อไทยอยู่ในสาย G ร่วมกับ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ ยูเออี และอีก 3 ทีมบ้านใกล้เรือนเคียง ทั้ง คู่ปรับสำคัญ เวียดนาม รวมถึง มาเลเซีย และอินโดนีเซีย

ถ้านับจากผลงานของทีม “ช้างศึก” ในช่วงหลังแล้ว หลายคนอาจจะเป็นห่วงว่านอกเหนือจาก “ยูเออี” ทีมที่แข็งแกร่งจากตะวันออกกลาง เพื่อนบ้านอย่าง “ดาวทอง” เวียดนาม ก็อาจจะทำให้เราเพลี่ยงพล้ำได้เช่นกัน

แต่ถ้าหากลองมองดูกลุ่มอื่น หรือทีมอื่นที่อยู่ในแต่ละโถแล้วนั้น ถือว่าเราเจองานที่ “ไม่หนักมาก” และมีโอกาสผ่านเข้ารอบไปได้ หากเรารักษามาตรฐานการเล่นในระดับเดิม ที่เราเคยทำได้ในช่วงก่อนขวบปีให้หลัง

รูปแบบการคัดเลือกโซนเอเชีย

ก่อนจะมาวิเคราะห์เส้นทางของ “ช้างศึก” เราต้องมาเข้าใจรูปแบบการคัดเลือกของ AFC หรือสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย สำหรับทีมจากโซนเอเชีย ที่มีสิทธิ์จะทะลุเข้าสู่รอบสุดท้ายในปี 2022 ที่ประเทศกาตาร์ กันเสียก่อน

โควตาของทีมเอเชีย ที่จะได้ไปเล่นรอบสุดท้ายปี 2022 นอกเหนือจากเจ้าภาพ “กาตาร์” นั้น มีทั้งหมด 4.5 ทีม โดยที่มี 0.5 โผล่มา เพราะว่าจะมี 1 ทีม ที่ต้องเหนื่อยไปเพลย์ออฟข้ามทวีป กับทีมจากโซนคอนคาเคฟ, โอเชียเนีย หรืออเมริกาใต้ อีกต่อนึง

ทีนี้ กลับมาที่รอบคัดเลือกโซนเอเชียของเรากัน โดยการคัดเลือก จะแบ่งออกเป็น 3 รอบ ดังต่อไปนี้

>> รอบแรก <<

เป็นการเอาทีมที่มีคะแนน FIFA Ranking น้อยที่สุด 12 อันดับสุดท้ายของเอเชีย (ลำดับ 35-46 ของทวีป) ไปเพลย์ออฟกันแบบน็อคเอาท์ เพื่อคัดเอาเพียง 6 ทีม จาก 12 ทีม เข้าสู่รอบ 2 ต่อไป โดยไทยเราเป็นลำดับที่ 20 ก็เลยไม่ต้องเหนื่อยในรอบนี้

>> รอบ 2 <<

พอได้ 6 ทีมจากรอบแรก มารวมกับ 34 ทีม ที่สแตนด์บายอยู่แล้ว ก็ถึงเวลานำเอาทั้ง 40 ทีม มาจัดลงโถ 1-5 ตามอันดับ FIFA Ranking เพื่อแบ่งกลุ่มต่อไป โดยหน้าตาโถต่างๆ เป็นดังนี้

รอบนี้ไม่ต้องคิดมาก เพราะ AFC เขาแบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม กลุ่มละ 5 ทีม โดยมีการรวมเจ้าภาพกาตาร์เข้าไปด้วย เพราะนอกเหนือจากการคัดไปบอลโลก 2022 แล้ว ยังถือโอกาสคัดทีมสำหรับ “เอเชียน คัพ” หรือศึกชิงแชมป์เอเชีย ในปี 2023 ไปในตัว

ใน 8 กลุ่มที่ว่า ก็เลยต้องหยิบเอา 1 ทีมแต่ละโถ มาเตะแบบพบกันหมด มีเหย้า-เยือนกัน โดยของเราจับได้กลุ่ม G อยู่ร่วมกับ ยูเออี, เวียดนาม, มาเลเซีย และอินโดนีเซีย

