สำหรับแฟนฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ คงไม่มีใครไม่รู้จัก “ทรอย ดีนี่ย์” ศูนย์หน้าตัวยักษ์ กัปตันทีมวัตฟอร์ด ที่ไม่ยี่หระในการปะทะกับเหล่ากองหลังฝั่งตรงข้าม ภาพการเล่นสไตล์ทื่อๆ เน้นความแข็งแรงแบบบอลโบราณ ไม่ค่อยชวนพิสมัยให้สนใจเท่าไหร่
แต่หากลองค้นลงลึกถึงประวัติชีวิตของดีนี่ย์แล้ว มันมีอะไรน่าสนใจอยู่เต็มไปหมด ทั้งเรื่องราวชีวิตที่ฝ่าฟันมา ทั้งแนวคิดที่เขายึดถือ มันทำให้เราอดไม่ได้ที่จะเขียนถึงแกซักหน่อย
“ฟุตบอลอาชีพ มันไม่ได้เป็นเป้าหมายของผมหรอก”
ประโยคที่ดีนี่ย์เคยให้สัมภาษณ์ ทำให้เราใคร่สงสัยว่า ทำไมเด็กผู้ชายอิงลิชชนคนนึง ในประเทศที่บ้าบอล ถึงมีความคิดเช่นนั้น
ดีนี่ย์เติบโตมาในย่านตึกอาคารสงเคราะห์ แถบชานเมืองเบอร์มิงแฮม โดยเขาบอกว่าชีวิตของคนแถวนั้น มีทางเลือกให้เด็กวัยรุ่นเลือกเดินแค่ 2 ทาง คือไม่ไป “ซ้าย” ก็ไปทาง “ขวา”
วัยรุ่นส่วนใหญ่ในย่านนั้น เลือกเดินไปทาง “ขวา” เติบโตโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เป้าหมายสำคัญคือหางานทำเลี้ยงชีพให้รอด นอกนั้นก็ไล่ตามจีบหญิง สังสรรค์กับเพื่อน มีเพียงวัยรุ่นแค่ราว 5% ที่เลือกเดินไปทาง “ซ้าย” ที่ใช้ความมานะพยายามมากกว่า อดทนกว่า เพื่อจะประสบความสำเร็จในชีวิต ให้มากกว่าที่ครอบครัวเคยเป็น
ครบครัวของดีนี่ย์ ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ปากกัดตีนถีบเหมือนคนอื่นในชุมชน แม่ของเขาเคยต้องรับงานมากมายถึง 3-4 งาน และไม่ได้หยุดพักช่วงคริสมาสต์เลย เพื่อหาเลี้ยงลูกๆ
สภาพแวดล้อมแบบนั้น ทำให้ดีนี่ย์ มองเห็นอนาคตของเขาไปทาง “ขวา” ไม่ต่างกัน เขาคิดว่าโตขึ้นอาจจะหางานเป็นพนักงานดับเพลิง งานในฝันที่ถูกปลูกฝังมา เพราะถึงจะเสี่ยงชีวิต แต่มันทำงานแค่ 4 วัน และก็ได้หยุดอีก 4 วันถัดไป
“ผมไม่รู้หรอกว่าวอลซอลล์คือที่ไหน!”
