5 ยอดทีมที่ไม่เคยคว้าแชมป์ยุโรป - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
5 ยอดทีมที่ไม่เคยคว้าแชมป์ยุโรป

“ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก” ถือเป็นการแข่งขันฟุตบอลระดับสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรปเลยก็ว่าได้ และแน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกทีมที่จะได้มันไปครอบครองแม้ในปีนั้นๆ พวกเขาจะโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยม มีโค้ชมากฝีมือ หรือมีขุมกำลังแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม

        5 สุดยอดทีมต่อไปนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แม้จะเป็นทีมที่สมบูรณ์แบบ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถคว้าถ้วยใหญ่ที่สุดของยุโรปมาประดับตู้โชว์ของสโมสรได้

5. บาเลนเซีย (ปี 1999-2001)

ในช่วงเวลานั้นถือเป็นอีกหนึ่งในยุครุ่งเรืองของ บาเลยเซีย เลยก็ว่าได้ หลังจากพวกเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และมีขุมกำลังที่แข็งแกร่งอย่าง กาอิซก้า เมนดิเอต้า กัปตันทีม รวมถึง 2 ดาวเตะอาร์เจนไตน์อย่าง คิลี่ กอนซาเลซ และ เคลาดิโอ โลเปซ โดยมี เฮคเตอร์ คูเปร์ กุมบังเหียน

สำหรับการลงเล่นเกมยุโรปในปี 2000 บาเลนเซีย สามารถเอาชนะทีมยักษ์ใหญ่อย่าง ลาซิโอ แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ได้มาแล้ว และยังผ่านด่าน บาร์เซโลน่า ได้อีกด้วย แต่ในนัดชิงฯ พวกเขาพ่ายให้กับ เรอัล มาดริด ยับเยิน 0-3

ในปีต่อมา บาเลนเซีย ยังคงทำผลงานน่าทึ่งด้วยการทะลุเข้าไปสู่นัดชิงดำเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน แต่น่าเสียดายที่พลพรรค “ไอ้ค้างคาว” ต้องพ่ายการดวลจุดโทษให้กับ บาเยิร์น มิวนิค 4-5 ชวดการคว้าแชมป์ไปครองอย่างน่าเสียดาย

4. แอตเลติโก มาดริด (ปี 2013-2014 และ 2015-2016)

       นับตั้งแต่ ดิเอโก ซิเมโอเน่ โค้ชชาวอาร์เจนไตน์ เข้ามาคุม แอตฯ มาดริด ในเดือนธันวาคมปี 2011 เขาก็ปฏิวัติ “ตราหมี” ไปอย่างสิ้นเชิง และพาสโมสรก้าวสู่ความสำเร็จ รวมถึงกลายเป็นยอดทีมของวงการลูกหนังยุโรปอย่างเต็มตัว

        ในฟุตบอลยุโรปปี 2014 แอตฯ มาดริด เข้าไปชิงดำกับคู่แค้นตลอดกาลอย่าง มาดริด โดยพวกเขาออกนำไปก่อน 1-0 ตั้งแต่ครึ่งแรก แต่ “ราชันชุดขาว” มาตามตีเสมอจาก เซอร์คิโอ รามอส ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บก่อนจะกระหน่ำคืนอีก 3 ลูกในช่วงต่อเวลาพิเศษ และหักอก “ตราหมี” คว้าแชมป์ไปครองสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม อีก 2 ปี ต่อมา แอตฯ มาดริด ยังคงทำผลงานสุดยอด และก็เข้าไปชิงฯกับ มาดริด อีกครั้ง และพวกเขาก็ต้องพบความผิดหวังอีกคำรบหลังจากพ่าย “ราชันชุดขาว” ในการดวลจุดโทษแบบหวุดหวิด 4-5

3. ยูเวนตุส (ปี 1996-98)

ในช่วงกลางยุค 90 ถือเป็นยุคทองของวงการลูกหนังแดนมะกะโรนีอย่างแท้จริง โดยมีหลายสโมสรที่โด่งดังมากมาย และมียอดนักเตะจากทั่วทุกมุมโลกต่างก็ไปค้าแข้ง ซึ่ง ยูเวนตุส ก็นับเป็นมหาอำนาจของอิตาลีในเวลานั้นเลยก็ว่าได้

