ในรอบ 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา นอกเหนือจากเรื่องโควิด-19 ที่การติดเชื้อในอเมริกายังไม่มีทีท่าจะลดลง ยังมีประเด็นร้อนที่มากับแฮชแท็ค #BlackLivesMatter เพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมของคนผิวสี หลังตำรวจทำเกินกว่าเหตุ ในการจับกุม ด้วยการกดเข่าล็อคคอ “จอร์จ ฟลอยด์” บนพื้น แม้จะมีการร้องขอว่าหายใจไม่ออก จนต่อมาเสียชีวิต ด้วยอาการขาดอากาศหายใจ
กระแสการเรียกร้องทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่เพียงในอเมริกา แต่ยังทวีการพูดถึงไปทั่วทั้งโลก เพราะแม้จะไม่มีการออกมาชุมนุมกันตัวเป็นๆ แต่มีการใช้โซเชียลมีเดีย ร่วมส่งพลังสนับสนุน ไม่เว้นในวงการกีฬา ซึ่งสตาร์ดังมากมาย ออกมาร่วมแสดงจุดยืนด้วยเช่นกัน
มองผิวเผิน มันอาจเป็นแค่การแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ และถูกแบ่งชั้นทางสังคม แต่หากมองลงไปในรายละเอียดแล้ว มันมีความหมายลึกซึ้ง และเหตุผลของการยืนหยัดต่อสู้ของหลายคน มากกว่าที่เราเห็น
ที่มาของ Black Lives Matter
ถึงจะได้ยินกันทั่วไปในขวบปี 2020 นี้ แต่ความจริงแล้ว การเคลื่อนไหวที่ใช้คำว่า “Black Lives Matter” นั้น เริ่มมาตั้งแต่ปี 2013 หรือเมื่อ 6-7 ปีก่อน จากเหตุการณ์สูญเสียชีวิตของเด็กหนุ่มผิวดำนาม “เทรย์วอน มาร์ติน”
เทรย์วอนวัยเพียง 17 ปี ถูกยิงเสียชีวิตโดย “จอร์จ ซิมเมอร์มันน์” ชายผิวขาว ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าระวังของชุมชน โดยซิมเมอร์มันน์อ้างว่ากระทำไปเพื่อป้องกันตัว และท้ายที่สุดศาลก็เห็นด้วยตามนั้น
เมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งที่หนุ่มน้อยเทรย์วอน ไม่มีอาวุธต่อสู้ จึงมีการเรียกร้องความยุติธรรม จากเหล่านักรณรงค์ (แอคติวิสท์) ผิวดำ โดยใช้แฮชแท็ค #BlackLivesMatter ซึ่งแปลเข้าใจตรงตัว และตรงความหมายว่า “ชีวิตคนดำ ก็มีความหมาย”
ความจริงแล้ว การรวมกลุ่มอย่างแข็งแกร่ง ไม่ได้เกิดขึ้นแบบปุบปับทันทีทันใด แต่เพราะคนผิวดำในอเมริกา คุ้นเคยกับการดูถูก และถูกกีดกันจากความเท่าเทียม มาตั้งแต่ยุคสงครามกลางเมืองนู่น แม้ปัจจุบันจะดีขึ้นมาก แต่มันก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุเกิดขึ้นเลย อย่างที่เราเห็นในเคสล่าสุดกับ “จอร์จ ฟลอยด์”
การแบ่งแยกสีผิว และชนชั้นในอเมริกา มีความเข้มข้นมาแต่ไหนแต่ไร เพราะสมัยก่อน คนผิวขาวมองว่าตัวเองเหนือกว่า แม้หลังสงครามกลางเมือง จะมีกฎหมายที่พูดถึงความเท่าเทียมชัดเจนขึ้น แต่กฎย่อยของแต่ละรัฐ ก็ยังมีการแบ่งแยกชัดเจน จนก่อเกิดการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน
สำหรับคนที่ยังไม่ค่อยทราบรายละเอียด สามารถไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ เพราะมีการเคลื่อนไหวในหลากหลายชื่อ ทั้งแบบสันติ และนำไปสู่การปะทะ หรือการทำให้โลกได้ชื่นชม และสูญเสีย “มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์” บุคคลชื่อก้อง เรื่องการเรียกร้องสิทธิเท่าเทียม
ยกตัวอย่างมาพูดสั้นๆ ก็คือ เมื่อก่อนยังมีการแบ่งแยกหนักข้อมากในอเมริกา บางอาคารมีทางเข้าของคนผิวขาว แยกจากผิวดำ, รถบัสแบ่งแถวนั่งกัน ถ้าคนขาวไม่มีที่นั่ง คนดำต้องลุกให้นั่ง, ห้องน้ำแยกกัน, โรงเรียนแยกกัน และมีร้านอาหารที่ไม่ต้อนรับคนดำเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นจริง ในยุคไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี้เอง
Black Lives Matter กับวงการกีฬา
แน่นอนว่ากระแสการแสดงจุดยืนต่อต้านการกระทำที่ไม่เป็นธรรม จะเริ่มจากดินแดนของเรื่องราวอย่างอเมริกาก่อน เพราะนอกจากความคุ้นชินของปัญหา จนเป็นเหมือนเชื้อไฟที่จุดติดง่าย นักกีฬาหลายคนก็เคยเจอกับปัญหานี้กับตัวเอง หรือไม่ก็คนใกล้ตัว
คนใกล้ตัวไม่ต้องไปยกตัวอย่างไกล เพราะ “จอร์จ ฟลอยด์” ผู้จากไป มีเพื่อนวัยเด็กคือ “สตีเฟน แจ็คสัน” อดีตนักบาสเก็ตบอล NBA ผู้เคยคว้าแหวนแชมป์มาแล้วกับซาน อันโตนิโอ สเปอร์
แจ็คสันออกมาเป็นแกนนำการเรียกร้องความยุติธรรมตั้งแต่ต้น และเป็นหนึ่งในผู้ผลักดันสำคัญ ให้เสียงจากผู้รณรงค์ กระจายไปสู่วงกว้าง โดยหวังว่าการตายของเพื่อนเขาจะไม่สูญเปล่า แม้มันไม่อาจจะชดเชยชีวิตที่เสียไป และความสูญเสียของคนรอบข้าง
หลังจากนั้น มีนักกีฬาที่มีชื่อเสียงมากมาย ออกมาร่วมเรียกร้อง ทั้ง “ไมเคิล จอร์แดน”, “ไทเกอร์ วู้ดส์”, “เซเรน่า วิลเลียมส์”, “นาโอมิ โอซากะ” นักเทนนิสผิวสีลูกครึ่งญี่ปุ่น-เฮติ ซึ่งไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อมากนัก ก็ไม่อาจอยู่เฉย หรือ “ลูอิส แฮมิลตัน” แชมป์โลก F1 ชาวอังกฤษ ที่อกมาสะกิดคนในวงการความเร็ว ว่าเขาเห็นว่าหลายคนยังนิ่งเฉยต่อเรื่องนี้อยู่
การเรียกร้องจากการโพสต์ในโซเชียลมีเดีย ที่มีคนตามนับล้าน ย่อมส่งแรงกระเพื่อมใหญ่ในสังคมทั่วโลก รวมทั้งยังมีหลายการเรียกร้อง ที่ลึกซึ้ง และทำให้หลายคนเข้าใจว่ามันมีความสำคัญกระทบจิตใจแค่ไหน
อย่าง “โคโค กอฟฟ์” นักเทนนิสผิวสีชาวอเมริกัน วัยเพียง 16 ปี ซึ่งเธอได้ใช้ Tiktok โซเชียลมีเดียที่ปกติเต็มไปด้วยความบันเทิง ให้กลายเป็นช่องทางออกเสียงต่อต้านการกระทำอันโหดร้าย และปิดท้ายด้วยท่าทางเหมือนมอบตัว และคำถามที่หนักหน่วงว่า “หรือฉันจะเป็นคนต่อไป?”
