Movie Review | Love, Death & Robots : 18 อนิเมชั่นสั้นเหนือจินตนาการ ของ Netflix รีวิวครบที่นี่! - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
Movie Review | Love, Death & Robots : 18 อนิเมชั่นสั้นเหนือจินตนาการ ของ Netflix รีวิวครบที่นี่!

หลังจากปล่อยให้ได้ชมกันทาง Netflix ไปเมื่อกลางเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา “Love, Death & Robots” โปรเจ็คต์อนิเมชั่นออริจินอลอันนี้ ก็ถูกพูดถึงกันในวงกว้าง แน่นอนว่างานเรื่องภาพได้รับคำชมนำหน้ามาก่อน เพราะงานอนิเมชั่น และ CG สมัยนี้นั้นพัฒนาไปไกลมาก แต่สิ่งที่ถูกพูดถึงกันเพิ่มเติมนั่นคือไอเดีย และเนื้อเรื่องที่ทำได้ดีไม่แพ้กัน

เดวิด ฟินเชอร์ (ซ้าย) และทิม มิลเลอร์ (ขวา) 2 คนที่มีบทบาทสำคัญของโปรเจ็คต์

โปรเจ็คต์อนิเมชั่นอลังการนี้ มี “เดวิด ฟินเชอร์” ผู้กำกับมือดี ที่มีผลงานระดับเทพมาแล้วทั้ง Se7en, Zodiac, Flight Club, The Social Network, Gone Girl นั่งแท่นเป็นหนึ่งใน Executive Producer และมี “ทิม มิลเลอร์” ผู้กำกับ Deadpool ภาคแรก ที่มีฝีมือด้าน Visual Effect รับหน้าที่ผู้สร้าง และเขียนบท โดยมีมืออนิเมชั่นชั้นนำรวมกว่า 20 ราย มารับหน้าที่กำกับ จนออกมาเป็นอนิเมชั่นขนาดสั้น (ยาวไม่เกิน 20 นาที) ที่หลากหลายรวม 18 เรื่อง โดยแต่ละเรื่องเนื้อหาไม่ได้เกี่ยวข้องกัน จบแยกในตัว

เรื่องของการรับชม สามารถทำได้ทั้งแบบที่เลือกชมในเรื่องที่เราอยากชม แบบไม่ต้องเรียงตามที่ Netflix วางมา หรือจะเปิดรันยาวทีเดียว 18 เรื่องรวดแบบผมก็ได้ ใช้เวลาทั้งหมดไม่เกิน 4 ชั่วโมงจบ โดยขอแอบ remark ไว้ตรงนี้นิดนึง ว่าหลายตอนมีเรทเป็น 18+ คือมีทั้งเรื่องความรุนแรง และภาพโป๊เปลือย ดังนั้นถ้าจะดูกับน้องๆ หนูๆ หรือคุณพ่อ-คุณแม่ ก็อาจจะต้องระวังนิสนึง!

ไอเดียสัญลักษณ์ไอคอน 3 อัน ซึ่งจะใช้อธิบายเนื้อหาของแต่ละตอนแตกต่างกันไป

มาถึงเรื่องของการรีวิวนะครับ ขออนุญาตรีวิวพร้อมให้คะแนนกันแบบรายเรื่องเลย ก่อนจะรีวิวคะแนนรวมของโปรเจ็คต์กันอีกที โดยรับรองว่า จะไม่มีการสปอยล์โดยเด็ดขาด ไม่ต้องกังวล ซึ่งจะขออนุญาตเรียงลำดับตามที่ Netflix เขาเรียงมาเลยนะฮะ

Sonnie’s Edge

งานภาพสวยสดงดงาม ที่เล่าเรื่องราวของสังเวียนต่อสู้เอาท์ลอว์ในยุคอนาคต ที่คนบังคับหุ่นชีวะเข้าห้ำหั่นกัน อารมณ์อาจจะคล้ายๆ แบบหนัง Real Steel โดยหนังจับประเด็นไปที่ตัวละครหญิงที่ชื่อ “ซอนนี่” ซึ่งมีประวัติชีวิตเจ็บปวด ก่อนที่จะกลายมาเป็นผู้บังคับหุ่นที่แข็งแกร่ง

งานภาพสวยงามมาก ชอบโทนสีของเรื่องนี้มาก เรื่องของเนื้อหาก็ทำได้ดีทีเดียว สามารถทำให้เราเห็นตัวตนของตัวละครนำได้ชัดเจนในช่วงเวลาเพียง 17 นาที

คะแนน : 8.5/10

Three Robots

เรื่องราวการเดินคุยกันของหุ่นยนต์ 3 ตัว ซึ่งเดินเล่นชมเมืองร้างในยุคสูญสิ้นมนุษย์ไปแล้ว ตลอดการพูดคุยของ 3 ตัวละคร ทำให้เราเข้าใจถึงความเป็นไปที่ผ่านมาของมนุษย์ รวมทั้งยังได้ชมอารมณ์ขันที่ไหลลื่นของบทสนทนาอีกด้วย

เป็นตอนที่น่ารักน่าหยิกดีครับ หุ่นทั้ง 3 มีบุคลิกส่วนตัวที่พาเรายิ้มได้ตลอด บทสนทนาทำมาดี และที่สำคัญ สามารถสื่อสารเนื้อหาครบถ้วนไม่มากไม่น้อยเกินไป

คะแนน : 8/10

The Witness

เรื่องของนางโชว์ที่ทำงานอยู่ในฮ่องกง แล้ววันดีคืนดีตื่นขึ้นมามองไปยังตึกฝั่งตรงข้ามแล้วไปเจอชายที่มีทีท่าฆาตกรรมคนมาหมาดๆ กลับกันชายหนุ่มก็ถึงกับช็อคเมื่อหญิงนางโชว์ที่เขาเห็นนั้น หน้าตากลับเหมือนคนที่เขาพึ่งฆ่าไปซะอย่างนั้น

ส่วนตัวชื่นชอบงานภาพของเรื่องนี้มากกก ซึ่งไม่แปลกว่างานภาพจะดูคุ้นๆ เพราะมันถูกกำกับโดย Alberto Mielgo ซึ่งเป็นฝ่าย Art ของ Spider-Man: Into the Spider-Verse ภาพก็เลยไปในแนวเดียวกัน ซึ่งตอบโจทย์กับความฉูดฉาดของโลเคชั่น และเนื้อหา ชอบไอเดียที่พูดถึงจุดเริ่มต้น และจุดจบก็ได้น่าสนใจ พอเหมาะกับเวลาที่ใช้

คะแนน : 9/10

Suits

พูดถึงโลกอนาคต ซึ่งชุมชนเกษตรกรมีเทคโนโลยีในการคุ้มครองกันและกัน ทั้งเพื่อป้องกันผลผลิต และป้องกันความปลอดภัยของพวกเขาเอง โดยศัตรูของพวกเขาไม่ใช่คนด้วยกัน แต่เป็นเอเลี่ยนซึ่งวาร์ปมาจากที่อื่น

งานด้านภาพถือว่าโอเคครับ และก็ดูไปได้กับโทนเรื่อง แต่เอาตามตรงคือเนื้อหาของเรื่องเชยเกินไป แล้วก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวาให้น่าตื่นเต้นทางฟีลลิ่ง แม้คนทำเขาจะพยายามบิวท์แล้วก็เถอะ

คะแนน : 5.5/10

Sucker of Souls

เล่าเรื่องศาสตราจารย์ที่เข้าไปสำรวจโบราณสถานลึกลับ (น่าจะเป็นแถวอียิปต์) โดยมีการจ้างทหารรับจ้างเข้าไปคุ้มกันด้วย แล้วดันไปเจอกับปีศาจลึกลับที่จะออกมาหวังกินวิญญาณพวกเขา!

ฟังเนื้อเรื่องแล้วน่าตื่นเต้นนะครับ แต่เอาเข้าจริง เนื้อหาสะเปะสะปะแล้วเหมือนดูการ์ตูนเด็กๆ ที่ไม่เน้นเนื้อหาเสียมากกว่า งานภาพที่ดูไปทางการ์ตูนคลาสสิกหน่อย อันนี้ไม่ติด แต่พี่โปรดเน้นเนื้อหากว่านี้สักหน่อยเถ๊อะ!

คะแนน : 3/10

When the Yogurt Took Over

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อโยเกิร์ตเกิดมีความรู้สึกนึกคิด และอยากจะมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศขึ้นมา แถมท้ายที่สุดเมื่อมนุษย์ไม่ได้ดั่งใจ โยเกิร์ตก็เลยขอปกครองแทนเลยละกัน!

แน่นอนครับว่าเนื้อเรื่องของหนังจะมีความล่องลอยแบบกำถุงกาวแน่น (ฮ่า) แต่ด้วยความที่อนิเมชั่นเรื่องนี้ สามารถสื่อสารเรื่องราวได้ครบของมันในช่วงเวลาแค่ 6-7 นาที แถมยังน่ารักสร้างรอยยิ้มได้ด้วย เลยหลงชอบซะฉิบ!

