เปิดตัวในปี 1952 ในฐานะรถยนต์สำหรับการแข่งรถโดยเฉพาะ และไม่นานเจ้า Mercedes SL ก็ได้ถูกขยายออกสู่ท้องถนนอย่างรวดเร็วใน 2-3 ปีต่อมา
เมื่อตลาดอเมริกาได้ตกหลุมรักแนวคิดของเจ้ารถคูเป้สุดหรูแบบสปอร์ตหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมารุ่น SL ก็มีชื่อเสียงในแวดวงยานยนต์มาโดยตลอด แม้ว่าตอนนี้จะจำหน่ายภายใต้ Mercedes-AMG แทนที่จะเป็น Mercedes-Benz โดยที่รุ่นล่าสุดทำหน้าที่เป็นตัวทดแทนโดยตรงสำหรับรุ่น GT Roadster โดยตลอดสัปดาห์นี้เราพบว่า SL 63 รุ่นที่ 7 นี้จะนำเสนอโมเดล E Performance ใหม่ด้วย ซึ่งจะเป็น SL ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา
เช่นเดียวกับ SL 63 มาตรฐาน SL 63 SE Performance ใหม่ที่ขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์ Biturbo AMG 4.0L V8 แต่มีกำลังเพิ่มขึ้นด้วยการใช้ชุดขับเคลื่อนไฟฟ้า AMG แบบควบคู่บนเพลาล้อหลัง การรวมกันนี้ได้รับกำลัง 805 แรงม้าที่น่าประทับใจ และแรงบิดรวมสูงสุด 1,047lb.ft (เพิ่มขึ้นจาก 585hp และ 590lb.ft ของแรงบิดใน SL 63 ปกติ) ในทำนองเดียวกันจากที่ทำเวลา 0 ถึง 60 จะลดลงเหลือ 2.8 วินาที (จาก 3.6 วินาที) ในขณะที่ความเร็วสูงสุดยังคงอยู่ที่ 196 ไมล์ต่อชั่วโมง
แตกต่างจากรถไฮบริดอื่นๆ ที่อาจใช้พลังงานไฟฟ้าสูงกว่าหรือต่ำกว่าความเร็วที่กำหนดเท่านั้น รุ่น SL 63 E Performance ช่วยให้คุณสามารถเรียกใช้มอเตอร์ไฟฟ้าได้ทุกเมื่อที่คุณต้องการ มาพร้อมคุณสมบัติการขับขี่อื่นๆ ได้แก่ ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบแอคทีฟ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบแปรผันได้เต็มที่ ระบบบังคับเลี้ยวเพลาล้อหลัง และระบบเบรกคอมโพสิตเซรามิกสมรรถนะสูง เมื่อติดตั้งเบาะนั่ง AMG Performance และ AMG Performance สุดพิเศษ รถยังได้รับประโยชน์จากโปรแกรม MANUFAKTUR ของ Mercedes ซึ่งให้การปรับแต่งเต็มรูปแบบทั้งภายใน และภายนอก ทำให้คุณสามารถเลือกสี วัสดุหุ้มเบาะ ขนาดล้อ การออกแบบ และการตกแต่งอื่น ๆ ได้
ในขณะที่เขียนยังไม่มีการกำหนดราคาสำหรับไฮบริด SL 63 แต่รุ่นมาตรฐานของรถยนต์จะขายปลีกในราคาต่ำกว่า 200,000 ดอลลาร์ ส่วนในตลาดไทยยังไงถ้ามีมาอัพเดต เราจะรีบอัพเดตให้แน่นอน หรือเพื่อนๆสามารถไปที่เว็บไซต์ของ Mercedes-AMG เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับรถยนต์คันนี้ ซึ่งจะมาถึงในปี 2024 นะครับผม
#mercedesbenzamg #mercedesbenz #mercedesamg