หลังใช้ชีวิตวัยรุ่นแบบไม่เห็นอนาคต เพราะแค่อายุ 14 ก็ถูกให้ออกจากโรงเรียน กลับไปเรียนตอนอายุ 15 ก็ไปไม่รอด แค่อายุ 16 ก็โดนเด้งอีกหน เพราะสอบไม่ผ่านเกณฑ์จะได้ไปต่อ
ตอนอายุประมาณ 18 เด็กหนุ่มทรอย ที่มีอาชีพหลักเป็นช่างก่ออิฐ เริ่มมีโอกาสได้ลงเล่นฟุตบอลจริงจัง เพราะติดสอยห้อยตามเพื่อนไป โดยเหตุผลที่ทำให้เขาได้รู้จักฟุตบอล ก็เพราะแม่ชอบไล่เขาให้ออกไปหาอะไรทำนอกบ้านในวันเสาร์ เพราะเป็นวันที่แม่จะทำความสะอาดบ้าน และแม่ก็ทนเห็นเขาจมอยู่บนเตียงทั้งวันไม่ไหว
ดีนี่ย์ ได้มีโอกาสลงเล่นกับทีมชื่อ “เชมส์ลีย์ ทาวน์” ทีมในระดับลีกล่างของมิดแลนด์ และมีแมทช์นึงที่พี่แกเหมา 4 ประตูให้ทีม จนไปเตะตา “มิค ฮัลซอลล์” แมวมองของทีม “วอลซอลล์” ทีมในลีกอาชีพ จนเป็นที่มาของการชักชวนเขาไปลองทดสอบฝีเท้าดู
เป็นคนอื่น คงจะรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ก้าวหน้าในอาชีพค้าแข้ง แต่กับดีนี่ย์ เขาบอกตามตรงเลยว่าตอนนั้น เขาไม่แคร์เลยที่ฮัลซอลล์พูดซักนิด
ฮัลซอลล์ชวนเขาไปทดสอบฝีเท้า แต่เขากลับบอกไปว่า เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวอลซอลล์อยู่ที่ไหน ทั้งๆ ที่มันอยู่ห่างจากบ้านเขาแค่ 10 นาที
ความไม่รู้ของดีนี่ย์ บ่งบอกชัดเจนว่าเขาไม่เคยออกจากย่านแถวบ้าน และไม่เคยคิดกระเสือกกระสนจะออกจากกรอบที่คน 95% ในชุมชนเป็น
แต่โชคยังดี ที่ไม่รู้อะไรดลใจ ให้เขาตัดสินใจไปทดสอบฝีเท้าตามคำชวนของฮัลซอลล์ จนเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางนักเตะอาชีพ
“คงได้เล่นอีกซักปีแหละ เดี๋ยวก็กลับเชมส์ลีย์”
ดีนี่ย์เริ่มต้นจากการทดสอบฝีเท้ากับวอลซอลล์ 1 สัปดาห์ ก่อนจะขยายระยะเวลาไปเป็น 1 เดือน แล้วก็ 3 เดือน เด็กหนุ่มโนเนมยิง 8 ประตูจาก 8 นัดให้ทีมสำรองของวอลซอลล์ และเมื่อถูกยืมไปเล่นให้ “เฮลส์โอเว่น” เขาก็ยิงได้ถึง 8 ประตูจาก 10 นัด
ถึงฟอร์มการเล่นในระดับที่สูงขึ้นจะดีขนาดนี้ แต่ดีนี่ย์กลับยังคงไม่พ้นกรอบความคิดเดิมๆ โดยเขาคิดว่า โอเคแหละ คงได้เล่นให้วอลซอลล์ซักปีนึง ก่อนจะได้กลับไปอยู่กับเชมส์ลีย์ ทาวน์ ทีมลีกสมัครเล่นแถวบ้าน
อย่างไรก็ดี แม้ตัวเขาจะไม่เคยคิดไปถึงอนาคตข้างหน้า ข้อดีของดีนี่ย์ คือเขาจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ขอให้บอกมาเถอะให้ทำอะไร เขาจะทำมันจนสำเร็จ เพราะคนแบบเขา ถ้าปล่อยให้เขาตัดสินใจเองในตอนนั้น เขาจะไม่ทำอะไร นอกจากนั่งๆ นอนๆ อยู่ที่เดิมๆ
