ใครชื่นชอบภาพยนตร์แนวแอคชันแล้วละก็คงจะเคยเห็นเรื่องราวของซามูไรชาวต่างชาติผ่านภาพยนตร์เรื่อง The Last Samurai, 47 Ronin,และ Kill Bill ฯลฯ
ไม่ก็อาจจะเคยอ่านเจอในหนังสือประวัติศาสตร์สำหรับคนที่สนใจเรื่องราวซามูไรแบบเจาะลึกจริงจัง แต่เชื่อว่าหลายคนไม่เคยรู้มาก่อนว่าช่วงหนึ่งบนโลกของความเป็นจริงประเทศญี่ปุ่นเคยมีซามูไรผิวดำมาก่อน
ใช่ ซามูไรชนชั้นผู้ยึดถือศักดิ์ศรีเหนือชีวิตจริงที่ไม่ใช่ใครหน้าไหนอยากจะมาเป็นก็เป็นได้ ยิ่งหากไม่ได้ถือกำเนิดจากสายเลือดซามูไรอย่างแท้จริงแล้ว โอกาสจะได้มาเป็นซามูไรนั้นเปรียบเหมือนฝันกลางวัน เพราะแม้แต่ในหมู่ซามูไรด้วยกันเองก็ยังมีการแบ่งยศศักดิ์ระดับชั้น
แต่ทว่าในบันทึกเอกสารช่วงยุคเซ็นโกคุหรือศตวรรษที่ 15 ของ โกตะ กิวอิจิ (Kota Gyuichi) นายอาลักษณ์ของตระกูลโอดะ ซึ่งเป็นผู้จดบันทึกเรื่องราวและเหตุการณ์ประจำวันมานานหลายปี ได้เผยให้เห็นข้อมูลส่วนหนึ่งที่เหมือนจะโดนมองข้ามมานานนับศตวรรษเกี่ยวกับซามูไรผิวดำคนแรกและคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ได้เป็นองครักษ์ให้กับ โอดะ โนบุนางะ (Oda Nobunaga) ผู้ครองความยิ่งใหญ่คับแผ่นดินอยู่ในขณะนั้น
ประวัติชาติกำเนิดของชายผิวดำยังคงเป็นปริศนา ไม่มีใครรู้แม้กระทั่งชื่อเดิมของเขา มีหลายแหล่งข้อมูลบอกว่าเขาอาจจะเป็นคนประเทศโมซัมบิก บางข้อมูลก็บอกว่าเขามาจากประเทศแองโกลาหรือประเทศเอธิโอเปีย แต่ทุกคนรู้จักเขาในนามว่า ยาสุเกะ (Yasuke)
แรกเริ่มเดิมทีนั้น ยาสุเกะ เป็นเพียงทาสติดตามบาทหลวงอเลสซานโดร วาเลียนาโน (Alessandro Valignano) มิชชันนารีนิกายเยซูอิตจากอิตาลี ซึ่งเข้ามาเผยแผ่ศาสนาในเอเชียตะวันออกจนกระทั่งเดินทางเข้ามาญี่ปุ่น ใน ค.ศ.1579
เมื่อยาสุเกะเข้ามาถึงญี่ปุ่นรูปลักษณ์การเป็นคนผิวดำสนิทและร่างสูงใหญ่กว่ามาตรฐานคนญี่ปุ่นในยุคนั้นไปมาก ทำให้เขากลายเป็นที่หวาดกลัวแต่กลับกันก็สร้างความสนใจให้แก่ผู้คนจำนวนมาก ฝูงชนถึงขั้นเหยียบกันตายขณะเข้ามาดูเขาเลยทีเดียว
เรื่องราวนี้ไปถึงหูของ โอดะ โนบุนางะ ซึ่งเดิมเป็นคนสนใจเรื่องแปลกๆ น่าตื่นเต้นอยู่แล้ว จึงสั่งให้บาทหลวงวาเลียนาโนพาตัวยาสุเกะมาพบที่ปราสาทเพื่อจะขอดูตัวยาสุเกะให้เห็นกับตา โดยในบันทึกของ หลุยส์ ฟรัวซ์ (Luis Frois) ผู้ซึ่งน่าจะอยู่ในเหตุการณ์นั้นได้ระบุถึงเกตุการณ์ครั้งนั้นไว้ว่า
วันที่ 23 เดือน 2 ชายผิวดำร่างสูงใหญ่กำยำที่มาพร้อมกับบาทหลวง โนบุนางะชื่นชมเขาว่ามีพละกำลังแข็งแรงราวกับคน 10 คน
ไม่นานโนบุนางะเรียกตัวยาสุเกะกลับมาที่ปราสาทอีกครั้ง พร้อมขอตัวยาสุเกะจากบาทหลวงเอาไว้รับใช้ แถมแลกเปลี่ยนด้วยเงินทองและรางวัลมากมาย ซึ่งในระหว่างที่ยาสุเกะอยู่กับโนบุนางะได้ฝึกวิชาต่อสู้ต่าง ๆ และเก่งกาจจนกระทั่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นซามูไร ทั้งยังได้รับดาบและบ้านพักส่วนตัวที่โนบุนางะประทานให้ เรียกว่าเป็นคนโปรดของโนบุนางะเลยก็ว่าได้
