ชื่อของ “ฟาอิก เจฟรี่ โบลเกียห์” เป็นที่พูดถึงในแวดวงสื่อ และแฟนบอลบ้านเรามาแล้ว 2 ครั้ง 2 หน ในช่วงระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หนแรกเป็นช่วงปลายปีที่ชลบุรี เอฟซี จัดการประกาศเซ็นเขามาร่วมทีม และอีกหนเร็วๆ นี้ ที่ผลงานของ “เจ้าชาย” เริ่มแสดงให้เห็นว่าเขามีฝีเท้าที่ดี หาใช่แค่ทรัพย์สินเงินทอง
แน่นอนว่าความร่ำรวย และทรัพย์สินส่วนตัวของฟาอิก (ขอเรียกจากชื่อหน้า) ไม่สามารถปฏิเสธได้ ว่าเขาน่าจะเป็นนักเตะที่รวยที่สุดในโลก ตามที่สื่อฝรั่งหลายสื่อเทียบถึง เรียกว่ารวยกว่า “คริสเตียโน่ โรนัลโด้” หรือ “ลิโอเนล เมสซี่” เสียอีก
นอกจากเชื้อสายโดยตรง เพราะพระบิดาของเขาคือ “เจฟฟรี โบลเกียห์” พระอนุชา (น้องชาย) องค์เล็กของกษัตริย์ผู้ครองบรูไนอย่าง “สุลต่านฮัสนัล โบเกียห์” ที่คาดกันว่ามีทรัพย์สินราว 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ สื่อยังเคยตีข่าวถึงพระบิดา ซึ่งมีหน้าที่ดูแลกิจการหลายอย่างของครอบครัว มีรถหรูสะสมมากมาย และเคยถึงขั้นจ้างไมเคิล แจ็คสัน มาแสดงคอนเสิร์ตส่วนตัวให้ชม!
อย่างไรก็ดี แม้จะมีภาพลักษณ์ติดมากับฐานะทางบ้านที่ร่ำรวย แต่สิ่งที่เจ้าชายฟาอิกต้องการพิสูจน์เสมอมา คือการยึดสถานะ “นักเตะอาชีพ” เพื่อพิสูจน์ว่าเขามีดีเพียงพอจะยืนหยัดในโลกลูกหนังที่คนดับมากกว่าคนรุ่ง ที่มาที่ไป และหนทางของฟาอิกจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง เราจะพาไปทำความรู้จักกันหน่อย
วัยเด็กในดินแดนแห่งฟุตบอล
ฟาอิกเกิดที่ลอส แองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1998 พร้อมกับพี่สาวฝาแฝด “เคียน่า ฟาอิก โบลเกียห์” ที่ตามโลกออนไลน์ไม่มีเรื่องราวของเธอมากนัก ก่อนจะย้ายไปเติบโตที่อังกฤษ โดยอยู่แถบเบิร์คเชียร์ ซึ่งอยู่ไม่ห่างมหานครลอนดอนเท่าไหร่
ตามประวัติในหลายที่ ฟาอิกย้ายไปอยู่กับลูกพี่ลูกน้อง และมี “เดนนิส วัลเลซ” อดีตนักบาสเก็ตบอล NBA เป็นคนดูแลในหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต รวมถึงความสนใจในด้านกีฬา ซึ่งฟาอิกชื่นชอบฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก โดยส่วนนึงอาจจะเพราะอยู่ท่ามกลางดินแดนแห่งฟุตบอล ที่ทุกคนมีฟุตบอลเปรียบเป็นดั่งอีกศาสนา