หรือการโพสต์โซเชียลมีเดีย ตั้งแต่แรกๆ ของ “เลบรอน เจมส์” สตาร์อันดับ 1 ของ NBA คนปัจจุบัน ที่ใช้ภาพชาย 2 คนคุกเข่า ด้วยวัตถุประสงค์แตกต่างกันสุดขั้ว
ทางซ้ายของภาพ เป็นรูปการเอาเข่ากดคอฟลอยด์ของตำรวจนายนั้น พร้อมกับคำว่า “This…” ส่วนทางด้านขวา เป็นรูปนักอเมริกันฟุตบอลคนนึง ที่คุกเข่ากับพื้น พร้อมกับคำว่า “…Is Why.”
ความหมายของภาพ คือการระบุว่า เพราะสิ่งที่เกิดในรูปซ้าย จึงเป็นเหตุผลให้เราต้องออกมาเรียกร้องแบบภาพขวา ซึ่งเป็นภาพของ “โคลิน เคเปอร์นิค” บุคคลสำคัญในการแสดงพลังเรียกร้องในวงการกีฬา ที่เราไม่พูดถึงไม่ได้
ใครคือ โคลิน เคเปอร์นิค?
ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าการที่ “คิงเจมส์” เลือกใช้รูปคุกเข่าของเคเปอร์นิค ย่อมแสดงให้เห็นว่า การแสดงออกของอดีตควอเตอร์แบ็คซานฟรานซิสโก โฟร์ตี้ไนน์เนอร์ส มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเรียกร้องความเท่าเทียม
“โคลิน เคเปอร์นิค” เป็นควอเตอร์แบ็คที่ฝีไม้ลายมือไม่ธรรมดา แต่ที่ทำให้คนจดจำได้ดี กลับเป็นการปฏิเสธยืนเคารพเพลงชาติอเมริกาก่อนเริ่มเกม ซึ่งถือเป็นระเบียบปฏิบัติประจำที่ทุกคนทำกันด้วยความภาคภูมิใจ และหลายคนใช้เป็นการบิวท์อัพให้ฮึกเหิมก่อนลงเล่น
เคเปอร์นิค เริ่มต้นด้วยการปฏิเสธการยืน โดยให้เหตุผลว่าเขาไม่อาจเคารพธงชาติด้วยความภาคภูมิใจต่อประเทศที่มีการกีดกันคนผิวดำ ซึ่งเรื่องนี้มันยิ่งใหญ่เกินกว่าอเมริกันฟุตบอล และมันก็คงเห็นแก่ตัว ถ้าเขานิ่งเฉย ไม่แสดงออกอะไรเลย ทั้งที่คนสีผิวเดียวกันนอนเป็นศพอยู่ข้างถนน อย่างไม่เป็นธรรม
การเรียกร้องที่เข้มข้นของเคเปอร์นิค เกิดขึ้นในเวลาต่อมา เมื่อเขาแสดงท่าคุกเข่าข้างนึงกับพื้น ขณะเพลงชาติอเมริกาดังขึ้น เพื่อแสดงออกว่า ธงชาติไม่สามารถแสดงถึงสิ่งที่ควรเป็น ซึ่งการกระทำของเขา ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากมาย
ไม่เพียงแต่ประชาชนทั่วไป ที่ผิดหวังกับการไม่ให้เกียรติต่อเพลง และธงชาติ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ก็ออกมาตอบโต้การกระทำของเคเปอร์นิค ด้วยการกดดันให้ NFL ออกบทลงโทษ เพราะมันถือเป็นการไม่แสดงความรักชาติ
หลังจากนั้น มีนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล เริ่มแสดงออกแบบเดียวกับเคเปอร์นิค จน NFL ต้องออกกฎว่าการยืนเคารพธงชาติ เป็นสิ่งที่ต้องทำก่อนแข่งขัน และผลกระทบที่หนักหน่วงที่สุด ก็มุ่งเป้าไปที่เคเปอร์นิค และส่งผลให้เขาต้องไม่มีสังกัด ในเวลาต่อมา
