โอลอฟ เมลล์เบิร์ก : ตำนานกัปตันไวกิ้ง ผู้เริ่มฝันอยากเป็นนักเทนนิส! - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
โอลอฟ เมลล์เบิร์ก : ตำนานกัปตันไวกิ้ง ผู้เริ่มฝันอยากเป็นนักเทนนิส!

มันแปลกดีเหมือนกันครับ ที่อยู่ดีๆ ก็อยากเขียนถึงเรื่องนักเตะที่ถูกประเมินไว้ต่ำกว่าที่ควรเป็น แล้วก็มาเจอเรื่องราวของ “โอลอฟ เมลล์เบิร์ก” ปราการหลังไอค่อนของแอสตัน วิลล่า ทำให้เรื่องที่อยากเขียน กลับเปลี่ยนกลายมาเป็นเรื่องราวของเขาไปซะฉิบ

พูดถึงภาพจำของเรากับเมลล์เบิร์กกันนิดนึงในฐานะเป็นแฟนบอลพรีเมียร์ลีก เราคุ้นเคยกับตัวเขาในสีเสื้อเลือดหมูของแอสตัน วิลล่า ที่เขาอยู่รับใช้สโมสรนานถึง 7 ปี ไม่เพียงแต่ฟอร์มการเล่นที่แข็งแกร่งตามแบบฉบับเซ็นเตอร์ฮาล์ฟสแกนดิเนเวีย แต่เขายังเป็นขวัญใจของแฟนบอลทุกคน ด้วยสิ่งที่เขาอุทิศให้กับสโมสรทั้งใน และนอกสนาม ในฐานะกัปตันของทีม และผู้นำของทีมอย่างแท้จริง

โอลอฟ เมลล์เบิร์ก เซ็นเตอร์ฮาล์ฟสุดแกร่ง ที่ถูกยกย่องน้อยเกินไป

ตลอดเส้นทางการเติบโตขึ้นมาเป็นโอลอฟ เมลล์เบิร์ก ที่เล่นระดับสโมสรเกินกว่า 500 นัด และเล่นให้ทีมชาติสวีเดนถึงหลัก 117 นัด มีเรื่องราวน่าสนใจให้เล่ามากมาย แต่เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นจากการที่โอลอฟ อยากเป็นนักเทนนิส!

แม้สวีเดนจะเป็นประเทศที่นับได้ว่าประสบความสำเร็จทางฟุตบอลสูงสุดในสแกนดิเนเวีย หากนับเอายุคที่เขาเกิดที่เมืองกัลส์ปางส์ ในปี 1977 แต่อีกหนึ่งกีฬาที่อยู่ในใจของชาวสวีดิชหลายคนก็คือกีฬาเทนนิส เพราะพวกเขามี “บียอร์น บอร์ก” ตำนานเทนนิสอดีตมือ 1 ของโลก และเจ้าของแชมป์แกรนด์สแลมรวมถึง 11 รายการ เป็นไอค่อนที่เด็กๆ อยากจะเจริญรอยตาม ซึ่งโอลอฟเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

บียอร์น บอร์ก อดีตมือ 1 เทนนิสโลก ที่เป็นแรงบันดาลใจชาวสวีดิช

โอลอฟเคยเล่าให้ฟังผ่านการสัมภาษณ์ว่า ตอนเด็ก เขาไม่ได้ฝันถึงฟุตบอลโลกหรอก แต่ฝันเห็นภาพตัวเขากำลังเล่นนัดชิงวิมเบิลดัน กับพีท แซมพาส นักหวดลูกสักหลาดมือ 1 ของโลกชาวอเมริกันในขณะนั้น น่าเสียดายที่มันเป็นเพียงความฝันของไอ้หนูคนนึงจนถึงอายุเพียง 14 แค่นั้น เมื่อเขาเริ่มรู้ว่าโอกาสจะเริ่มต้นในเส้นทางเทนนิสนั้นยากเย็นเกินไป นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาหันหากีฬาอื่น แล้วคำตอบก็มาเป็น “ฟุตบอล”

