การที่ผู้จัดการทีมคนหนึ่งของศึกพรีเมียร์ลีกจะอยู่ในตำแหน่งได้ยาวนานอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานกุนซือ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือ อาร์แซน เวนเกอร์ ยอดโค้ช “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล นั้น มันไม่ใช่เรื่อง่ายแต่อย่างใด เพราะมันต้องขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายสิ่งหลายอย่างรวมกันทั้งการคว้าแชมป์, การบริหารทีม และการรับมือกับบรรดาผู้เล่นมากหน้าหลายตา

ขณะเดียวกัน ในลีกสุงสุดแดนผู้ดีก็มีสิ่งที่ตรงกันข้ามเกิดขึ้นกับสิ่งที่ เฟอร์กูสัน และ เวนเกอร์ เคยทำ นั่นก็คือ ผู้จัดการอีกหลายๆคนที่คุมทีมไม่จบฤดูกาล โดยที่บางคนทำหน้าที่ไปเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น และนี่คือ 10 อันดับกุนซือที่กุมบังเหียนในระยะเวลาที่สั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของศึกพรีเมียร์ลีก

10. สตีฟ วิกลี่ย์ (เซาธ์แฮมป์ตัน 107 วัน)

วิกลี่ย์ สร้างความประหลาดใจให้กับหลายๆคนด้วยการเข้ามาคุมทีม เซาธ์แฮมป์ตันในปี 2004แทนที่ของ พอล สเตอร์ร็อค อดีตกุนซือ “นักบุญ” ที่โดนปลดออกจากตำแหน่ง

ก่อนหน้านั้น วิกลี่ย์ ทำหน้าที่เป็นโค้ชเยาวชนของ เซาธ์แฮมป์ตัน และเคยมีประสบกาณ์ในการเป็นกุนซือเพียงสโมสรเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือ อันเดอร์ช็อต ทาวน์ ทีมนอกลีกในช่วงกลางทศวรรษที่ 90

วิกลี่ย์ ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังด้วยการพา เซาธ์แฮมป์ตัน ชนะ พอร์สมัธ เพียงทีมเดียวจาก 14 เกมที่เขาคุมทีมลงสนาม และในฤดูกาลนั้น “นักบุญ” ก็ตกชั้น และ วิกลี่ย์ ก็อำลาทีมในช่วงซัมเมอร์

9. เคลาดิโอ รานิเอรี่ (ฟูแล่ม 106 วัน)

ในปี 2018 เทรนเนอร์ชาวอิตาเลียน พา ฟูแล่ม ชนะเพียง 3 จาก 16 เกมที่เขาคุมทัพ นอกจากนี้ ระหว่างที่เขาทำงานในถิ่นคราเวน คอทเทจ นั้น นักเตะภายในทีมยังสร้างปัญหามามากมาย อาทิ กรณีที่ อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช และ อาบูบาก้า กามาร่า 2 ดาวเตะ “เจ้าสัวน้อย” ต่อยกันในระหว่างฝึกโยคะ

ขณะเดียวกัน กุนซือเจ้าของฉายา “ทิงเกอร์แมน” ยังโดนแฟนบอล ฟูแล่ม โจมตีเรื่องสไตล์การเล่นของทีมอย่างหนัก จากนั้นไม่นาน รานิเอรี่ ก็โดนไล่ออก และ “เจ้าสัวน้อย” ก็ประกาศแต่งตั้ง สกอตต์ ปาร์คเกอร์ อดีตกองกลางของทีมมาคุมทัพแทน

8. โทนี่ อดัมส์ (พอร์สมัธ 106 วัน)