นอกจากลงเล่นให้ทีมในระดับหมู่บ้าน เขาเริ่มต้นเล่นฟุตบอลจริงๆ จังๆ กับทีมท้องถิ่นที่ชื่อ “เอเอฟซี นิวบิวรี” ก่อนจะได้เข้าร่วมทีมเยาวชนของเซาธ์แธมป์ตัน และได้ทดสอบฝีเท้ากับเรดดิ้ง ก่อนจะได้ร่วมทีมใหญ่อย่าง “อาร์เซน่อล” ในเวลาต่อมา
ความพยายามในแดนผู้ดี
ที่แคมป์เยาวชนปืนใหญ่ ฟาอิกได้เรียนรู้การพัฒนาไปสู่ลำดับขั้นต่อไปของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ บวกกับได้รับแรงสนับสนุนจากผู้เป็นพ่อเต็มที่ ทำให้เขามุ่งมั่นหันมาเอาดีทางฟุตบอล แม้สุดท้ายจะไม่ได้เติบโตในระบบเยาวชนของอาร์เซน่อลเท่าไหร่ก็ตาม
ถัดจากอาร์เซน่อล ฟาอิกได้เข้าร่วมทีมเยาวชนของ “เชลซี” ซึ่งแม้จะลงเอยคล้ายเดิม คือไม่สามารถขยับเข้าไปสู่ทีมชุดใหญ่ได้ แต่ก็เป็นโอกาสให้ได้ทดสอบฝีเท้ากับสโต๊ก ก่อนมาลงเอยกับ “เลสเตอร์” ซึ่งเขาได้สัญญานักเตะอาชีพ 3 ปี โดยเจ้าตัวขยับขึ้นไปถึงทีมสำรอง แม้สุดท้ายจะไม่ได้สัมผัสเกมชุดใหญ่เลยก็ตาม
ช่วงที่ฟาอิกดิ้นรนเล่นในระดับเยาวชนของสโมสรในอังกฤษ เจ้าตัวถูกจับตามองโดยทีมเยาวชนของสหรัฐอเมริกา ที่เขาสามารถเลือกเล่นได้จากถิ่นเกิด แต่สุดท้ายเขาก็เลือกรับใช้บรูไน และมีโอกาสได้ลงเล่นในซีเกมส์ปี 2015 ซึ่งเขาสามารถทำประตูได้ในเกมที่แพ้ติมอร์ 1-2 ก่อนจะได้ประเดิมทีมชาติชุดใหญ่ในอีกปีต่อมากับติมอร์เช่นกัน โดยปัจจุบันนี้ เจ้าตัวได้รับการแต่งตั้งเป็นกัปตันทีมชาติบรูไน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้จะมีอายุเพียง 23 ปี
ผจญภัยในโปรตุเกส
หลังอยู่กับเลสเตอร์ด้วยสัญญา 3 ปี และต่อเพิ่มอีก 1 ปี จนสุดท้ายแยกทางกันในปี 2020 ฟาอิกเซ็นสัญญาร่วมทีม “มาริติโม่” ทีมในลีกสูงสุดของโปรตุเกส โดยเจ้าตัวมีโอกาสใกล้เคียงที่สุดคือมีชื่อสำรองในเกมลีกกับสปอร์ติ้ง ลิสบอน
ฟาอิกได้ลงเล่นให้มาริติโม่ส่วนใหญ่ อยู่ในระดับทีมยู-23 และทีม “มาริติโม่ เบ” หรือทีมบีของสโมสร ซึ่งลงเล่นในลีกระดับ 3 ของโปรตุเกส ซึ่งเขาเองก็ได้รับโอกาสไม่มากนัก และอยู่ค้าแข้งในดินแดนฝอยทองแค่เพียงซีซันเดียว 2020/21
เจ้าชายฉลามชล
เมื่อช่วงปลายปี 2021 ที่ผ่านมา วันที่ 24 ธ.ค. “ฉลามชล” ชลบุรี เอฟซี ได้จัดการแถลงเปิดตัวเซ็นฟาอิกมาร่วมทีมในโควต้าอาเซียน แน่นอนว่าสื่อ และแฟนบอล ต่างโฟกัสไปที่การเป็น “นักเตะที่รวยที่สุดในโลก” และความเป็น “ลูกท่านหลานเธอ” ของฟาอิกกันหมด พร้อมตามมาด้วยข่าวซุบซิบ ว่าชลบุรีเอามาโปรโมททีมบ้างล่ะ ราชวงศ์บรูไนจะเข้ามาซื้อหุ้นชลบุรีมั่งล่ะ หรือมีเลยเถิดไปว่า ฟาอิกจะได้รับสิทธิพิเศษอะไรหรือเปล่า