เทียบกับเด็กคนอื่นแล้ว การเริ่มต้นเอาจริงเอาจังทางฟุตบอลตอนวัยรุ่นกลางๆ ถือว่าช้าเอามากๆ และมีโอกาสจะล้มเหลวสูง แต่ด้วยความรักต่อกีฬาที่ครอบครัวเชื่อมั่นในตัวเขา โดยเฉพาะคุณแม่ที่เป็นคุณครูพลศึกษา ก็ผลักดันให้เขาสู้ และเริ่มแสดงความโดดเด่นออกมา จนอายุ 17 ปี เขาก็ได้เข้าเป็นเด็กในอคาเดมี่ของกัลส์ปางส์ ไอเอฟ ทีมบ้านเกิดของเขา

เมลล์เบิร์ก(คนซ้าย) ในสีเสื้อของเอไอเค ในสมัยวัย 20 ปี

เมื่ออายุ 19 ปี โอลอฟก็สามารถโผล่ขึ้นมาเป็นนักเตะแกนหลักสำคัญของสโมสรในลีกสูงสุดสวีเดน กับเดเยอร์ฟอร์ ไอเอฟ ซึ่งเขาเล่นให้ทีมเกือบ 50 นัด ก่อนที่ทีมจะตกชั้น แต่โอลอฟได้ลุยลีกสูงสุดต่อ เมื่อทีมชั้นนำอย่างเอไอเค ซื้อตัวเขาไปร่วมทีม พร้อมกับเป็นหนึ่งในทีมชุดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดทันที ก่อนจะมีโอกาสย้ายไปต่างแดนแบบรวดเร็วหลังผ่านไปแค่ 10 เดือนกับราซิ่ง ซานตานเดร์ ทีมในลาลีก้าสเปน ในยุคนั้น

การเริ่มต้นค้าแข้งต่างแดนตั้งแต่อายุ 21 ปี แม้จะไม่ได้แปลกใหม่สำหรับนักเตะสวีดิชที่ลีกในประเทศไม่ได้แข็งแกร่งนัก แต่สำหรับโอลอฟแล้ว เล่นเอาเขาเกือบเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน เพราะต้องเร่งปรับตัวกับรูปแบบการเล่นใหม่ที่เร็วขึ้น แถมยังต้องเรียนรู้ภาษาให้ได้เร็วที่สุด โดยครึ่งฤดูกาลแรกเขาได้เล่นน้อยมาก และต้องรอเวลา 3 เดือนกว่าจะได้ประเดิมทีมชุดใหญ่ ก่อนสถานการณ์จะดีขึ้น จนเริ่มเป็นตัวหลักในทีมมากขึ้นในครึ่งซีซั่นหลัง

แม้การเล่นให้กับราซิ่งตลอด 3 ฤดูกาล ผลงานของทีมจะล้มลุกคลุกคลาน ลุ้นหนีตกชั้นตลอด แต่ฟอร์มการเล่นของโอลอฟ ก็ไม่เป็นที่สงสัยเลย เขาเล่นได้แข็งแกร่งเกินวัย ยึดตำแหน่งตัวจริงอย่างสม่ำเสมอ และเมื่อฤดูกาล 2000/01 สิ้นสุดลงด้วยการที่ราซิ่งต้องตกชั้น สื่อทั้งหลายก็คาดการณ์กันว่า ตัวเขาคงถึงคราวได้ย้ายไปอยู่ทีมชั้นนำอย่างบาร์เซโลน่า หรือบาเลนเซีย เป็นแน่