อดัมส์ ซึ่งเคยเป็นอดีตผู้จัดการทีม วีคอมบ์ วันเดอร์เรอร์ส ในระดับลีก วัน ถูกแต่งตั้งเข้ามาทำหน้าที่กุนซือ พอร์สมัธ แทนที่ของ แฮร์รี่ เร็ดแนปป์ แต่เขาต้องเจอช่วงเวลาที่ยากลำบาก เนื่องจาก “ปอมปีย์” เพิ่งปล่อยนักเตะตัวหลักอย่าง เจอร์เมน เดโฟ และลาซซาน่า ดิยาร์รา ออกจากสโมสรไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม อดัมส์ ไม่ประสบความสำเร็จกับ พอร์สมัธ หลังจากที่เขาพาทีมเก็บชัยชนะได้เพียง 2 จาก 16 เกมที่คุมทีมในลีก ก่อนจะโดนไล่ออกในเวลาต่อมา

7. โคลิน ทอดด์ (ดาร์บี้ เคาน์ตี้ 98 วัน)

กองหลังระดับตำนานของ ดาร์บี้ ถูกแต่งตั้งให้เข้ามาทำน้าที่แทน จิม สมิธ ในปี 2002 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พลพรรค “แกะเขาเหล็ก” กำลังทำผลงานได้อย่างย่ำแย่

ในเวลานั้น ดาร์บี้ กำลังจมอยู่ท้ายตาราง และส่อแววจะล่วงตกชั้นเต็มทีแล้ว ประกอบกับข่าวลือว่า บรรดานักเตะหลักอย่าง คริส ริกกอตต์, มัลคอม คริสตี้ และ เซ็ธ จอห์นสัน เตรียมย้ายออกจากสโมสร

ตลอดเวลา 17 เกม ที่ ทอดด์ คุม ดาร์บี้ นั้น เขาพาทีมแพ้ไปถึง 11 เกม เสมอ 2 และเก็บชัยชนะไปเพียง 4 เกมเท่านั้นรวมทุกรายการ

6. เทอร์รี่ คอนเนอร์ (วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส 91 วัน)

ย้อนกลับไปในปี 2012 คอนเนอร์ ต้องเข้ามารับเผือกร้อนในการเป็นผู้จัดการทีม วูล์ฟแฮมป์ตัน แทนที่ของ มิก แม็กคาร์ธี  ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอย่างยิ่งหลังจาก เจซ ม็อกซี่ย์ อดีตประธานฝ่ายบริหาร “หมาป่า” ยืนยันว่า เขาจะแต่งตั้งคนที่มีประสบการณ์มารับหน้าที่กุนซือ

คอนเนอร์ พา วูล์ฟแฮมป์ตัน เก็บได้เพียง 4 แต้ม จาก 13 เกมในลีก ก่อนพาทีมจบฤดูกาลด้วยอันดับบ็วย และตกชั้นในที่สุด จากนั้น ในช่วงซัมเมอร์ เจ้าตัวก็โดนลดตำแหน่งให้กลับไปเป็นผู้ช่วยกุนซือตามเดิม

5. กิเก้ ซานเชซ ฟลอเรส (วัตฟอร์ด 85 วัน)

ในเดือนกันยายนปี 2019 หลังจากไม่พอใจกับผลงานของ ฆาบี้ การ์เซีย โค้ชชาวสเปน วัตฟอร์ด จึงตัดสินใจหวนกลับไปดึงตัว ฟลอเรส ให้กลับมากุมบังเหียนอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เขาเคยคุมทัพ “แตนอาละวาด” มาแล้วครั้งหนึ่งในฤดูกาล 2015-2016

ในครั้งแรกที่ ฟลอเรส ทำหน้าที่กุนซือ วัตฟอร์ด นั้น เขาพาทีมจบกลางตารางคะแนน แต่ในการกลับมาทำหน้าที่ครั้งที่ 2  ฟลอเรส กลับทำผลงานได้น่าผิดหวังอย่างยิ่ง โดยเทรนนอร์เลือดกระทิงดุพา “แตนอาละวาด” ชนะเพียง 2 จาก 12 เกมที่ลงเล่น ก่อนจะโดนไล่ออกในเดือนธันวาคมปี 2019

4. บ๊อบ แบรดลี่ย์ (สวอนซี ซิตี้ 84 วัน)