ทั้งยังเชื่อกันด้วยว่ายาสุเกะสามารถสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้พอสมควรเพราะโนบุนางะมักพูดคุยกับอีกฝ่ายเสมอแม้ว่ายุคนั้นจะมีคนหลากหลายเชื้อชาติเข้ามาในญี่ปุ่นมากและโนบุนางะก็รับคนต่างชาติไม่ว่าจะเป็นบาทหลวง, พ่อค้า, นักแม่นปืน และทหารรับจ้างเข้ามาทำงานให้อยู่ในสังกัดของตนไม่น้อย แต่ดูเหมือนจะมียาสุเกะจะเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้อยู่รับใช้ใกล้ชิดที่สุดในฐานะองครักษ์
อย่างไรก็ตามวิถีชีวิตการเป็นซามูไรของอดีตทาสผิวดำคนนี้ก็ไม่ได้ยืดยาวสักเท่าไหร่ เมื่อใน ค.ศ. 1582 โนะบุนางะได้สั่งนายพลคู่ใจ อะเกะชิ มิสึฮิเดะ (Akechi Mitsuhide) ยกทัพไปรบแต่กลับโดนเขาทรยศ เหตุเพราะอาเกะชิโกรธแค้นโนบุนางะฝังลึกอยู่หลายเรื่อง เช่น มารดาเขาถูกสังหารเพราะผลจากการกระทำของโนบุนางะ, โนบุนางะเคยใช้พัดตีเขาต่อหน้าเหล่าซามูไรจนต้องอับอายสุดฝืน ฯลฯ การโดนหักหลังครั้งนั้นทำให้โนบุนางะถึงแก่ความตาย ส่วนยาสุเกะเป็นหนึ่งในองครักษ์ที่ต่อสู้ปกป้องโนบุนางะอย่างเต็มที่
เหตุการณ์หลังจากนั้นมีเรื่องเล่าที่แตกต่างกันอยู่สองอย่าง เรื่องแรกบอกว่าเขาปกป้องโนบุนางะจนตัวตาย ส่วนอีกเรื่องบอกว่ายาสุเกะได้ตีฝ่าวงล้อมไปเข้าร่วมกับ โอดะ โนบุทาดะ (Oda Nobutada) บุตรคนโตของโนบุนางะที่พำนักอยู่ไม่ห่างไปมาก
โนบุทาดะได้พยายามนำทหารต่อสู้กับข้าศึก ยาสุเกะก็ได้ยืนหยัดช่วยสู้ด้วยแต่ไม่นานโนบุทาดะก็ทำการคว้านท้องปลิดชีพตนเองตามบิดาไป ยาสุเกะและผู้ติดตามหลายคนโดนจับกุมตัวแต่มิตสึฮิเดะไม่ได้สังหารเขากลับไล่ให้ไปอยู่ในเขตของพวกคนตะวันตกในญี่ปุ่นแทน สาเหตุอาจเพราะมิตสึฮิเดะอยากรักษาสายสัมพันธ์กับพวกบาทหลวงเอาไว้ แต่ก็เป็นเหตุผลที่ฟังดูทะแหม่ง ๆ พอสมควร
บางส่วนจึงเชื่อว่ายาสุเกะน่าจะพลีชีพไปพร้อมกับโนบุนางะที่วัดฮอนโนจิแล้วมากกว่าถึงได้ไม่มีประวัติศาสตร์บันทึกไว้หลังจากนั้นเลย ด้วยเหตุนี้เรื่องราวของซามูไรผิวดำคนแรกของโลกไปจึงปิดฉากลงโดยปริยาย
แต่มีข่าวดีออกมาว่าความเป็นตำนานของยาสุเกะกำลังจะเปิดฉากขึ้นมาอีกครั้งในรูปแบบภาพยนตร์โดยทาง Metro-Goldwyn-Mayer Studios Inc. หรือ MGM บริษัทผลิตภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ในอเมริกากำลังวางแผนนำเรื่องราวของยาสุเกะมาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์แอคชั่น ซึ่งได้ สจวต ซี. พอล (Stuart C. Paul) มารับหน้าที่เขียนบท และอำนวยการสร้างโดยบริษัท Whalerock Industries ที่มี ลอยด์ บรอน (Lloyd Braun) และ แอนดรูว์ มิตต์แมน (Andrew Mittman) มาบริหารโปรเจ็คนี้ร่วมกับฝั่ง MGM ตั้งแต่ต้นจนจบ
ใครชอบภาพยนตร์แอคชันแนวเอเชียนที่สร้างมาจากเค้าโครงเรื่องจริงแบบนี้ละก็ ต้องตามข่าวอีกทีว่าเราจะได้รับชมกันเมื่อไหร่ แต่แค่อ่านประวัติคราว ๆ ดูยังน่าสนใจขนาดนี้ถ้าได้เห็นภาพ แสง สี เสียงเต็ม ๆ ในเวอรชันภาพยนตร์คงสนุกไม่ใช่น้อยเลย