แม้จะมีข่าวกับทั้งบาร์ซ่า และบาเลนเซีย แต่สุดท้ายเขาย้ายไปแอสตัน วิลล่า

แต่แล้วเรื่องเซอร์ไพรส์ก็เกิดขึ้น เมื่อโอลอฟในวัย 23 ปี ตัดสินใจย้ายไปอยู่กับแอสตัน วิลล่า ทีมระดับกลางของพรีเมียร์ลีก ด้วยราคาราว 6.8 ล้านยูโร พร้อมกับยึดตัวจริงในทีมได้ทันที ผลงานยอดเยี่ยมของเขาในซีซั่นแรก เป็นส่วนสำคัญช่วยให้สิงห์ผงาดจบสูงถึงอันดับ 6 และทะลุถึงรอบรองชนะเลิศในฟุตบอลลีกคัพ

สิ่งที่แฟนบอลสิงห์ผงาดชื่นชมเขาเสมอ คือความแข็งแกร่ง และบุคลิกความเป็นผู้นำที่เด่นชัด เช่นเดียวกับรูปลักษณ์ที่หนวดและเคราของเขาเป็นเครื่องหมายการค้าเฉพาะตัว ทำให้ทุกคนต่างจดจำเขา และมองเห็นอนาคตกัปตันในตัวเขาตั้งแต่ซีซั่นแรกๆ และแค่เพียงไม่ถึง 3 ปีนับตั้งแต่ย้ายมา โอลอฟก็ได้ตำแหน่งกัปตันทีมไปครอง ซึ่งถือเป็นกัปตันคนแรกของสโมสร ที่ไม่ได้มาจากสหราชอาณาจักร หรือไอร์แลนด์

ความแข็งแกร่งเป็นเครื่องหมายการค้า ที่ทำให้เขาเล่นในพรีเมียร์ลีกได้สบาย

โอลอฟรับใช้สิงห์ผงาดด้วยความทุ่มเทเป็นระยะเวลายาวถึง 7 ปี ก่อนที่จะตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับทีม เพื่อหาความท้าทายใหม่ และเซ็นสัญญาย้ายแบบไม่มีค่าตัว ร่วมทีมยักษ์ใหญ่อย่างยูเวนตุส เมื่อซีซั่น 2007/08 จบลง ปิดฉากตำนานการเล่นให้แอสตัน วิลล่าที่ 260 นัด ทำได้ 8 ประตู เป็นที่รัก และเคารพของแฟนบอลเสมอ

เสื้อที่ระลีกที่เมลล์เบิร์กทำแจกให้แฟนบอลในนัดสั่งลาวิลล่า

เรื่องน่าประทับใจในการอำลาแฟนบอลสิงห์ผงาดก็มีเรื่องให้น่าพูดถึงด้วยเช่นกัน เมื่อโอลอฟทำเสื้อแข่งที่เขียนข้อความว่า “Thanks 4 Your Support” โดยหมายเลข 4 หมายความถึงเบอร์เสื้อที่เขาใส่มาตลอดให้กับทีม โดยเขามอบให้กับแฟนบอลวิลล่าทุกคนที่ตามไปเชียร์ทีมในนัดสุดท้ายของฤดูกาลกับเวสต์แฮม

เขาอยู่ยูเวนตุสสั้นๆ เพียงแค่ซีซั่นเดียว จบด้วยการเป็นรองแชมป์กัลโช่ ซีรีย์อา ภายใต้การคุมทีมของเคลาดิโอ รานิเอรี่ และชิโร แฟร์ราร่า ซึ่งคุมทีมชั่วคราวแทนรานิเอรี่ในช่วงท้ายฤดูกาล นอกจากนั้นเขายังได้มีโอกาสลงเล่นในยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งแรกในชีวิต แต่น่าเสียดายที่ตกรอบตั้งแต่รอบ 16 ทีม ด้วยเงื้อมมือของเชลซี

