ในชีวิตการทำงานนั้น หลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “งานหนักอาจไม่ใช่ปัญหา เท่ากับเรื่องคน” เพราะเหนื่อยกับงานนั้นเหนื่อยแค่กาย พักซักหน่อยก็หาย แต่หากเป็นการเหนื่อยเรื่องคนแล้วมันทำให้เหนื่อยใจ ท้อแท้ พักเท่าไหร่ก็ไม่หาย โดยเฉพาะคนที่เป็นเจ้านาย (Boss) เราด้วยแล้วล่ะก็ยิ่งหนักเลย
เรื่องเจ้านายกับลูกน้องนั้นเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงพูดคุยกันมากในแวดวงการทำงานว่าเจ้านายแบบไหนที่พอจะทนได้ เจ้านายแบบไหนที่เจอแล้วควรถอยดีกว่า เพราะอยู่ไปก็ไม่มีอะไรจะช่วยให้เราก้าวหน้า สำหรับเจ้านายอย่างหลังนั้นมักถูกเรียกว่า Toxic Boss หรือเจ้านายเป็นพิษ ที่กูรูเตือนว่าเมื่อเจอแล้วควรจะถอยหากเป็นไปได้ ซึ่งลักษณะของ Toxic Boss ที่ว่านี้เป็นอย่างไร ทำไมเจอแล้วต้องถอย ใครอยากรู้ ตามมาดูกันเลย
หลงตัวเอง
เริ่มที่คุณลักษณะหลงตัวเอง คือเขาจะเชื่อมั่น และมั่นใจในตัวเองอย่างจริงจังว่าเขาเหนือกว่าใครในองค์กร แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาก็คืออีโก้สูง ซึ่งมักทำให้เขาไม่ค่อยฟังความคิดเห็นใคร บางทีก็เชื่อมั่นและหลงตัวเองจนเกินความสามารถจริงๆ ที่ตนมี คนลักษณะนี้มักมีความทะเยอทะยานไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีน้ำใจ และพยายามผลักดันตัวเองให้ก้าวหน้าสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยการใช้ลูกน้องและทุกคนในองค์กรเป็นบันไดสู่ความสำเร็จก็ตาม
ไม่ให้อิสระการทำงานแก่ลูกน้อง
ลักษณะอย่างที่สองของเจ้านายที่เป็นพิษก็คือ พวกเขาจะเห็นทีมงานเป็นแค่ลูกน้อง ไม่ใช่เพื่อนร่วมงาน เพราะเขาจะไม่ให้ใครได้มีอิสระในการทำงานแบบเป็นตัวของตัวเอง เขาจะคอยควบคุมให้ทุกคนทำตามคำสั่งทุกเรื่อง แทรกแซงทุกงาน ทุกรายละเอียดต้องอยู่ในสายตาของเขาหมด ซึ่งเราสามารถเรียกการบริหารงานแบบนี้ว่า Micromanagement ก็ได้ และเมื่องานมีความสำเร็จ เขาก็จะเคลมเอาความดีความชอบได้ทุกส่วนของเนื้องาน แต่หากล้มเหลว ลูกน้องคนไหนที่รับงานส่วนนั้นก็เตรียมรับผิดไปเต็มๆ การทำงานกับเจ้านายลักษณะนี้นอกจากจะทำให้สูญเสียความเป็นตัวตนแล้ว ยังมีความเสี่ยงในการเป็นแพะรับบาปด้วย
ตั้งเป้าที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
การตั้งเป้าหมายที่ถูกต้อง เหมาะสมเป็นหนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของการทำงาน และจะต้องทำเป็นอย่างแรกก่อนที่ทีมงานจะเริ่มลงมือทำงานกัน การมีเป้าหมายการทำงานที่ชัดเจน มีความเป็นไปได้ สอดคล้องกับความเป็นจริงย่อมทำให้ทุกคนรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ และรู้ว่าสิ่งที่ตนกำลังรับผิดชอบมีความสำคัญต่อภาพรวมของงานมากแค่ไหน
แต่เจ้านายบางคนกลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับการกำหนดเป้าหมายเท่าที่ควร ซึ่งนอกจากจะไม่กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนแล้ว บางครั้งยังตั้งเป้าหมายซะเวอร์ ชนิดที่ไม่มีทางที่จะทำสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะเป็นเป้าหมายที่ไม่อยู่บนพื้นฐานความจริง การตั้งเป้าหมายลักษณะนี้มีแต่จะทำให้ลูกน้องหมดกำลังใจ อีกทั้งการบีบเค้น บังคับให้ลูกน้องต้องทำให้ได้ก็มีแต่จะทำให้สุขภาพจิตของทีมงานย่ำแย่ ท้อแท้ อยากลาออก
หยาบคาย
แม้หลายคนจะมองว่าพฤติกรรมหยาบคายเป็นการแสดงออกซึ่งความจริงใจ ได้น้อยคนนักที่ชื่นชอบความหยาบคาบ หากไม่ใช่เพื่อนสนิทคุณจริงๆ หรือญาติพี่น้อง ก็ไม่ควรจะมีใครแสดงพฤติกรรมหยาบคายต่อคนอื่นๆ โดยเฉพาะในที่ทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้านาย ต่อ ลูกน้อง ยิ่งไม่เป็นการสมควร เจ้านายบางคนแสดงความหยาบคายจนเป็นนิสัย เพราะเป็นพฤติกรรมที่เมื่อเขาทำแล้วจะรู้สึกว่าเป็นการได้ระบายอารมณ์ และได้แสดงอำนาจที่เหนือกว่า แต่นั่นกลับเป็นการสร้างความเอือมระอาแก่ทีมงาน
ไร้ความสามารถ
การจะขึ้นมาเป็นเจ้านายได้ ควรจะต้องมีผลงาน ความสามารถที่โดดเด่น มีความสำเร็จเป็นเครื่องการันตีความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ เป็นที่เคารพนับถือของผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ในชีวิตการทำงานจริงไม่เป็นเช่นนั้น หลายคนคงมีโอกาสได้เจอเจ้านายแบบว่า “คุณได้ตำแหน่งนี้มาได้เยี่ยงไร?” เพราะเจ้านายบางคนก็ไม่รู้เรื่องอะไรจริงสักอย่างในกิจการงานที่ทำ มีแต่วางมาดไปวันๆ ปรึกษาอะไรก็ไม่ได้ ไม่รู้เรื่องสักอย่าง เมื่อเจอเจ้านายแบบนี้ ลูกน้องคนไหนก็ทำงานด้วยลำบากแน่ๆ
และนี่ก็คือ 5 ลักษณะของ Toxic Boss ที่เราอยากแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักในครั้งนี้ ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับชีวิตคนทำงานทุกคน เมื่อได้ทราบแล้วก็ลองสำรวจในองค์กรของคุณว่าเจ้านายคุณมีคุณลักษณะเป็น Toxic Boss บ้างหรือไม่ หากมีเกิน 3 ข้อ คุณก็สมควรพิจารณาถอยได้แล้วล่ะ เพราะรับรองได้เลยว่าภายใต้การบริหารงานของเขา อยู่ไปคุณก็ไม่รุ่งแน่ๆ แต่หากใครที่ไม่ได้ต้องการความรุ่ง อยากแค่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และช้าเร็วก็มีแผนจะลาออกอยู่แล้วก็ลองทนกันต่อไป เผื่อว่าเปลี่ยนเจ้านายใหม่แล้วอะไรๆ จะดีขึ้น