หลังโฟร์ตี้ไนน์เนอร์ส ไม่ต่อสัญญา ก็ไม่มีทีมไหนเซ็นสัญญากับเขา มีแค่เพียงเรียกไปทดสอบแต่ก็ลงเอยด้วยการไม่เซ็นสัญญา ซึ่งหลายสื่อเชื่อว่า ทีมต่างๆ ไม่กล้าร่วมงานกับนักกีฬาที่เข้าไปยุ่งกับประเด็นการเมืองจนเกินตัว โดยถึงตอนนี้ เคเปอร์นิคก็ยังไม่มีทีมสังกัด
อย่างที่ทราบกัน ว่าที่นั่น มีกระแสวิจารณ์แตกออกไป 2 ทาง ทั้งรู้สึกว่าเหมาะสม ที่จะแสดงออก จนได้รับรางวัลจากคุณค่าในสิ่งที่ทำหลากหลายรางวัล แต่กลับกัน อีกส่วนก็มองตรงกันข้าม เพราะเป็นการแสดงออกว่าไม่รักชาติ และเคารพในสิ่งที่ควร
เสียงวิพากษ์ในสังคม กลายเป็น “ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์” กันแพร่หลายระดับโลก เมื่อ “ไนกี้” แบรนด์กีฬายักษ์ใหญ่ ตัดสินใจเซ็นสัญญาเคเปอร์นิค ให้มาเป็นหนึ่งในพรีเซ็นเตอร์หลัก ฉลองครบรอบ 30 ปี พร้อมกับสโลแกนที่หนักแน่นดังเดิมว่า “Just Do It”
คำว่า “Just Do It” ของไนกี้ ถูกขยายความด้วยประโยคที่ชัดเจน ว่า “การเชื่อมั่นในบางสิ่ง แม้มันจะต้องเสียสละทุกสิ่ง” ซึ่งถือเป็นการสนับสนุนการยืนหยัดต่อสู้ของเคเปอร์นิค ทั้งที่สังคมยังคลุมเครือว่าถูกหรือผิด
ช่วงแรกเมื่อแคมเปญของไนกี้ออกไป พวกเขาได้รับกระแสต่อต้านในวงกว้าง จากชาวอเมริกันอนุรักษ์นิยม จนถึงขนาดมีการเผาสินค้าไนกี้เพื่อประท้วง เช่นเดียวกับทรัมป์เจ้าเดิม ที่ตอกย้ำว่า ไนกี้กำลังขุดหลุมฝังตัวเอง
การต่อต้านในหลายส่วนที่อเมริกา ทำให้หุ้นของไนกี้ตกลงทันที แต่ในอีกมุมนึง คนดังหลายคน, สื่อหลายสื่อ และคนทั่วไปอีกมากมาย กลับชื่นชมความกล้าหาญของไนกี้ และเคเปอร์นิค จนการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ตีกลับ เป็นบวกสุดขีด พาหุ้นของไนกี้ดีดกลับมาในเวลาต่อมาไม่นาน
ภาพลักษณ์ของไนกี้ กลายเป็นกระแสบวก ตัวเคเปอร์นิคเอง ก็กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการเรียกร้องความยุติธรรม ดังที่เราเห็น “เลบรอน เจมส์” นำภาพของเขาไปแทนสิ่งที่ทุกคนควรตระหนัก เมื่อมีความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นกับคนผิวสี
นับจากนั้น เคเปอร์นิคแสดงออกเสมอเมื่อมีความไม่เท่าเทียมเกิดขึ้น เช่นเดียวกับการออกมาแสดงจุดยืนต่อเหตุการณ์ของฟลอยด์ ด้วยการยืนยันว่าทุกคนมีสิทธิ์ตอบโต้ และสู้กลับกับความอยุติธรรม ที่กัดกร่อนสังคมอเมริกันมายาวนาน
Black Lives Matter กับฟุตบอล
เมื่อการคุกเข่าบนพื้น กลายเป็นสัญลักษณ์โต้กลับการคุกเข่าอันทารุณบนร่างของฟลอยด์ ที่มันดังไปกว่าแค่ชีวิตของชายผิวดำเพียงคนเดียว วงการอื่นๆ รวมถึงวงการฟุตบอลก็ใช้สัญลักษณ์นั้น แสดงจุดยืนเช่นกัน