คะแนน : 7/10

Beyond the Aquila Rift

เรื่องราวล้ำอนาคตพูดถึงยานลำนึงที่กำลังจะเดินทางด้วยความเร็วแสงเพื่อไปยังที่หมายที่ห่างไกล แล้วสมาชิกทั้ง 3 คนต้องเข้าสู่ภาวะจำศีลเพื่อเดินทางระยะยาว แต่แล้วเมื่อกัปตันของยานตื่นขึ้นจากสภาวะจำศีล กลับพบว่ายานของเขา ไปโผล่ยังอีกที่ซึ่งห่างไกลจากจุดหมายที่เขาต้องไป

สิ่งยอดเยี่ยมที่เห็นได้ชัดคืองานภาพที่สวยงาม และดูเพลินตามาก นอกเหนือจากนั้นเนื้อเรื่องยังเป็นจุดแข็งที่ทำได้ดีมากเมื่อเทียบความยาวเพียง 17 นาที แม้จะไม่ถึงกับหวือหวาแปลกใหม่ แต่ก็ผสมไอเดียล้ำๆ กับความเชื่อได้ลงตัว

คะแนน : 9/10

Good Hunting

เรื่องราวการเปลี่ยนผ่านแห่งยุคของตำนานจิ้งจอก 9 หาง ที่มีแบ็คกราวน์ของเรื่องร้อยเรียงไปพร้อมกับการเปลี่ยนผ่านยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม จนไปถึงยุคอาณานิคม

แว้บแรกเลยไม่ค่อยจะปลื้มตอนนี้ เพราะเหมือนการที่ฝรั่งอยากเอาความเป็นตะวันออกไปทำในไอเดียของเขา ซึ่งเอเชียแท้อย่างเราจะรู้ว่ามันมีจุดขัดแย้งเยอะ แต่พอหนังขยายความคิดให้เราเข้าใจ ก็เริ่มอินกับสิ่งที่เขาอยากสื่อว่าทำไมถึงบอกเล่าเรื่องตะวันออกมาก่อน แล้วค่อยใส่แนวคิดฝรั่งผสมผสานลงไป

คะแนน : 8.5/10

The Dump

คุณลุงผู้อาศัยใช้ชีวิตอยู่ในหลุมขยะขนาดยักษ์ กำลังจะถูกไล่ที่เพราะเรื่องของสุขอนามัยของเมือง และการร้องเรียนจากที่อยู่อาศัยแวดล้อม เจ้าหน้าที่รัฐเลยเข้ามาคุยกับคุณลุงเพื่อให้ยินยอมย้ายออกไปโดยดี แต่คุณลุงต่อรองขอเล่าเรื่องราวเรื่องนึงให้ฟังก่อน ถ้าเจ้าหน้าที่ยังยืนยันให้แกเซ็นย้าย แกก็จะยอมทันที

ความเชยของเนื้อหานี่ไม่แพ้ Suits เลยฮะ คือมันเหมือนดูละครชั่วโมงพิศวงเลยแหละ แค่มันถูกใส่ในหน้ากากที่ดูทันสมัย ดูสวยด้วยงานของภาพอนิเมชั่น ก็แค่นั้น!

คะแนน : 5/10

Shape-Shifters

เรื่องเกิดที่อัฟกานิสถานกับหน่วยนาวิกโยธินที่มี 2 นายทหารที่มีอำนาจพิเศษเหนือมนุษย์ทั่วไป ซึ่งแม้จะทำให้การเผชิญหน้ากับผู้ก่อการร้ายง่ายยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้การใช้ชีวิตที่แตกต่างของพวกเขาได้รับการยอมรับจากทหารร่วมกอง

เป็นอีกตอนที่งานภาพสวยมาก บรรยากาศภาพรวมของเรื่องก็ทำได้ดี ติดตรงที่หนังมีความเป็นหนังสงครามอเมริกันจ๋าไปนิดนึง และที่สำคัญคือไม่ได้แสดงความเป็นตัวตนของคาแรกเตอร์ที่ปูว่ามีพลังพิเศษได้ดีเท่าที่ควร

คะแนน : 6/10

Helping Hand

หญิงสาวซึ่งทำหน้าที่ประจำศูนย์ซ่อมบำรุงดาวเทียมบนอวกาศเพียงลำพัง ต้องเจอกับอุบัติเหตุที่ทำให้เขาไม่สามารถกลับไปยังกระสวยอวกาศของตนได้ และกำลังจะขาดออกซิเจนในไม่ช้า การช่วยเหลือจากที่ที่ใกล้ที่สุดไม่มีทางมาถึงทัน มีแต่ตัวเธอเท่านั้นที่จะเอาตัวรอดให้ได้

