สู่เส้นทางตำนานบทใหม่ “สตีวี่ จี” โค้ชมือใหม่ผู้สะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
สู่เส้นทางตำนานบทใหม่ “สตีวี่ จี” โค้ชมือใหม่ผู้สะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น

หากจะพูดถึงนักเตะตำนานของทีมชาติอังกฤษ และทีมหงส์แดงลิเวอร์พูล คงไม่มีใครไม่นึกถึง สตีเวน เจอร์ราร์ด อดีตผู้นำของทีมกับแชมป์ยุโรป 5 สมัย สิ่งเดียวที่เขาขาดคือแชมป์ลีกใต้ร่มเงาชายคาแอนฟิวด์ถึง 17 ปีด้วยกัน

แต่ในปีนี้ชายผู้นี้กำลังจะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้ตัวเองในการคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จครั้งแรก แม้จะไม่ใช่ในฐานะผู้เล่น แต่เขากำลังจะคว้าแชมป์ได้ด้วยการเป็นการเป็นผู้จัดการทีม 

“0” เลขศูนย์คือตัวเลขที่กุนซือหน้าใหม่สร้างขึ้นอยู่ในการแข่งขันสกอตติช พรีเมียร์ชิพในปีนี้ และนำห่างคู่แข่งทุกทีมอยู่ 21 แต้ม ด้วยตัวเลขนี้แม้จะยังการันตีอะไรไม่ได้ที่จะได้ชูถ้วย แต่ด้วยการที่ยังไม่ได้แพ้ใครในรายการใหญ่ ความผิดพลาดที่เคยถูกตราหน้าครั้งที่ลื่นล้มจนพลาดคว้าแชมป์ลีก จะเป็นประสบการณ์ที่เขาจะไม่พลาดอีกในครั้งนี้อย่างแน่นอน

ย้อนความกลับไป หลังจากค้าแข้งนานถึง 17 ปีกับการเป็นผู้เล่นของหงส์แดง ลิเวอร์พูล เจอร์ราร์ดก็ย้ายทีมไปเล่นถิ่นลุงแซมกับแอลเอ แกแล็กซี่เป็นที่สุดท้าย ก่อนแขวนสตั้ทยุติบทบาทผู้เล่นและผันตัวเองไปเป็นเดินสายโค้ชในทันที ด้วยการเป็นโค้ชทีมยู –18 ของลิเวอร์พูล ความเป็นผู้นำผสมกับการมองเกมที่ชาญฉลาด เจอร์ราร์ดทำหน้าที่ใหม่ของเขาได้อย่างดีเยี่ยม จนเจอร์เก้น คล็อปป์ประทับใจ ตั้งให้เขาคุมทีมยู -19 สู้ศึกยูฟ่า ยูธลีก ในซีซั่น 2017-18 นี่หมายความว่าเขามีผลงานที่ดีจนสโมสรไว้ใจเขาระดับนึง

 ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ที่จะมีสโมสรในลีกแชมเปี้ยนชิพ หรือลีกวัน มายื่นข้อเสนอให้เขาไปเป็นผู้จัดการทีม แต่เขาเลือกที่จะปฏิเสธ เพราะคิดว่าการที่เขาจะไปคุมทีมซักทีม ต้องเป็นสโมสรที่ใหญ่พอที่จะออกจากทีมรักของเขา

และแล้วข้อเสนอที่เขาปฏิเสธไม่ได้ก็เข้ามาหาเขา กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ตั้งเขาเป็นเป้าหมายแรกหลังจากปลด แกรม เมอร์ตี้ ออกจากตำแหน่งในวันที่ 1 พฤษถาคม 2018 เหตุผลของเรนเจอร์ส ที่เลือกเจอรร์ราร์ดนั้น ไม่ซับซ้อน แม้เขาจะขาดประสบการณ์ในการคุมทีม แต่การมีเขาคุมบังเหียน จะสามารถดึงดูดผู้เล่นและแฟนบอลให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจได้ เพราะสิ่งที่เจอร์ราร์ดทำสมัยเป็นผู้เล่นนั้น ทรงคุณค่ามากพอให้แฟนๆ คาดหวังในการไปถึงจุดสูงสุด

อีกไม่กี่วันต่อมาหลังจากแกรม เมอร์ตี้โดนปลด เจอรร์ราร์ดก็เข้ามาเปิดตัวที่สนามไอบร็อกซ์สนามเหย้าของ เรนเจอร์สในวันที่ 4 พฤษภาคม หนังสือพิมพ์ลงหน้าหนึ่งทุกฉบับกับการย้ายมาของเจอร์ราร์ด นี่ถือเป็นวาระสำคัญของฟุตบอลสกอตแลนด์ก็ว่าได้ เพราะความคาดหวังของแฟนบอลเรนเจอร์สต้องการใครซักคนมาหยุดคู่แค้นตลอดกาลเอาไว้ให้ได้

 9 ปีมาแล้วที่เรนเจอร์สต้องตกอยู่ในร่มเงาของแค้นร่วมเมือง และปีนี้เป็นปีสำคัญด้วย เพราะหากเซลติกได้แชมป์ในปีนี้พวกเขาจะเป็นแชมป์ติอต่อกันถึง 10 ฤดูกาลติดซึ่งยังไม่มีใครทำได้มาก่อน เพราะทั้งเซลติก และเรนเจอร์ส เคยเป็นแชมป์ติดต่อกันเพียง 9 สมัยเท่ากันอยู่ในตอนนี้

ก่อนที่เขาจะเข้ามาคุมทีมเรนเจอร์สฤดูกาลแรก ทีมมีสถิติการยิงเฉลี่ย 2 ลูกต่อเกมและเสียถึง 1.32 ลูกต่อเกม ทำให้กุนซือที่เข้าใจรูปเกมอยู่แล้วเสริมทัพด้วยการเสริมตัวเกมรับเข้ามามากมาย และนั่นก็เห็นผล เพราะหลังจากเสริมทัพถูกจุดทำให้ค่าเฉลี่ยการเสียประตูลดลงเหลือ 0.71 ลูกต่อเกมเท่านั้น เมื่อด้านเกมรับทำได้ดีขึ้นแล้ว เกมรุกเองเขาก็ใช้คอนเน็กชั่นที่มีอยู่ดึงนักเตะเก่งๆมาได้อีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น เจอร์เมน เดโฟ ที่แม้อายุอานามจะล่วงเลยเข้า 38 ปีแล้ว แต่คอยเป็นรุ่นพี่แนะนำเกมรุกให้รุ่นน้องได้อย่างสบาย   นักเตะสังกัดลิเวอร์พูลก็เดินขบวนเข้ามาถึง 3 คน ทั้งไรอัน เคนท์ และโอเวีย โอจาเรีย แบบยืมตัว และจอน ฟลานาแกนแบบเซ็นฟรี ทำให้ภาพที่เกิดขึ้นกับเรนเจอร์สดูดีขึ้นทันตาเห็น

แม้จะดูดีขึ้นในเรื่องของภาพรวมของทีม แต่ก็ยังถือว่าห่างไกลกับสิ่งที่แฟนๆต้องการ เพราะผลงานของพวกเขาไม่ได้ดูดีซักเท่าไหร่ ทำได้เพียงหวือหวาในช่วงต้นซีซั่นเท่านั้น และฤดูกาลแรกของอดีตกัปตันลิเวอร์พูลก็ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมา ชวดทุกรายการที่ลงแข่งขัน

ด้วยการที่เป็นโค้ชมือใหม่ หลายคนคงพอเข้าใจได้ แต่เจ้าตัวไม่โอเคกับผลงานของตัวเองเป็นแน่แท้ เขาตัดสินใจโทรปรึกษาอดีตโค้ชที่เขาเคยร่วมงานด้วยทุกคน และหนึ่งในนั้นคือราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือที่เขาไม่ค่อยลงลอยกันเท่าไหร่

ราฟา เบนิเตซ ถือว่าเป็นกุนซือที่ทำให้เจอร์ราร์ดกลายเป็นนักเตะที่ฟอร์มฮ็อตที่สุดตั้งแต่ค้าแข้งมา แต่เรื่องนอกสนามถือว่าทั้งคู่เป็นเพียงเจ้านายกับลูกน้องเท่านั้น ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้น ผิดกับกุนซืออย่างเชราร์ อุลลิเยร์ หรือแบนเดอร์ รอดเจอร์ส ที่เจอร์ราร์ดสนิทด้วยทั้งนอกและในสนาม

สิ่งหนึ่งที่เบนิเตซบอกเขาในการโทรไปปรึกษา คือ เจอรร์ราร์ดต้องไม่ใช้วิธีบอกนักเตะว่าให้ทำอะไร แต่ให้พวกเขาตั้งคำถามว่า “จะทำสิ่งนั้นไปทำไม” หมายความว่า ไม่ใช่แค่บอกนักเตะให้ทำนู้นทำนี่ตามแทคติก แต่ให้ผู้เล่นเข้าใจ และอยากจะทำสิ่งที่โค้ชสั่ง มันต่างกันอยู่มาก

เรื่องสำคัญอีกเรื่องที่เบนิเตซไม่ค่อยสนิทกับนักเตะซักเท่าไหร่ เพราะเขาใช้วิธี “Tough Love” ที่แปลให้เข้าใจง่ายก็คือ การไม่ชมนักเตะมากนัก หรือสุภาษิตที่ว่า รักวัว ให้ผูกรักลูกให้ตี และวิธีนี้ก็สร้างฟอร์มการเล่นได้โดดเด่นที่สุดของเจอรร์ราร์ด ในยุคที่เขาฟอร์มฮ็อตที่สุดในการค้าแข้ง และนี่เป็นอีกวิธีนึงที่เบนิเตซแนะนำให้กับเจอร์ราร์ด

ขยับเข้าสู่ฤดูกาลที่ 2 ความแตกต่างจากฤดูกาลแรกชัดเจน เรนเจอร์สภายใต้การคุมทีมของเจอร์ราร์ด ทำได้ถึงลุ้นแชมป์ลีก แต่โชคร้ายที่พิษของโรคระบาดโควิด-19 ทำให้ลีกต้องตัดจบไปและเป็นคู่แค้นร่วมเมืองที่มีคะแนนนำอยู่คว้าแชมป์ไป ส่วนรายการอื่นๆ ก็ทำได้ดีขึ้นกว่าฤดูกาลแรก ทั้งถ้วยยูโรป้าคัพที่เข้าได้ถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย และได้เข้าชิงบอลลีกคัพ แต่ก็แพ้ให้กับเชลติกเช่นเคย

แม้จะยังไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ทุกอย่างดูดีขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งนอกและในสนาม รูปเกมที่ดูดีขึ้น การวางตัวกับนักเตะของเขาที่เคยใจดียังเป็นเช่นเคย เพียงแต่วิธีการต่างออกไปตามที่เบนิเตซได้ให้คำปรึกษาเอาไว้ ทำให้สตีวี่ จี ดูสุขุม และมีแนวทางของตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม

ในฤดูกาลต่อมา (2020/21) เข้าสู่ฤดูกาลที่ 3 ของเขาจากสัญญา 4 ปีที่เซ็นไว้กับสโมสร ก็จะเหลือเพียงอีกแค่ปีเดียวเท่านั้น ความสำคัญที่สุดก็บังเกิดขึ้นเพราะฤดูกาลนี้ เรนเจอร์สจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้เซลติกได้แชมป์สมัยที่ 10 ติดต่อกันให้ได้ และแล้วก็เห็นผลทันตา ทีมของเจอร์ราร์ดเริ่มต้นได้ดี นักเตะทุกคนเล่นกันได้เข้าขามากขึ้นหลังจากคลุกคลีกันมาหลายฤดูกาล ผิดกับทีมคู้แค้นที่ดีเหมือนเดิมเพียงแต่ไม่ขยับไปข้างหน้า ทำให้ผลงานในตอนนี้หลังจากผ่านไป 28 นัดในลีก พวกเขามีคะแนนนำที่ 2 เซลติกอยู่ถึง 21 แต้มแม้จะแข่งมากกว่า 2 นัดก็ตาม และที่สำคัญเรนเจอร์สยังไม่แพ้ใครเลยในลีก และเสมอเพียง 4 เกมเท่านั้น โอกาสที่เขาจะเข้าป้ายเป็นแชมป์สูงมากเพราะลีกสกอตแลนด์ พวกเขามีเพียง 12 ทีมเท่านั้น และแข่งทั้งหมดเพียง 33 เกม แต่เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขาเข้ารอบตัดเชือกยูโรป้าลีกด้วยสถิติไร้พ่ายเช่นกัน ทั้งๆที่ในกลุ่มมีทีมดังอย่างเบนฟิก้า และสตองดาร์ด ลีแอชอยู่ในกลุ่มด้วย แต่ก็ยังขึ้นไปเป็นจ่าฝูงของกลุ่มเข้ารอบแบบไม่ยากเย็นนัก

ด้วยสถิติเหล่านี้เห็นได้ชัดเลยว่า หน้าที่การงานของเขากำลังเฟื่องฟูอย่างออกหน้าออกตา อย่างน้อยเราก็เห็นได้ว่า การเติบโตขึ้นอย่างมีขั้นมีตอนทำให้เราแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าการพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่คำนึงถึงประสิทธิภาพของตัวเอง 2 ฤดูกาลเต็มๆ ที่เจอร์ราร์ดต้องเรียนรู้ว่าการเป็นโค้ชที่แตกต่างกับการเป็นผู้เล่นโดยสิ้นเชิง กุนซือระดับสูงต้องยืนอยู่ตรงจุดไหนที่จะทำให้นักเตะยอมรับและเชื่อในคำพูดของโค้ช มันไม่ง่ายเลยที่ต้องหากลยุทธต่างๆมาช่วยผลักดันทีมให้พุ่งไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน แต่วันนี้สตีเวน เจอร์ราร์ดได้พิสูจน์บทบาทแรกของเขา ว่าเขาทำได้ดีขนาดไหนเรียบร้อยแล้ว แม้ยังต้องเพิ่มพูนประสบการณ์อีกซักระยะในการมาเป็นกุนซือในทีมที่มีการแข่งขันสูงขึ้นกว่าเดิม บีบหัวใจกว่า พลาดได้น้อยกว่า แต่เชื่อเหลือเกินว่าไม่นานเกินรอ เราจะได้เห็นเขาเป็นกุนซือในถิ่นแอนฟิวด์ สนามเหย้าที่เป็นที่รักของเขาได้อย่างแน่นอน สตีเวน เจอร์ราร์ดเหมาะสมกับสิ่งที่เขาควรจะได้รับทุกประการจากผลงานที่ประจักษ์ต่อทุกสายตา

Text – Centaurus

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save