ภาพที่เห็นชัดเจน คือการแสดงสัญลักษณ์ของนักเตะลีกเยอรมัน ที่ลีกของพวกเขา กลับมาแข่งขันออกสื่อก่อนใคร ตามมาด้วยการคุกเข่าร่วมกันของนักเตะ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล รอบวงกลมกลางสนามแอนฟิลด์ จากไอเดียต้นคิดของ “เวอร์จิล ฟาน ไดค์” และ “จอร์จินิโอ้ ไวจ์นาดุม” สองนักเตะดัทช์ผิวสี
นอกเหนือจากการแสดงออกในลีกเมืองเบียร์ ทั้งคู่ยังได้แรงบันดาลใจจากการโพสต์แสดงความเห็นบนโซเชียลมีเดียของ “เรียน บริวสเตอร์” ศูนย์หน้าดาวรุ่งเพื่อนร่วมทีม ซึ่งเคยผ่านการเหยียดผิว มาตั้งแต่ยังเป็นแค่นักเตะเยาวชน ทั้งในและนอกสนาม
ถัดไปไม่นาน สโมสรมากมาย เช่น เชลซี, ดอร์ทมุนด์ และนักเตะชื่อดังทั้ง มาร์คัส แรชฟอร์ด, เจดอน ซานโช, พอล ป็อกบา, เดวิด เบ็คแฮม ก็ต่างออกมาแสดงจุดยืนเดียวกันผ่านช่องทางต่างๆ ในบุนเดสลีก้าเอง การมีการแสดงสัญลักษณ์มากมาย รวมถึงปลอกแขนรณรงค์ ที่นักเตะใส่ลงเล่นกันอย่างแพร่หลาย
ก้าวต่อไปในวงการกีฬา
แน่นอนว่าการประท้วงของบุคลากรทางกีฬา คงจะไม่เข้มข้นเท่าการไปเดินประท้วงบนท้องถนนอย่างในอเมริกา แต่ทุกภาคส่วนก็แสดงออก และส่งพลังช่วยเหลือกันเต็มที่ เท่าที่ทุกคนทำได้
พรีเมียร์ลีก, บุนเดสลีก้า และ NFL ของศึกอเมริกันฟุตบอล ก็ออกมายืนยัน ว่าจะไม่มีการลงโทษผู้เล่น ที่แสดงออกถึงการสนับสนุน “Black Lives Matter” ไม่ว่าจะเป็นการไม่เคารพต่อเพลงชาติ หรือแสดงท่าทางระหว่างแข่งขัน
นอกเหนือจากการแสดงออกกันทั้งอากัปกิริยา และการโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดีย นักกีฬาหลายรายก็ประกาศบริจาคสนับสนุนการเรียกร้องความยุติธรรมของคนผิวสี เช่นเดียวกับคนดังมีชื่อเสียงจากวงการอื่นๆ อีกมากมาย
สุดท้ายแล้ว มันคงยากแหละ ที่จะหาจุดจบ และความเท่าเทียมได้อย่างทันทีทันควัน เพราะไม่งั้นคงไม่มีการต่อสู้มาอย่างยาวนานเกินกว่าร้อยปี จนถึงวันนี้
แต่อย่างน้อยการเปล่งเสียงออกมาจากทุกหนแห่ง ก็น่าจะทำให้คนที่ไม่ได้ตระหนักถึง ได้ฉุกคิด และหันมามองความเหลื่อมล้ำบ้างไม่มากก็น้อย
เพราะ “ความเท่าเทียม” เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ไม่ว่าคุณจะเป็นคนโด่งดัง หรือสามัญชนธรรมดาทั่วไป ในฐานะที่มนุษย์ทุกคน ควรถูกวัดกันที่คุณค่า และความสามารถ มากกว่าสีผิวที่เลือกไม่ได้มาตั้งแต่ลืมตาดูโลก
Picture : Goal.com, Surrey Live, The Village Voice, Anadou Agency, Urban Institute, Sutori, Complex, The Press Stories, Daily Mail, News18, Midden Press-Herald, ABC News, CNN, Mother Jones, The Brock Press, Ex, TRT World, Philadelphia Inquirer, People | HowStuffWorks
Clip : YouTube (Doctor Donahue)