มันคือ Gravity เวอร์ชั่นอนิเมชั่นเลยล่ะฮะ ที่สำคัญคือมีเวลาน้อยกว่ามากในการจะปูให้เราอิน มันเลยกลายเป็นอีกตอนที่เหมือนชั่วโมงสนธยา แค่มันดูทันสมัยหน่อยเท่านั้นแหละ ทีเด็ดคือภาพสวย แต่เนื้อเรื่องดูแล้วไม่มีอะไรน่าจดจำ

คะแนน : 5/10

Fish Night

2 เซลส์แมนดันมารถเสียกันอยู่ท่ามกลางถนนทางลัดที่ห่างไกลผู้คน เซลส์แมนรุ่นพี่เลยออกไอเดียให้รอจนกว่าแดดจะร่มกว่านี้ ก่อนจะออกเดินทาง ระหว่างรอพี่แกเลยเล่าเรื่องว่าพื้นที่ตรงนี้เคยเป็นทะเลที่เต็มไปด้วยสัตว์ดึกดำบรรพ์มาก่อน และเมื่อทั้งคู่ตื่นจากเผลอหลับ สิ่งที่เล่านั้นก็เกิดขึ้นจริงต่อหน้า

ถ้าบอกว่าตอนโยเกิร์ตต้องวางถุงกาวลง ตอนนี้ยิ่งหนักข้อกว่าอีกฮะ! คือเรื่องงานภาพผมไม่ถึงกับติดนะครับ ถึงจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นัก แต่ที่หนักคือเรื่องของเนื้อหา และความสมเหตุสมผลในแต่ละซีนที่ออกมาเนี่ย…. เอิ่ม..

คะแนน : 3/10

Lucky 13

นักบินหญิงหน้าใหม่ มีโอกาสได้ขับเครื่องบินขนส่งกำลังพล เพื่อทำภารกิจแนวหน้า แล้วดันมาได้เครื่องบินหมายเลข 13 ซึ่งเป็นเหมือนเครื่องบินอาถรรพ์ที่เคยทำภารกิจล้มเหลว และมีทหารตายมากมายมาก่อน

เรื่องของเนื้อหาจริงๆ ก็มีความเชยไปนิด ไม่ได้มีอะไรหวือหวาจากที่เราเคยเห็นในหนังทั่วไป แต่ยังดีที่มีจุดที่พอทำให้เราอินระหว่างตัวเอกกับเครื่องบิน Lucky 13 ของเขา ก็เลยถูไถน่าดูขึ้นมา

คะแนน : 6.5/10

Zima Blue

เรื่องเล่าถึงศิลปินยุคอนาคตสุดล้ำที่ชื่อ Zima ซึ่งปล่อยงานศิลป์อะไรออกมาก็ปัง ยิ่งในตอนหลัง ที่เขาค่อยๆ เพิ่มกรอบ “สีฟ้า”​ เข้าไปในภาพมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นที่มาของชื่อ Zima Blue โดยหลังจากโด่งดังถึงขีดสุด Zima ก็เตรียมแสดงผลงานสุดท้ายที่ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร

ผมชื่นชอบในการเอาเรื่องของความเป็นศิลปินของตัวละครมาผูกกับเรื่องราวที่เล่าว่าตัวตนเขาเป็นอย่างไร ตอนนี้ถือเป็นตอนนึงที่มีความลึกซึ้งของเนื้อหาสูง แต่สามารถทำให้เราเข้าใจได้ในเวลาสั้นๆ แค่ 10 นาที คือตั้งใจนำเสนอของไม่ง่าย แต่พอเราเข้าถึงได้แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

คะแนน : 8.5/10

Blind Spot

แกงค์ซิ่งตัวแสบ กำลังหวังจะขโมยวัตถุสำคัญจากขบวนรถซึ่งมีการป้องกันล้ำสมัย โดยการออกซิ่งรอบนี้มีน้องใหม่แกะกล่องร่วมประเดิมขบวนการครั้งแรกด้วย

มันเหมือนการดูการ์ตูนเบนเทนอะไรทำนองนั้นครับ ไม่มีความลึกซึ้งอะไร ดูเอาหนุกๆ งานภาพก็คลาสสิกดี แต่ไม่ได้กระตุ้นความตื่นเต้นของเรา เป็นอีกตอนที่ไม่มีทางบอกต่อให้เพื่อนดู ฮ่า

คะแนน : 4/10

Ice Age

คู่รักคู่หนึ่งกำลังขนของย้ายเข้ามายังบ้านใหม่ แล้วต้องมาเจอกับตู้เย็นเก่าแก่ ซึ่งเจ้าของเก่าทิ้งเอาไว้ โดยพวกเขาไม่รู้เลยว่าข้างในตู้เย็นนั้นจะมีภาพจำลองการเติบโตของอารยธรรมซ่อนอยู่