สิ่งนั้น ทำให้คนอื่นเห็นคุณค่าของเขา แม้ว่าเขาจะไม่เห็นมันเลยในตอนแรก
“ฉันแค่ให้โอกาสแก ที่เหลือแกสร้างมันขึ้นมาเอง” – ฮัลซอลล์
มีอยู่ครั้งนึง ฮัลซอลล์ที่รับหน้าที่ดูแลเด็กเยาวชนของทีมไปด้วย บอกกับดีนี่ย์ และนักเตะอีก 2 คนที่ถูกยืมตัวไปเล่นให้เฮลส์โอเว่นว่า สโมสรมีสัญญาอาชีพเพียงพอแค่สำหรับคนเดียว และแน่นอนว่า ดีนี่ย์ก็คิดว่ามันคงไม่เป็นของเขาหรอก เพราะคิดเสมอว่า อีก 2 คนเก่งกว่า
มีแมทช์นึง ที่ทั้ง 3 คนต้องเดินทางไปเล่นให้เฮลส์โอเว่นไกลถึงเวลส์ สโมสรก็ไม่ได้มีเงิน ทุกคนต้องเดินทางฝ่าฝนไปเอง ใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมง วันนั้นดีนี่ย์ยิงแฮททริคได้ แต่ไม่มีเวลาให้ฉลอง เพราะพวกเขาก็ต้องรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านและได้นอน ก็ราวตี 3-4 นู่น
พอรุ่งเช้า ฮัลซอลล์โทรหาทั้ง 3 คนตอน 8 โมงเช้า เพื่อเรียกให้มาสโมสร ดีนี่ย์รับโทรศัพท์และเดินทางมา เพราะเขาเห็นว่ามันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ ในขณะที่อีก 2 คนไม่มีใครรับสายเลย
พอแหกขี้ตามาถึง ฮัลซอลล์ก็บอกให้กลับบ้านได้ เขาแค่ทดสอบ ว่านักเตะจะพร้อมเมื่อทีมต้องการมั้ย และดีนี่ย์ก็มาอยู่ตรงนั้น ซึ่งต่อมาเขาคิดว่า เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้เขาได้สัญญาอาชีพกับวอลซอลล์
ดีนี่ย์เคยพูดถึงฮัลซอลล์ว่า เขาเป็นผู้มีพระคุณอย่างสูง เขาให้ทุกอย่างกับดีนี่ย์ แต่กลับกัน หากไปถามฮัลซอลล์ เขาจะบอกแค่ว่า เขาแค่ให้โอกาส ที่เหลือที่มันสำเร็จได้ เพราะดีนี่ย์ สร้างมันเองกับมือทั้งนั้นแหละ
“เลื่อนการติดคุกไปหน่อย ผมจะไปงานศพพ่อ”
หลังจากเล่นให้วอลซอลล์ราว 3 ซีซั่น ในลีกวัน ดีนี่ย์ก็ได้ขยับขยายย้ายไป “วัตฟอร์ด” ในลีกแชมป์เปียนชิพ 2 ซีซั่นแรกกับทีม เขาทำผลงานได้โอเค มีโอกาสลงเล่นมากมาย และเริ่มพังประตูได้เรื่อยๆ
ถึงทุกอย่างจะดูไปได้สวย แต่มันก็ไม่ได้การันตีว่าเขาจะมีเส้นทางสวยหรูให้เลือกเสมอไป ซัมเมอร์ปี 2012 เป็นจุดสำคัญในชีวิต ที่เขาเลือกเดินไปทาง “ขวา” อย่างไม่รู้ตัว
หลังจากเขาสูญเสียพ่อบุญธรรม ที่เขาเคารพรักไปแค่ไม่กี่วัน ดีนี่ย์ออกไปเที่ยวกับน้องชาย และเพื่อน ก่อนจะมีปัญหาทะเลาะวิวาทกับกลุ่มนักเรียน ซึ่งต่อมามีหลักฐานชัดเจนว่ากลุ่มของเขา ทำร้ายร่างกาย ในแบบที่อีกฝ่ายไม่มีทางป้องกันตัวเองได้