ย้อนกลับไปในปี 2016 ชื่อของ แบรดลี่ย์ และ ไรอัน กิ๊กส์ ตำนานปีกชาวเวลส์ ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างเป็นตัวเต็งที่จะได้มาคุมทีม สวอนซี และในที่สุด ฮูว์ เจนกิ้นส์ ประธานสโมสร “หงส์ขาว” ก็ตัดสินใจแต่งตั้ง แบรดลี่ย์ เข้ามาทำหน้าที่กุนซือ

เทรนเนอร์ชาวสหรัฐอเมริกา พา สวอนซี เก็บชัยชนะได้เพียง 2 จาก 11 เกมในลีก และเก็บคลีนชีตได้เพียง 2 นัดเท่านั้น ซึ่งมันไม่น่าแปลกใจเลยที่ แบรดลี่ย์ จะโดนปลดออกจากตำแหน่งอย่างรวดเร็ว

3. แฟรงค์ เดอ บัวร์ (คริสตัล พาเลซ 77 วัน)

ตำนานกองหลังทีมชาติฮอลแลนด์ ถูกแต่งตั้งให้เข้ามาทำหน้าที่ผู้จัดการทีม พาเลซ แทนที่ของ แซม อัลลาไดซ์ โดย เดอ บัวร์ ถูกคาดหวังว่า จะนำสไตล์ฟุตบอลเกมรุกที่สนุกเร้าใจมาสู่ถิ่นเซลเฮิร์ส พาร์ค แต่ทุกอย่างมันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

เดอ บัวร์ นำ พาเลซ ลงเล่นในพรีเมียร์ลีก 4 เกมแรกโดยยิงประตูคู่แข่งไม่ได้เลยแม้แต่ลูกเดียว และทีมดูจะไร้ระบบการเล่นที่ชัดเจน จากนั้น เขาก็โดนไล่ออกหลังจากทำงานได้เพียง 77 วันเท่านั้น

2. เรเน มูเลนสตีน (ฟูแล่ม 75 วัน)

หนึ่งในสุดยอดทีมงานสตาฟฟ์โค้ชของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุค เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานกุนซือ “ปีศาจแดง” ได้โอกาสครั้งสำคัญด้วยการได้มาเป็นผู้จัดการทีม ฟูแล่ม ในปี 2017

อย่างไรก็ตาม มูเลนสตีน ไม่สามารถรักษาตำแหน่งของเขาได้นานนัก หลังจากทำผลงานได้ย่ำแย่ด้วยการพา ฟูแล่ม ชนะเพียง 3 จาก 13 เกมที่คุมทีม ก่อนที่ “เจ้าสัวน้อย” จะไล่เขาออกจากตำแหน่งพร้อมแต่งตั้ง เฟลิกซ์ มากัธ เทรนเนอร์ชาวเยอรมัน เข้ามาทำหน้าที่แทน

1. เลส รีด (ชาร์ลตัน แอธเลติก 41 วัน)

รีด เคยเขียนหนังสือเกี่ยวกับการจัดการทีมฟุตบอลอย่าง “The FA Guide to Basic Team Coaching” ก่อนที่เจ้าตัวจะกลายเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

ตลอดระยะเวลา 6 สัปดาห์ ของ รีด กับ ชาร์ลตัน นั้น มันมีแต่ความน่าผิดหวัง เขาพาทีมตกรอบลีก คัพ ให้กับทีมระดับลีก วัน อย่าง วีคอมบ์ วันเดอร์เรอร์ส ส่วนผลงานในลีกเขาพา “ดาบอัศวัน” ชนะเพียง 1 จาก 8 เกมที่คุมทีม

ในเดือนธันวาคมปี 2006 รีด โดนไล่ออก และ ชาร์ลตัน ประกาศแต่งตั้ง อลัน พาร์ดิว เข้ามาทำหน้าที่แทน

ภาพประกอบ : eadsouthampton.com, fourfourtwo.com, football.london, derbyshirelife.co.uk, skysports.com, zimbio.com