เรื่องนี้มีการใช้คนแสดงจริงๆ เข้ามาด้วย และก็มีงานด้าน CG โชว์เฉพาะอารยธรรมที่รันอยู่ภายในตู้เย็น งานภาพสวยดีอันนี้ไม่เถียง แต่การทำให้เรารู้สึกสนุก ทำไม่ได้อย่างที่ตั้งใจ แถมบทบาทการแสดงของทั้งคู่ในเรื่องก็ดูขัดๆ จึงเหมือนงานโชว์เคส CG ตามงานนิทรรศการมากกว่า

คะแนน : 5/10

Alternate Histories

เชิญพบกับระบบอัจฉริยะที่สามารถแสดงทางเลือกที่เปลี่ยนไปของประวัติศาสตร์ ผ่านการเลือกเปลี่ยนเหตุการณ์สำคัญ อย่างเช่น การเปลี่ยนวิธีที่ฮิตเลอร์ตาย!

งานด้านภาพถือว่าออกไปในแนวกวนบาทานิดนึง ซึ่งมันก็น่ารักดี ส่วนตัวชอบไอเดียที่วางเรื่องราวต่างๆ ให้เราได้ดูแบบแสบๆ คันๆ ปนหยอกการเมือง-ประวัติศาสตร์ แม้มันจะดูไม่ค่อยให้สาระมากนัก แต่มันสนุกดีแฮะ!

คะแนน : 7.5/10

The Secret War

หลังเข้าไปสำรวจหมู่บ้านเล็กๆ ที่ถูกโจมตีอย่างป่าเถื่อน หน่วยรบของกองทัพแดงรู้ดีว่ามีภารกิจไม่ธรรมดารอพวกเขาอยู่ มันไม่ใช่การสู้กับศัตรูที่เป็นมนุษย์ธรรมดา แต่เป็นสัตว์ร้ายที่จะไม่มีทางปราณีพวกเขาอย่างแน่นอน

เรื่องของงานภาพ สามารถใช้คำว่าสวยที่สุดในบรรดา 18 เรื่องเลยก็ว่าได้ ความคมชัดของภาพเปรียบได้กับเกมระดับเรียล เอ็นจิ้นที่แท้จริง เนื้อหาของตอนก็ถือว่าไม่เลว แม้จะเน้นเรื่องแอ๊คชั่นคล้ายๆ เราดูทีเซอร์ของเกมอยู่ แต่ก็ใส่ความเท่ห์ของตัวละครลงไปได้เจ๋งดี

คะแนน : 7.5/10

รีวิวกันในภาพรวมของ “Love, Death & Robots”

ถือเป็นโปรเจ็คต์ที่เปิดโลกทัศน์ในการชมอนิเมชั่นของเราได้ดีมากเลยนะครับ แน่นอนว่าเราตื่นตาตื่นใจในหลายตอนที่โชว์งานวิช่วล และ CG ที่เด็ดขาด ไอ้ตอนที่ไม่ได้เป็นภาพเรียล เอ็นจิ้นอะไรมาก ก็ถือว่าสร้างสไตล์ตัวตนของผู้กำกับได้มีแนวทางดี

สิ่งที่ได้รับเกินกว่าที่คาด คือหลายตอนมีไอเดียการนำเสนอ และสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ ทั้งๆ ที่มีความยาวไม่ถึง 20 นาทีเลยด้วยซ้ำ แม้จะมีหลายตอนเช่นกันที่ไม่ได้ดึงดูดให้จดจำ แต่ก็เป็นเรื่องดีที่มีโปรเจ็คต์ให้เหล่าเทพอนิเมชั่นได้ลองนำเสนอไอเดียในแบบของเขา ซึ่งถ้ามีซีซั่นต่อไปทำมาอีก เราก็ไม่ลังเลจะเลือกดูนะ คุ้มค่าออก!

คะแนนโดยรวม : 8.5/10 (ดูเถอะ! ประทับใจมากกว่าผิดหวัง รับรอง!)

Picture : Netflix, Filo News, What’s on Netflix, The Independent, Hypable, Inverse, The New York Times, ArtStation, Ready Steady Cut, Screen Rant, The Review Geek, Radio Times

rocketseer

ทำงาน Sports content | บ้าบอล-เป็น The KOP | (เคย)บ้าดูหนัง-(เคย)ทำเพจหนัง | อยู่บ้านนาน ก็ชักเป็นบ้า!

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save