ในสีเสื้อยูเวนตุส ซึ่งเจ้าตัวอยู่เล่นระยะสั้นเพียงปีเดียว

ออกจากยูเว่ เขาก็ย้ายไปเป็นตัวหลักให้กับโอลิมเปียกอส ทีมชั้นนำในลีกกรีซ ตลอด 3 ปีที่ค้าแข้ง แม้ทีมจะเปลี่ยนหน้ากุนซือหลายราย แต่โอลอฟเป็นตัวหลัก และแสดงความเป็นมืออาชีพในการเล่นสม่ำเสมอ ฟอร์มการเล่นที่คงเส้นคงวา และความเป็นผู้นำในช่วงที่ทีมประสบปัญหาฟอร์มไม่เอาอ่าว ทำให้เขาเป็นที่รักของแฟนบอลเช่นเคย ก่อนจะปฏิเสธการต่อสัญญา และเลือกไปหาความท้าทายใหม่กับบียาร์เรอัล ซึ่งขณะนั้นอยู่ในเซกุนด้า ลีก หรือลีกรองของสเปน

ในสีเสื้อโคเปนเฮเกน ที่เขาไม่แสดงความยินดี หลังยิงยูเว่ได้

โอลอฟทำผลงานได้ดีเหมือนเดิม แม้อายุจะปาเข้าไป 35 ปี ลงเล่นให้ทีมเกือบ 30 นัด เป็นกำลังสำคัญพาทีมเลื่อนชั้นสู่ลาลีก้า ก่อนจะเดินทางอีกหนกลับสู่ดินแดนสแกนดิเนเวีย หลังผจญภัยในลีกใหญ่ยุโรปนาน 15 ปี ปิดฉากฤดูกาลสุดท้ายในอาชีพค้าแข้งกับโคเปนเฮเก้น ในเดนมาร์ก ด้วยดับเบิ้ลรองแชมป์ลีก และบอลถ้วย ก่อนตัดสินใจยกเลิกสัญญา และแขวนสตัดท์ แม้จะพึ่งเล่นเพียงปีเดียว โดยเขาปฏิเสธการโน้มน้าวจากสโมสร ที่อยากให้เขาอยู่ช่วยทีมอีกซักปี

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช หนึ่งในนักเตะที่ยกย่องเมลล์เบิร์กเสมอ

ในนามทีมชาติ ฟอร์มการเล่นที่สม่ำเสมอ พาให้เขาติดทีมชาติต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายการค้าแข้งกับราซิ่ง จนมาถึงการเล่นกับวิลล่า เขาได้รับเกียรติเป็นกัปตันทีมชาตินำทีมลงลุยศึกฟุตบอลโลก 2006 และเล่นให้ทีมไวกิ้งเรื่อยมาถึง 117 นัด จนประกาศรีไทร์จากทีมชาติ หลังจากยูโร 2012 ปิดฉากด้วยการเล่นบอลโลก 2 สมัย และบอลยูโร 4 สมัย โดยซลาตัน อิบราฮิโมวิช เคยกล่าวไว้ว่า วันที่โอลอฟประกาศรีไทร์จากทีมชาติ เป็นวันที่สวีเดนสูญเสียครั้งใหญ่หลวง โดยในสายตาเขา โอลอฟคือกองหลังที่ดีที่สุดที่ทีมไวกิ้งมีมา

จังหวะการฟาดปากลงไม้ลงมือกับลุงก์เบิร์กในแคมป์ทีมชาติปี 2002

ความแปลกนิดนึงของโอลอฟกับทีมชาติสวีเดน คือนักเตะที่มีความเป็นมืออาชีพสูงมากอย่างเขา มีปัญหาระเบียบวินัยในแคมป์ทีมชาติถึง 2 หนใหญ่ๆ ครั้งแรกเป็นการฮึดฮัด และออกไม้ออกมือทะเลาะกับเฟรดดี้ ลุงก์เบิร์ก ในช่วงเตรียมทีมบอลโลก 2002 ซึ่งจากนั้น เป็นอันรู้กันว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองคนไม่เคยกลับมาญาติดีกันเท่าไหร่เลย แม้จะยังเล่นทีมชาติด้วยกัน และลุงก์เบิร์กก็เป็นคนรับตำแหน่งกัปตันต่อจากเขา หลังประกาศสละตำแหน่งตอนจบบอลโลก 2006

