นอกจากการเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่แล้ว ภายในงานเปิดตัวของทาง Apple ยังได้มีการหยิบยกนำสิ่งที่มีอยู่มาเสริมแกร่งด้วยการเปิดตัวสีใหม่ให้เป็นตัวเลือกในการใช้งานมากยิ่งขึ้น นั่นคือการนำ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro มาปัดฝุ่นและเคลือบสีใหม่ด้วย Green และ Alpine Green
สำหรับสีเขียวหรือ Green ทั่ว ๆ ไปจะถูกนำมาใช้งานภายใน iPhone 13 mini และ iPhone 13 ขณะที่ สีเขียวอัลไพน์หรือ Alpine Green จะมีเป็นตัวเลือกเพิ่มเติมภายใน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max โดยสเปคภายในของตัวเครื่องทุกอย่างยังคงเป็นแบบเดิมที่เราเคยได้รู้จักกับ iPhone 13
การเพิ่มตัวเลือกสีในครั้งนี้จะช่วยเข้ามาเติมเต็มตัวเลือกสีใหม่สำหรับผู้ที่สนใจ iPhone 13 โดยในตอนนี้สีที่จะมีให้เลือกสำหรับ iPhone 13 จะประกอบไปด้วยกันทั้งหมด 6 สีคือ Starlight, Midnight, Blue, Pink, Green และ (PRODUCT)RED ขณะที่ iPhone 13 Pro จะประกอบไปด้วย 5 สีคือ Alpine Green, Silver, Gold, Graphite และ Sierra Blue
กำหนดวางจำหน่ายภายในประเทศไทยสำหรับสีใหม่จะเปิดให้ทำการสั่งซื้อล่วงหน้าในวันที่ 18 มีนาคม และจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 มีนาคมแบบเดียวกับ iPhone SE 3 5G
แม้ว่าภายในงานจุดที่น่าสนใจที่สุดจะเป็น iPhone SE 3 แต่แน่นอนว่าในงานเปิดตัวของทาง Apple จะเปิดตัวอุปกรณ์เพียงแค่อย่างเดียวคงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนัก เราจึงได้เห็นการเปิดตัว iPad Air 5 ออกมาที่แม้ว่าภายนอกจะมีการออกแบบที่เหมือนกับรุ่นก่อนหน้า แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือชิปเซ็ตภายในที่ใช้งานเป็น M1 เหมือนกับ iPad Pro แล้ว
การเปลี่ยนแปลงชิปเซ็ตไปใช้งานเป็น M1 จะทำให้ได้รับสิ่งที่ทาง Apple ได้เคลมเอาไว้ว่าประสิทธิภาพการทำงานจะดีขึ้นกว่าเดิมถึง 60 เปอร์เซ็นต์ มาพร้อมกับหน่วยประมวลผลสำหรับการทำงานด้าน ML โดยเฉพาะ ในข้อดีคือเรื่องของการจัดการทรัพยากรภายในและการเรียกใช้งานที่ทำได้ดีกว่าเดิม
หน้าจอของตัวเครื่องเป็นแบบ 10.9 นิ้ว Liquid Retina รองรับการแสดงผลแบบ True Tone พร้อมกระจกหน้าจอแบบพิเศษ กล้องหน้าความละเอียด 12MP รองรับการใช้งานฟีเจอร์ Center Stage ที่จะทำให้เราเสมือนอยู่ตรงกลางของจอตลอด กล้องหลังความละเอียด 12MP รองรับการใช้งาน 4K พร้อมรองรับการใช้งาน 5G
มีสีให้เลือกทั้งหมด 5 สีคือ Space Gray, Starlight, Pink, Purple และ Blue ราคาเริ่มต้นในรุ่นความจุ 64GB WiFi อยู่ที่ 20,900 บาท รุ่น 64GB WiFi + Cellular ราคา 25,900 บาท รุ่น 256GB WiFi ราคา 25,900 บาท และสุดท้ายรุ่น 256GB WiFi + Cellular ราคา 30,900 บาท ยังไม่มีการเปิดเผยวันวางจำหน่ายภายในประเทศไทยออกมาอย่างเป็นทางการ แต่สำหรับสหรัฐ ฯ จะเริ่มขายจริงวันที่ 18 มีนาคมนี้
นอกจากการเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่แล้ว ทาง Apple ยังได้ทำการเปิดตัวชิปเซ็ตรุ่นใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่าง M1 Ultra โดยใช้งานกระบวนการผลิตแบบ 5 นาโนเมตร โดยที่ภายในเป็นเสมือนการนำชิปเซ็ต M1 Max 2 ตัวมาผนึกเข้าไว้ด้วยกัน ก่อให้เกิดผลลัพธ์ในด้านประสิทธิภาพการทำงานที่มากขึ้น
ตัวกลางที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ดังกล่าวได้เกิดจากการที่พวกเขาใช้งานจุดเชื่อมระหว่างชิปที่เรียกว่า UltraFusion มาใช้งาน ส่งผลให้สามารถที่จะส่งข้อมูลได้มากถึง 2.5 TB/s ตัวชิปเซ็ตมาพร้อมกับจำนวนคอร์การทำงานในส่วนของซีพียู 20 คอร์ แบ่งเป็นคอร์ประสิทธิภาพ 16 ตอร์และคอร์สำหรับงานทั่วไป 4 คอร์
ขณะที่จำนวนคอร์การทำงานของจีพียูอยู่ที่ 64 คอร์ รองรับการใช้งานร่วมกับแรมสูงสุด 128GB ที่ 800 GB/s สำหรับตัวเครื่องรุ่นแรกที่จะมีการนำไปใช้งานจะเป็นตัวของ Mac Studio เครื่องสำหรับการใช้งานโดยเฉพาะของทาง Apple ที่ทำการเปิดตัวไปภายในงานเดียวกัน
น่าสนใจไม่น้อยว่าเราจะได้เห็นการนำชิปเซ็ตรุ่นดังกล่าวเข้ามาอยู่ภายในเครื่อง Mac อื่น ๆ ภายในอนาคตหรือไม่ หากดูจากสเปคการทำงานแล้วน่าจะตอบโจทย์การทำงานได้ไม่น้อยเลย