ดีนี่ย์ และเพื่อนโดนตำรวจซิวตัว ศาลตัดสินให้ต้องโทษ 10 เดือน และให้จำคุกนาน 3 เดือนทันที ความสิ้นหวัง ทำให้เขาต้องโกหกลูกๆ ว่าจะไปเข้าแคมป์ยาวหลายเดือน แถมยังต้องขอยื่นเรื่องให้การจำคุกดีเลย์ออกไปหน่อย เพื่อไปร่วมฝังศพพ่อบุญธรรม อีกต่างหาก
แน่นอน ไม่ว่าคนเราจะอยู่จุดไหน มีโอกาสจะทำผิด หรือเดินไปทาง “ขวา” ได้ทั้งนั้นแหละ จุดสำคัญคือเราจะกลับมาแก้ตัว และเลือกทางที่ถูกต้องหลังจากนั้นได้มั้ย
ดีนี่ย์ไม่ปฏิเสธที่เขาเลือกทางเดินผิด แต่แทนที่จะโทษนั่นโทษนี่ เขาเลือกที่จะทำให้มันถูกต้อง และตระหนักไว้เสมอว่า ไม่ว่าจะเดินถูกทางมา 100 ครั้ง การเดินผิดหนเดียว อาจทำลายทุกสิ่งลงจนหมด
“คุก มอบสิ่งที่ดีงาม และทำให้ผมเรียนรู้”
ถึงจะต้องติดคุกติดตาราง แต่ดีนี่ย์กลับสามารถหาเรื่องดีๆ จากจุดนั้น เขาเล่าว่าคุกทำให้เขาเป็นคนที่ดีขึ้น และได้พบเพื่อนแท้ในวันที่ต่างคนต่างไม่มีอะไร
ช่วงชีวิตที่ยากลำบากตอนนั้น เพื่อนฝูงที่สังสรรค์ และพบปะในการใช้ชีวิต กลับหายจ้อยไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ หนี้สิน, ค่าแก๊ซทำอาหาร หรือแม้กระทั่งค่าไฟที่บ้าน เขาต้องหาหนทางช่วยเหลือลูกเมียด้วยตัวเอง ไม่มีใครมาห้อมล้อม เหมือนตอนที่เขายินดีเลี้ยงเหล้ายาปลาปิ้ง คนที่คิดว่าเป็นเพื่อนแท้ ก็หายหัว
นอกจากเรือนจำจะทำให้เขากลับมามองชีวิตด้วยความจริง ดีนี่ย์ยังรู้สึกหลังปล่อยตัวได้ว่า สิ่งที่เขาจะทำให้ถูกต้อง คือมุ่งมั่นกลับมาเล่นฟุตบอลให้ดีกว่าเดิม มันเป็นโอกาสสุดท้าย ที่เขาจะเดินไปทาง “ซ้าย” และไม่กลับไปพลาดพลั้งอีก
“ผมจะกลับไปติดทีมภายในสัปดาห์หน้า”
หลังออกจากคุก เขากลับไปมุ่งมั่นกับวัตฟอร์ดอีกครั้ง เขาเล่นเวทเทรนนิ่งให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม และเขาไม่ย่อท้อต่อคำพูดของ “จิอันฟรังโก้ โซล่า” กุนซือในตอนนั้นว่า มีนักเตะในตำแหน่งเดียวกับนายถึง 7 คน ดีนี่ย์แค่หัวเราะ และพูดว่า “ผมจะทำให้ดู ผมจะกลับไปติดทีมภายในสัปดาห์หน้า”
ความมุ่งมั่นของเขาเห็นผล เขากลับมามีส่วนร่วมกับทีมอย่างรวดเร็ว เขายิงในซีซั่นนั้นถึง 19 ประตู และเป็นแกนหลักของทีมมาตลอด จนได้เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกในปี 2016
ซีซั่นแรกของดีนี่ย์ในลีกสูงสุด เขายิงได้ถึง 13 ประตู กับการเล่นกับคู่หูอย่าง “โอเดียน อิกาโล่” ศูนย์หน้าของแมนฯ ยู ในปัจจุบัน
จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ดีนี่ย์ยังสามารถรักษาการเล่นระดับสูงไว้ได้จนถึงปัจจุบัน แม้อายุจะมากขึ้น แต่สไตล์การเล่น และความทุ่มเทไม่เคยเปลี่ยน เขาลงไปเพื่อทำหน้าที่ที่โค้ชต้องการ ให้สำเร็จเสมอ
“มันเห็นแก่ตัวนะ แต่มันเวิร์ค”
เรื่องการปรับจูนความคิดของตัวเอง เป็นอีกเรื่องน่าสนใจที่ทำให้ดีนี่ย์พร้อมกับความท้าทายอยู่เสมอ เขามองเรื่องการแย่งชิงตำแหน่ง และความท้าทายในการเล่น เป็นเหมือนงานที่ได้รับมอบหมาย และต้องทำให้สำเร็จ
เมื่ออายุมากขึ้น ดีนี่ย์ปรับมุมมองนิดหน่อย จากความท้าทาย มาเป็นการ “มอบโอกาส” เขาคิดเสมอว่า การจะได้มาซึ่งโอกาสต้องมีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง ไม่ใช่เห็นแก่ตัวในการเล่น แต่เป็นการเห็นแก่ตัว ที่จะคว้าโอกาสของตัวเองไว้ โดยไม่สนใจว่าอีกคนจะเป็นยังไง เพราะเขาไม่ใช่เจ้าของความคิด และตัวตนของคนอื่น
เรื่องปรับจูนความคิด ยังเป็นจุดสำคัญให้เขาสำรวจความพร้อมของตัวเอง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเข้ามา อย่างการได้รับความสนใจจากทีมอื่น ถ้าหากเขาคิดว่ายังไม่พร้อม เขาก็ไม่คิดให้เสียเวลา นั่นทำให้เขายังคงอยู่กับวัตฟอร์ด มายาวนานเกือบ 10 ปี
“มันแค่งาน ติดดินไว้ และทำหน้าที่เข้า”
เรื่องของการก้าวไปได้รับคำเยินยอ หรือเกียรติยศ ดีนี่ย์บอกจากใจจริงว่าเขาไม่ได้สนใจตรงนั้นเลย เพราะแม้ตอนนี้ผู้คนจะชื่นชอบคุณ แต่อีกแค่ 4-5 ปีถัดไป พวกเขาก็คงหันไปพูดถึงนักเตะคนใหม่กันหมด
เขาคิดแค่ว่าเขาขอทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และพยายามติดดินเข้าไว้ จำว่าตัวเองมาจากไหน ถึงจะได้รายได้มากกว่าคนอื่นทั่วไป แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาพิเศษกว่าใคร
ความไม่ยึดติดชื่อเสียงของตัวเอง ทำให้เขาตั้งเป้าหมายใหม่ไปที่ครอบครัว โดยเขาตั้งใจจะให้แม่ และลูกของเขา มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าที่เขาเคยเป็น
และถ้าต้องพูดถึงตัวเอง เขายังเป็นคนเดิม เด็กคนเดิมจากตึกอาคารสงเคราะห์ ที่มาไกลเกินฝัน เขาไม่ต้องการคำสรรเสริญอะไรเพิ่มเติม ไม่ต้องการเกียรติยศยกย่องอะไรอีก แค่ปล่อยให้เขาทำหน้าที่ของตัวเองไป แค่นั้นก็พอแล้ว
Picture : Goal, The Guardian, This Is Anfield, Birmingham Mail, SPORTbible, Notts TV, ITV, Truthfal, Halesowen News, Express & Star, Sky Sports, Express & Star, Evening Standard, Eurosport, Watford Observer, 90Min, El Arte Del Futbol, Twitter, The Times