กับอีกหนที่โอลอฟโดนส่งกลับบ้าน หลังแหกกฎเคอร์ฟิวของทีม ที่ห้ามออกนอกแคมป์หลัง 5 ทุ่ม ร่วมกับซลาตัน อิบราฮิโมวิช และคริสเตียน วิลเฮล์มสัน ในการเตรียมทีมเจอกับลิคเทนสไตน์ ในรอบคัดเลือกยูโร 2008 ซึ่งเราไม่ค่อยเห็นปัญหาอะไรแบบนี้ในการเล่นระดับสโมสรเท่าไหร่

มาดการคุมทีมบรอมมาปอจคาร์น่า ที่เขาสามารถพาท่ีมเลื่อนชั้น 2 ปีติด

หลังแขวนสตั๊ดแล้ว จริงๆ โอลอฟก็เคยหันมาหาความท้าทายอีกครั้งในการคุมทีมเหมือนกันนะครับ โดยในปี 2016 เขารับงานคุมทีมชื่อบรอมมาปอจคาร์น่า ซึ่งตอนนั้นอยู่ในลีกระดับ 3 ของสวีเดน ผลงานคุมทีมของเขาไม่ธรรมดา เพราะสามารถพาทีมเลื่อนชั้น 2 ซีซั่นติด จนทีมได้ขึ้นมาอยู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง แต่ก่อนที่โอลอฟจะได้พิสูจน์ฝีมือในลีกสูงสุด เขาก็ตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับทีม และไม่ได้คุมทีมไหนอีกนับจากนั้น

จริงๆ แล้ว ช่วงที่แอสตัน วิลล่า ทำผลงานออกตัวซีซั่นนี้ได้ไม่สวยเท่าที่คาดหวัง จนตำแหน่งของสตีฟ บรู๊ซสั่นคลอน ก็เคยมีกระแสที่แฟนบอลอยากให้สโมสรดึงโอลอฟ เมลล์เบิร์ก กลับสู่ทีมสิงห์ผงาดอีกครั้ง ซึ่งแม้สุดท้ายเมื่อบรู๊ซโดนปลดในเดือน ต.ค. จะกลายเป็นดีน สมิธ มารับหน้าที่ไปแทน แต่ก็แสดงให้เห็นว่าแฟนสิงห์ผงาด ยังคงรัก และเคารพเขาเสมอ

ถึงตอนนี้ก็ยังตอบได้ยากเหมือนกัน ว่าเราจะได้เห็นเขาในสนามฟุตบอลในฐานะผู้จัดการทีมอีกมั้ย แต่ถ้านับกันในฐานะนักฟุตบอลแล้ว ไม่มีข้อกังขาเลย ว่าเขาคือหนึ่งในนักเตะที่ได้รับการยกย่องน้อยกว่าที่ควรเป็น เพราะนอกจากความคงเส้นคงวาตลอดอาชีพค้าแข้งแล้ว ความมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นไปยืนบนเวทีแข่งขันระดับโลก ยังคงไม่เปลี่ยนไปนับจากวันนั้นที่เขายังเป็นเด็ก แม้มันจะไม่ใช่เซ็นเตอร์ คอร์ท อันเลื่องลือที่วิมเบิลดัน แต่สนามหญ้าทั้งเล็ก-ใหญ่ ในโลกลูกหนังตลอดหนทางค้าแข้ง ก็คงสามารถสร้างคุณค่าทดแทนได้สบายหายห่วง

Picture : Birmingham Mail, Success Stories, SVT Nyheter, Daily Mail, AVillaFan, UEFA.com, Eurosport, Sydsvenskan, Pinterest, Ettan Fotboll, AVFC

rocketseer

ทำงาน Sports content | บ้าบอล-เป็น The KOP | (เคย)บ้าดูหนัง-(เคย)ทำเพจหนัง | อยู่บ้านนาน ก็ชักเป็นบ้า!

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save