การอยู่ไม่แต่งงานในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการคงความโสด แต่หมายถึงความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ตัดสินใจอยู่ร่วมกันตลอดชีวิตโดยเลือกไม่แต่งงานเลย ซึ่งแน่นอนว่ามันต่างจากการอยู่ก่อนแต่งที่ยังมีแพลนว่าอาจจะแต่ง
จริงๆแล้วแนวคิดนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรโดยเฉพาะในสังคมต่างประเทศ แต่ยังเห็นกันได้น้อยในสังคมไทยที่ผู้ใหญ่ยังให้ความสำคัญกับการแต่งงานอยู่
เราไม่สามารถทราบได้แน่ชัดว่าการแต่งงานถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้เมื่อไหร่ แต่โตมามันก็เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่ต้องทำถ้าจะตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน แรกเริ่มอาจเป็นเหมือนสัญญาใจ เวลาผ่านไปการแต่งงานเริ่มกลายเป็นเครื่องมือในการแสดงหน้าตาต่อสังคมผ่านทางสินสอดทองหมั้น แล้วหลังๆเริ่มเป็นช่องทางในการหาเงินรูปแบบหนึ่ง ฉะนั้นการแต่งงานจึงอาจจะไม่ได้เป็นคำตอบของหลายๆคู่อีกต่อไป
นักแสดงชายผู้มีอุดมคติชัดเจนในเรื่องนี้อย่างคุณ อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม ให้สัมภาษณ์กับสื่อมาตลอดว่าเขาไม่คิดว่าการแต่งงานเป็นเรื่องจำเป็นในชีวิต แต่เขาพร้อมจะให้ความสำคัญถ้าเป็นเหตุผลทางครอบครัวของอีกฝ่าย ตรงกันข้ามถ้าการแต่งงานเป็นเพียงแค่ตัวพิสูจน์ความรักนั้นหมายความว่า ความรักของเราทั้งคู่ไม่ได้แข็งแรงมาตั้งแต่ต้นหรือเปล่าถึงต้องการอะไรมาพิสูจน์
ซึ่งลึกๆแล้วผู้ชายส่วนใหญ่ก็อาจจะคิดตรงกันแบบอนันดาไม่มากก็น้อย โดยธรรมชาติของผู้ชายไม่ได้มีภาพใฝ่ฝันแบบผู้หญิงที่อยากสวมใส่ชุดเจ้าสาวสักครั้งหนึ่งในชีวิตอะไรแบบนั้น แต่เป็นการเลือกแต่งงานเพื่อให้เกียรติฝ่ายหญิงมากกว่า
แต่ก็ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะอยากแต่งงานเสมอไป อย่าง Candice Swanepoel คุณแม่ลูกสองดีกรีนางฟ้าวิคตอเรียซีเคร็ต พูดชื่อไปอาจจะไม่รู้จักแต่เห็นรูปคงคุ้นตากันอยู่บ้าง
เธอเคยให้สัมภาษณ์ว่ารู้สึกการแต่งงานไม่ใช่เรื่องจำเป็นอะไร ทั้งที่คบกับแฟนหนุ่มมาตั้งแต่อายุ 17 พร้อมเผยอีกว่าแฟนหนุ่มเป็นมากกว่าคำว่าครอบครัว แต่เป็นคนที่ขาดไม่ได้ในชีวิต ทุกคนในครอบครัวทั้งสองฝ่ายต่างก็คิดว่าทั้งคู่เป็นครอบครัวของกันและกันไปแล้ว จึงคิดว่าการแต่งงานมันดูไม่ได้จำเป็นอะไร อยากปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของมันมากกว่า
ไม่ใช่แค่เหล่าคนดังเท่านั้นที่มีความคิดว่าการอยู่ไม่แต่งโอเคกว่า เพราะเมื่อลองค้นหาข้อมูลก็พบว่าคู่รักหลายคู่เลือกแนวทางการใช้ชีวิตคู่แบบนี้เช่นกัน เหตุผลก็แตกต่างกันไป บางคนบอกว่าอยากใช้เงินที่จะต้องสูญเปล่าไปกับการแต่งงานมาร่วมกันสร้างอนาคต บางคนบอกเบื่อหน่ายกับสังคมสร้างภาพ บางคนบอกความรักไม่ใช่เรื่องต้องตีตราซื้อ และบางคนไม่อยากมีปัญหาเรื่องการหย่าร้างในภายหลัง
ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้วพ่อแม่บางคนเปิดกว้างและสามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองคนก็ต้องทนกับการตอบคำถามสังคมหรือคนรอบข้างอยู่ดีว่าทำไม เพราะอะไร ตรงนี้ก็ต้องใจแข็งไม่สนไม่แคร์อย่างเดียว
ชีวิตจริงไม่ใช่นิทานเจ้าหญิงเจ้าชายที่ต้องแต่งงานตามสูตรสำเร็จของตอนจบ ความรักจะราบรื่นหรือไม่นั้นมันขึ้นอยู่กับความเข้าใจของคนสองคนล้วนๆ ส่วนการจะเลือกแต่งหรือไม่แต่งนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณากันเอาเอง