คุณรับมือกับความเหงาได้ไหม? หรือคุณจะไล่ตามความสัมพันธ์ที่ผิดไปตลอดกาล? …ใครจะไปรู้ล่ะ? วันนึงคุณอาจจะยอมรับความโดดเดี่ยวของคุณมากจนพบว่าคุณคิดถึงความเหงา เมื่อคุณมีความสัมพันธ์อีกครั้ง

ทฤษฎีแนวความคิดเรื่อง “ความเหงาในเชิงบวก” อาจฟังดูเหมือนเป็นคำตรงกันข้ามกับความรู้สึก เพราะการอยู่คนเดียวเป็นสิ่งที่มาพร้อมกับความหมายเชิงลบโดยเนื้อแท้ในสังคมของเรา อย่างไรก็ตามอาจมีความรู้สึกซับซ้อนที่ซ่อนอยู่ในความสันโดษ และตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ การพยายามค้นหาสิ่งนี้อาจส่งผลดีอย่างลึกซึ้งต่อสุขภาพจิตโดยรวม และความเป็นอยู่ที่ดีของคุณ อันที่จริง นักวิจัยพบว่าเมื่อผู้คนที่แสวงหาความสันโดษในเชิงบวกพบว่าตัวเองอยู่คนเดียว พวกเขามีความรู้สึกผ่อนคลาย มีความหมาย และความสุขในชีวิตมากขึ้น โดยพูดถึงความรู้สึกว่างเปล่าน้อยลง

ความคิดเรื่องความเหงานั้นแพร่หลายมากขึ้นกว่าที่เคยในยุคของการเว้นระยะห่างทางสังคม ในความเป็นจริงการสำรวจในปี 2020 กว่า 1,000 คนทุกเพศทุกวัยระหว่าง 18-35 มีประมาณ 65% ของผู้เข้าร่วมทำแบบสำรวจ ความรู้สึกที่เพิ่มขึ้นของความเหงาตั้งแต่การเริ่มระบาด coronavirus ข้อมูลอื่นๆ เปิดเผยว่ามีจำนวนสองในสามของผู้ใหญ่ที่จะประสบความรู้สึกของการแยกทางสังคมในช่วงการระบาดใหญ่ ในช่วงเวลาที่แฮงเอาท์กับเพื่อน ปาร์ตี้ในครอบครัว และงานสังสรรค์อื่นๆ ทุกสัปดาห์ถูกระงับ ผู้คนมากมายต่างโหยหาความสัมพันธ์ของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ที่โรแมนติก ตอนนี้มันเพิ่มขึ้นมากกว่าที่เคย

ในสังคมส่วนใหญ่บรรทัดฐาน และความคาดหวังของสังคมกำหนดว่าผู้คนควรจะหาคู่ชีวิต และเริ่มต้นครอบครัวของตัวเอง ปล่อยให้หลายคนรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่คนเดียว “ในหลายกรณี ผู้คนมักตั้งสมมติฐานเชิงลบเกี่ยวกับการเลือกอยู่คนเดียวมากกว่าที่จะเห็นข้อดีที่สำคัญของการเลือกโสดโดยเจตนา”

ไม่ว่าคุณจะเพิ่งผ่านการเลิกรา หรือคุณกำลังดิ้นรนกับการเป็นโสด หรือคุณไม่ได้เชื่อมต่อกับมนุษย์มากนักในทุกวันนี้ ต่อไปนี้คือวิธียอมรับการอยู่คนเดียวให้เป็นเรื่องเชิงบวกแทนที่จะเป็นแง่ลบ

วิธีเพลิดเพลินไปกับการอยู่คนเดียวผ่านความเหงาในเชิงบวก

ค้นหาอิสรภาพในเอกราชของคุณ

การเป็นโสด หรืออยู่คนเดียวมีประโยชน์มากมายนับไม่ถ้วน กล่าวคือ คุณสามารถทำอะไรก็ได้ที่คุณต้องการ ทุกเวลาที่คุณต้องการ การที่คุณไม่มีความสุข หรือผิดหวังกับสิ่งใดก็จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป และคุณเป็นผู้ตัดสินใจเพียงคนเดียว..สิ่งนี้สามารถเป็นอิสระได้มากเมื่อสิ้นสุดความสัมพันธ์ที่หยาบกร้าน”

ไม่เพียงแค่นั้น แต่คุณมีเวลามากขึ้นในการอุทิศให้กับเป้าหมายในชีวิตของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาอาชีพ งานอดิเรก และความหลงใหล หรือความสัมพันธ์ที่สงบสุขกับเพื่อน และสมาชิกในครอบครัว …“คนโสดที่มีความตระหนักในตนเอง และมีความสมดุลสามารถเป็นทรัพย์สินที่แท้จริงสำหรับสังคมโดยรวม”

ใช้เวลาสักครู่เพื่อเขียนสิ่งที่คุณตั้งใจจะไล่ตาม หรือทำให้สำเร็จทั้งหมด เช่น ต้องการเดินทางบนถนนหรือไม่? ใช้เวลากับคนที่คุณรักมากขึ้น? เรียนรู้วิธีการเล่นกีตาร์? มีรูปร่างที่ดีขึ้น? ครั้งต่อไปที่คุณรู้สึกโดดเดี่ยว ให้ดึงรายการนั้นออกมา และหาวิธีเริ่มต้นทำมัน ไม่เพียงแต่คุณจะสามารถเปลี่ยนความเหงาให้เป็นผลผลิตได้ แต่คุณยังมีแนวโน้มที่จะได้รับอารมณ์ที่เพิ่มขึ้นจากการทำสิ่งที่มีความหมายต่อตัวคุณเองอีกด้วย

ความเหงาสามารถทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้นได้

ที่จริงแล้วการอยู่คนเดียวทำให้คุณมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นเพราะมันช่วยเสริมสร้างความรู้สึกเป็นอิสระของคุณ …“บุคคลที่ใช้เวลาเพียงลำพัง ปลูกฝังมิตรภาพ และความสนใจของตนเอง จะนำการพัฒนา และความมั่นใจทั้งหมด

ในทางกลับกัน หากการกระโดดจากความโดดเดี่ยวไปสู่ความสัมพันธ์เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกเหงาอาจเป็นอันตรายได้ เพราะมันไม่อนุญาตให้คุณมีเวลาที่จำเป็นในการโศกเศร้า เยียวยา และประมวลผล นั่นอาจเป็นผลให้คุณสามารถนำบาดแผลเก่าเหล่านั้นไปสู่การทำลายล้างความสัมพันธ์ครั้งต่อไปได้

Take baby steps

แนวคิดเบื้องหลังความเหงาที่เป็นบวก คือการใช้เวลาอยู่คนเดียวเพื่อไตร่ตรอง ทบทวน และความคิดสร้างสรรค์ แทนที่จะมุ่งไปที่ด้านลบของการอยู่คนเดียว ดังที่กล่าวว่า “จำไว้ว่าอาจต้องใช้เวลาสักระยะกว่าคุณจะไปถึงที่นั่น เพราะคุณกำลังเปลี่ยนวิธีคิดทั้งหมดของคุณ“

“เราไม่ได้อยู่ในสังคมที่เน้นกลุ่มคนที่มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง ซึ่งส่วนใหญ่นั้นแนวคิดในการเข้าสังคม และเชื่อมโยงกันตลอดเวลานั้นมีคุณค่าอย่างสูง….อุดมคตินี้ส่งเสริมความกลัวที่จะอยู่คนเดียว และฟุ้งซ่าน อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญคือต้องเน้นว่าคนๆ หนึ่งสามารถอยู่คนเดียวท่ามกลางฝูงชนได้ ความเหงามักเกิดขึ้นเมื่อเราไม่ยึดติด เชื่อมต่อกับตนเอง และสบายใจในความเงียบ”

วิธีที่ดีที่สุดบางประการในการฝึกฝนความเหงาในเชิงบวก คือการกระทำที่ง่ายที่สุด เริ่มต้นด้วยการเดินคนเดียว หรือเรียนรู้ที่จะรู้สึกสะดวกสบายในการรับประทานอาหารนอกบ้านคนเดียว “สิ่งสำคัญคือต้องกำหนดเป้าหมายเล็กๆ ที่ทำได้ช้า — แต่แน่นอน — และไม่กดดันในคอมฟอร์ทโซนของคุณ”

นิสัยง่ายๆ ที่เสริมสร้างความเชิงเหงาบวกรวมถึงการบันทึก, การนั่งสมาธิ การอ่าน และการทำโยคะ การลดเวลาอยู่หน้าจอ (ใช่ นั่นหมายถึงโซเชียลมีเดีย) เป็นวิธีที่ดีต่อสุขภาพอย่างยิ่งในการเพิ่มระดับความสบายของคุณด้วยการใช้เวลาเงียบๆ คนเดียวโดยปราศจากสิ่งรบกวน

รักษาตัวเอง

“วิธีที่ดีที่สุดในการผ่านช่วงเวลานี้ไปคือการรักษาตัวเองให้ดี” บางทีนั่นอาจหมายถึง การซื้อกลับบ้านจากร้านอาหารที่คุณชื่นชอบทุกคืนวันศุกร์ หรือหาวิธีออกกำลังกายที่สนุกสนานในทุกวัน การปล่อยให้ตัวเองนอนดึกใช้เวลาไปกับการดูหนังที่ทำให้คุณหัวเราะ หรือนอนพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์…ปล่อยให้ตัวเองหลงระเริงไปกับสิ่งเหล่านั้น ที่ทำให้คุณรู้สึกได้รับการดูแล และมีความสุข

จำไว้ว่าความรู้สึกนั้นเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

สิ่งสำคัญคือต้องเตือนตัวเองว่าชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และแม้ว่าคุณจะรู้สึกโดดเดี่ยวในบางครั้ง แต่ก็เป็นความรู้สึกชั่วครู่ที่ไม่คงอยู่ตลอดไป….“ตอนนี้คุณอาจจะอยู่คนเดียว แต่คุณไม่น่าจะอยู่คนเดียวตลอดไป ดูแลตัวเอง และทำในสิ่งที่ทำให้คุณพึงพอใจ และมีความสุขต่อไป”….ในแง่หนึ่ง การพึ่งพาความเหงาสามารถช่วยให้คุณซาบซึ้งในช่วงเวลาอื่นๆ เมื่อคุณรู้สึกเชื่อมโยงกับผู้อื่นมากขึ้น

“เมื่อเราเรียนรู้ที่จะเห็นความสันโดษเป็นของขวัญสำหรับจิตใจ แทนที่จะเป็นคำสาป เราสามารถชื่นชมคุณค่าที่ลึกซึ้งของเวลาอยู่คนเดียวได้” …“เมื่อเราเข้าสู่ขั้นตอนของการโอบกอดเวลาที่เงียบสงบ และไตร่ตรองตัวเองเป็นความต้องการหลัก เราจะเริ่มกระหายช่วงเวลาโดดเดี่ยวราวกับว่ามันเป็นออกซิเจนสำหรับจิตใจ และจิตวิญญาณ”

ใครจะไปรู้ล่ะ? คุณอาจจะยอมรับความโดดเดี่ยวของคุณมากจนพบว่าคุณคิดถึงความเหงา เมื่อคุณมีความสัมพันธ์อีกครั้ง