การแข่งขันฟุตบอลยุโรปในปี 1997 ยูเวนตุส ภายใต้การนำของ มาร์เซลโล่ ลิปปี้ เทรนเนอร์จอมแท็คติค และมีสุดยอดขุมกำลังอย่าง คริสเตียน เวียรี่ , ซีเนดีน ซีดาน และ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ เข้าไปชิงฯ กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยชื่อชั้นที่เหนือกว่า แต่พวกเขากลับพ่ายให้กับ “เสือเหลือง” แบบสุดช็อก 1-3

ปีต่อมา ยูเวนตุส เข้าไปชิงฯ อีกครั้ง และต้องเผชิญหน้ากับ มาดริด แต่แล้วพวกเขาก็พ่ายให้กับ พลพรรค “ราชันชุดขาว” ไปอย่างน่าเสียดาย 0-1 ด้วยประตูโทนของ เปแดร็ก มิยาโตวิช ตำนานยอดกองหน้าทีมชาติยูโกสลาเวีย

2. เชลซี (ปี 2004-05)

หลังจาก โชเซ่ มูรินโญ่ ยอดกุนซือชาวโปรตุกีสเข้ามาคุม เชลซี ในฐานะอดีตแชมป์ยุโรปกับ เอฟซี ปอร์โต้ ต้นสังกัดเก่านั้น เขาก็สร้างผลกระทบอย่างมหาศาลให้กับ “สิงโตน้ำเงินคราม” ทันที ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และทำลายสถิติมากมาย 

ในเกมยุโรปปีดังกล่าว เชลซี ผ่านด่านทีมยักษ์ใหญ่มากมายไล่ตั้งแต่ผ่านรอบแบ่งกลุ่มที่มีทีมอย่าง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง, ปอร์โต้ และ ซีเอสเคเอ มอสโกว์ ต่อในรอบ 16 ทีมสุดท้ายก็ผ่าน บาร์เซโลน่า ที่มียอดนักเตะอย่าง โรนัลดินโญ่ ได้ และรอบ 8 ทีมก็เอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค

อย่างไรก็ตาม ในเกมรอบรองชนะเลิศ เชลซี ต้องเจอกับ ลิเวอร์พูล ภายใต้การนำของกุนซือ ราฟาเอล เบนิเตซ และต้องจอดป้ายเพียงรอบนี้หลังโดน หลุยส์ การ์เซีย ดาวเตะชาวสเปนซัดประตูปริศนาให้ “หงส์แดง” เอาชนะที่แอนฟิลด์ก่อนจะไปสร้างปาฏิหาริย์คว้าแชมป์ที่อิสตันบลู

1. อาร์เซน่อล (ปี 2003-04)

สุดยอดประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลอังกฤษ อาร์เซน่อล ในปีดังกล่าวภายใต้การคุมทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ โค้ชชาวฝรั่งเศส และมีขุมกำลังอย่าง เธียร์รี่ อองรี, โรแบร์ต ปิแรส, ปาทริค วิเอร่า และ กิลแบร์โต้ ซิลวา คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยการไม่แพ้เลยแม้แต่เกมเดียว

ขณะเดียวกัน ผลงานในเกมยุโรป อาร์เซน่อล เริ่มต้นรอบแบ่งกลุ่มอย่างย่ำแย่ด้วยการเปิดบ้านพ่ายให้กับ อินเตอร์ มิลาน 0-3 แต่หลังจากนั้น พวกเขาเก็บชัย 3 เกมติดต่อกันรวมถึงบุกไปล้างแค้นอัด “งูใหญ่” ถึงบ้าน 5-1 เข้ารอบ 16 ทีมในฐานะแชมป์กลุ่ม

อาร์เซน่อล เอาชนะ เชลต้า บีโก้ ด้วยสกอร์รวม 5-2 ในรอบตัดเชือก และเข้าไปพบกับ เชลซี โดยในเกมเลกแรกพวกเขาบุกไปกุมความได้เปรียบด้วยการเสมอ 1-1 แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือ “ไอ้ปืนใหญ่” กลับมาพ่ายคาบ้าน 1-2 และต้องตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายไปอย่างสุดช็อก

ภาพประกอบ : footyticket.com, footballcritic.com, the18.com, indianexpress.com, besoccer.com

Che Navapun

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save