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ตามที่หลายท่านทราบกัน ชลบุรีเองก็ปฏิบัติต่อฟาอิกเหมือนนักเตะทั่วไป และตัวฟาอิกเอง ก็มุ่งมั่นฝึกซ้อม และรอโอกาสลงเล่นเหมือนนักเตะย้ายมาใหม่ปกติ จนถึงตอนนี้ที่มีข่าวเขียนถึงกันครึกโครม สถานะของฟาอิกก็ยังเป็นตัวสำรองของฉลามชลซะเป็นส่วนใหญ่
ลีลาและความเร็วในการกระชาก และเปิดบอลในตำแหน่งริมเส้นฝั่งขวา ผลิตไปแล้ว 2 แอสซิสต์ จนคนเริ่มหันมาพูดถึงฝีเท้าของฟาอิกมากกว่าเรื่องทรัพย์สิน บวกกับความติดดิน จากการที่เจ้าตัวได้ให้สัมภาษณ์สื่อบ้านเรา ว่าเงินเดือนประมาณ 1 แสนบาท, คอนโดเช่าเดือนละ 6,000 บาท และรถโตโยต้า ยาริส ก็ทำให้เขาใช้ชีวิตได้สบายไม่ลำบาก แถมยังไม่ต้องไปรบกวนบัตรเครดิตที่คุณพ่อเตรียมไว้ให้ใช้ ซึ่งหลายแหล่งบอกว่ามียอดใช้ได้ถึง 28 ล้านบาท
การเป็น Talk of the Town ถึงความติดดิน และมุ่งมั่นในฐานะนักฟุตบอลธรรมดาคนนึง ทำให้แฟนบอลเริ่มสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ แฟนฉลามชลเองก็มองฟาอิกเป็นขวัญใจคนใหม่ เริ่มมีธงชาติบรูไนเข้ามาเชียร์ในสนาม เป็นภาพที่น่ารักไปอีกแบบ
ความสำเร็จที่ความรวยช่วยไม่ได้
นอกจากความเป็นอยู่ที่บ้านเรา ในการสัมภาษณ์ออกสื่อของฟาอิก เขาตอบในสิ่งทั่วๆ ไปเพิ่มเติม เช่น ชอบทะเล อยากไปเที่ยวทะเลสวยๆ ของไทย, ชอบอาหารรสจัด อย่างต้มยำกุ้ง, ยังโสด ขอเน้นโฟกัสเรื่องฟุตบอลก่อน หรือการที่บอกว่าจะใช้ท่าสัญลักษณ์หัวใจแบบซีรีส์เกาหลี เป็นท่าฉลองหากยิงประตูได้ ทำให้เราเห็นความเป็นกันเอง และดูเข้าถึงได้กว่าภาพลักษณ์ก่อนนี้ ที่ต่างคนต่างมองว่าเขาเป็นนักเตะที่รวยที่สุดในโลก
ถามว่าฟาอิกจะประสบความสำเร็จในอาชีพค้าแข้ง หรือกับชลบุรีมั้ย? จะตอบให้แน่ชัดตอนนี้คงจะเร็วไป แต่สิ่งที่เขาแสดงออกมา และน่าจะต่อยอดได้ดี คือความมุ่งมั่น และพร้อมต่อสู้บนเส้นทางในแบบนักฟุตบอลธรรมดาคนนึง ซึ่งจากประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย ก็น่าจะทำให้เขาไม่ถอดใจง่ายๆ และเชื่อว่าจะมีหลายคนที่รอติดตามเขา ในฐานะ “นักฟุตบอลฝีเท้าดี” หาใช่ “นักฟุตบอลที่รวยที่สุดในโลก”
Picture : Phonkha, G3 Football, Page Six, Sportliva, Daily Star, 90Min, VI Vandaag, Khaosod, Thairath