จะสังเกตว่า ไทยเราโชคดีไม่น้อย ที่หลีกทีมโถ 1 แข็งๆ อย่าง ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ซาอุฯ, อิหร่าน หรือออสเตรเลีย ได้ แถมในโถ 2 เอง ก็ต้องถือว่าเราโชคดีอีก ที่เจอเวียดนาม ไม่ใช่ของแข็งกว่าอย่าง อิรัก, อุซเบกิสถาน, โอมาน หรือจอร์แดน

โดยโปรแกรมการลงเล่นของ “ช้างศึก” ในรอบคัดเลือกรอบ 2 ทั้งหมด 8 นัด ก็ตามนี้เลย

5 ก.ย. 62 นัดที่ 1 ​: (เหย้า) พบกับ เวียดนาม
10 ก.ย. 62 นัดที่ 2 : (เยือน) พบกับ อินโดนีเซีย
15 ต.ค. ​62 นัดที่ 3 : (เหย้า) พบกับ ยูเออี
14 พ.ย. 62 นัดที่ 4 : (เยือน) พบกับ มาเลเซีย
19 พ.ย. 62 นัดที่ 5 : (เยือน) พบกับ เวียดนาม
26 มี.ค. 63 นัดที่ 6 : (เหย้า) พบกับ อินโดนีเซีย
4 มิ.ย. 63 นัดที่ 7 : (เยือน) พบกับ ยูเออี
9 มิ.ย. 63 นัดที่ 8 : (เหย้า) พบกับ มาเลเซีย

แน่นอนว่าเป้าหมายของทัพ “ช้างศึก” ภายใต้การคุมทีมของโค้ช “นิชิโนะ” ถูกคาดหวัง ให้ต้องผ่านเข้ารอบคัดเลือกรอบที่ 3 นั่นคือ ทีมต้องพยายามจบอันดับ 1 หรือ 2 ของกลุ่มให้ได้

อันดับ 1 ของแต่ละกลุ่ม คือการการันตีเข้าสู่รอบคัดเลือกรอบ 3 โดยอัตโนมัติ แถมยังได้เข้าร่วม “เอเชียน คัพ” รอบสุดท้ายในปี 2023 ทันที อีกด้วย

อย่างไรก็ดี หากเราพลาดอันดับ 1 ของกลุ่มไป การได้อันดับ 2 ยังคงมีความสำคัญ เพราะจาก 8 กลุ่มในรอบนี้ 4 ทีมอันดับ 2 ที่ดีที่สุด ก็จะผ่านเข้ารอบคัดเลือกรอบ 3 โดยอัตโนมัติเช่นกัน และยังได้สิทธิ์ผ่านเข้าเล่น “เอเชียน คัพ” รอบสุดท้าย เป็นโบนัส

ดังนั้นแล้ว แม้เราอาจจะพลาดพลั้งให้ทีมอันดับ 1 ซึ่งคาดว่าจะเป็น ยูเออี เรายังจะมีนัดที่เหลือกับเพื่อนบ้านทั้ง 3 ซึ่งต้องพยายามเก็บแต้มให้มากที่สุด เพื่อการันตีเป็นอันดับ 2 ที่ดีที่สุดตามที่กล่าวไป

การจบด้วยอันดับ 2 แต่ไม่ได้เป็น 4 ทีมที่ดีที่สุด จะทำให้เราตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2022 ทันที แม้จะมีรางวัลปลอบใจ เป็นการทะลุไปรอในรอบคัดเลือกรอบสุดท้ายของศึก เอเชียน คัพ 2023 ก็ตาม

>> รอบ 3 <<

รอบสุดท้ายของการคัดเลือกโซนเอเชีย ถือเป็นรอบที่โหดหินที่สุด และในประวัติศาสตร์ ทีมชาติไทยเรา ยังไม่เคยฝ่าด่านผ่านรอบนี้ไปได้เลย

รอบที่ 3 จะเอา 8 ทีมแชมป์กลุ่มจากรอบ 2 และอีก 4 ทีม จากอันดับ 2 ที่ดีที่สุด รวมทั้งหมดเป็น 12 ทีม แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 6 ทีม และแข่งกันแบบพบกันหมด เหย้า-เยือน อีกครั้ง

ทีมที่ได้เป็นแชมป์กลุ่ม และรองแชมป์กลุ่ม ในรอบนี้ รวมทั้งหมด 4 ทีม จะกรุยทางสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2022 ร่วมกับกาตาร์ ทันที

ส่วนอันดับ 3 ของทั้ง 2 กลุ่ม ประตูยังไม่ปิดซะทีเดียว พวกเขาต้องมาเตะเพลย์ออฟกันเอง เพื่อหาผู้ชนะ เข้าไปแย่งชิงโควตา 0.5 ทีม ร่วมกับทีมจากโซนคอนคาเคฟ, โอเชียเนีย หรืออเมริกาใต้ อีกต่อนึง ตามที่กล่าวไปแล้ว ในเบื้องต้น

โอกาสของทีมชาติไทย

อย่างที่กล่าวไปว่าเราค่อนข้างโชคดี กับการเจอกับ “โถ 1” ที่เรามีศักยภาพเพียงพอที่จะเอาชนะ หรือแบ่งแต้มจากยูเออีได้ แน่นอนว่ามันไม่ง่าย แต่การที่เราได้เปิดหัวกับทีมที่คุ้นเคยอย่าง เวียดนาม และอินโดนีเซีย ก่อน จะสร้างความมั่นใจให้เราเล่นในบ้านกับยูเออี ได้ดี

กับทีม “โถ 2” อย่างเวียดนาม นอกเหนือจากความมัน และการอยากล้างแค้นของนักเตะ และกองเชียร์แล้ว มันยังเป็นโอกาสดี ที่เราจะเรียกมาตรฐานของเรากลับมา และล้มพวกเขาให้ได้ ก่อนจะเจอกันอีกในซีเกมส์ ปลายปีนี้

นัดแรกที่เราเปิดบ้านเจอกับ “นักเตะตระกูลเหงียน” จึงมีความสำคัญอย่างมาก ต่อความมั่นใจของนักเตะ, โค้ชนิชิโนะ และแฟนบอล ที่น่าจะพร้อมกลับมาสนับสนุนทีมอีกครั้ง ถ้าเราทำได้ดี

กับมาเลเซีย และอินโดนีเซีย เอง แม้จะดูเป็นคู่แข่งที่ประมาทไม่ได้ ในฐานะคนคุ้นเคย แต่โดยทรงบอลแล้ว เราน่าจะผ่าน “เสือเหลือง” และ “อิเหนา” ได้ แถมการเดินทางไปเยือนยังคุ้นเคยกว่าในด้านสภาพอากาศ ดีกว่าต้องออกเดินทางไกล ไปเยือนทีมอย่าง คูเวต, เติร์กเมนิสถาน, เยเมน หรือมองโกเลีย

แน่นอนว่าเป้าหมายของ “ช้างศึก” คือต้องผ่านเข้าสู่รอบ 3 ให้ได้ เพราะนอกเหนือจากการยกระดับของเรา ให้มีโอกาสได้ดวลกับทีมชั้นนำของทวีป

การฝ่าด่านกลุ่ม G นี้ไปได้ มันยังเป็นการการันตี ว่าเราจะมีรายการระดับทวีป อย่าง “เอเชียน คัพ” ในปี 2023 ให้ได้ลงเล่นต่อเนื่อง โดยไม่ต้องกลัวอุบัติเหตุพลิกล็อคตกรอบคัดเลือก เป็นอีกหนึ่งของแถม

แน่นอนว่า แม้มันอาจต้องใช้โอกาสระดับ “ปาฏิหาริย์” ที่เราจะหักด่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายที่กาตาร์ได้ แต่หากมองโอกาสระหว่างทาง บางทีแค่การผ่านรอบคัดเลือกรอบ 2 นี้ ก็อาจจะคุ้มค่า ในเมื่อเราอุตส่าห์มี “ดวง” ในการจับสลาก มาแล้ว

เพราะมันอาจจะเป็น “จุดเปลี่ยน” สำคัญ ที่จะทำให้ “ช้างศึก” ที่ล้มเหลวในช่วงก่อนหน้า ลุกขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง ภายใต้กุนซือเลือดซามูไรอย่าง “นิชิโนะ” ซึ่งแน่นอนว่าเขาเอง ก็ต้องการพิสูจน์ฝีมือให้แฟนบอลเห็น โดยเริ่มจากการปราบเหล่าเพื่อนบ้าน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นี่แหละ

Picture : FIFA, facebook (ฟุตบอลทีมชาติไทย แฟนคลับ), ESPN, Qatar Living, Prokerala, Wikipedia, UAEFA.ae, The Japan Times, AFC, Nine, ReadNewcastle, Al Bawaba, Bangkok Post, The18, 90Min