ถึงจะโดนโควิด-19 เบรกกระแสไปพอสมควรก่อนหน้านี้ แต่สุดท้าย “ฉลาดเกมส์โกง เดอะซีรีส์” หรือฉลาดเกมส์โกงที่ถูกปรับรูปแบบให้กลายเป็นละคร ก็คลอดออกมาในที่สุด พร้อมกระแสตอบรับที่ดีทีเดียว แม้ก่อนนี้จะมีหลายคนเป็นห่วง กับการเอาของดีอยู่แล้วกลับมาทำใหม่
การนำกลับมาทำใหม่ของ GDH ทั้งที่ความสำเร็จอย่างสูงของเวอร์ชันภาพยนตร์ ยังไม่ทันจะจางหายเท่าไหร่ ย่อมเหมือนเป็นการเจอข้อสอบที่โหดหินขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว
ซึ่งเราจะดึงประเด็นต่างๆ มาเปรียบเทียบในการรีวิวด้วย เพราะเชื่อว่าหลายคนที่ประทับใจกับเวอร์ชันหนังยาว จะออกลูกลังเลว่าจะดูเวอร์ชันละครนี้ดีมั้ย / อ้อ… รีวิวนี้ ไม่มีสปอยล์แน่นอนครับ ใครยังไม่ได้ชม อ่านได้ไม่ต้องกังวล
นักแสดง และตัวละคร
ปฏิเสธไม่ได้ว่านักแสดงที่มารับบท เป็นภาพลักษณ์อย่างแรกที่ทุกคนจะจับตามอง เพราะเซ็ตเก่าทั้งตัวนักแสดง และบทบาทในเรื่อง ทำได้เข้าขั้นยอดเยี่ยม เทียบกับเหล่านักแสดงเซ็ตใหม่ ที่มี “มือใหม่” ในความคิดหลายคนอยู่เกือบยกเซ็ต
ลิน (จูเน่-เพลินพิชญา)
บทบาทที่ถูกเปรียบเทียบที่สุด หนีไม่พ้น “ครูพี่ลิน” เพราะ “จูเน่-เพลินพิชญา” ถูกปรามาสไว้พอสมควร ด้วยชั่วโมงบินที่น้อย และมีผลงานเด่นกับการเป็นไอดอลมากกว่านักแสดง
อย่างไรก็ดี หากคนที่เคยมีโอกาสได้ชมซีรีส์ของ GDH ก่อนนี้อย่าง “One Year 365 วัน บ้านฉัน บ้านเธอ” มา จะเห็นว่าจูเน่มีฝีไม้ลายมือไม่เบา เสน่ห์ในตัวเธอถือว่าน่าสนใจ การสวมบทบาทเป็นตัวละครก็ทำได้ดีแนบเนียน
บทของ “ลิน” ถูกปรับให้มีความละเอียด และเข้าถึงได้ง่ายขึ้นผ่านการแสดงของจูเน่ ซึ่งใช้เวลาไม่นาน ก็สามารถทำให้ผู้ชมสามารถเข้าถึงตัวละครได้โดยไม่เปรียบเทียบกับบทบาทที่ “ออกแบบ-ชุติมณฑน์” เคยแสดงไว้
การแต่งเติมสีสันอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร ยังทำให้มัน “เข้ามือ” ของจูเน่มากขึ้นด้วย โดยเราจะได้เห็นสีหน้า และแววตาที่แตกต่างจากเวอร์ชันภาพยนตร์ ซึ่งเมื่อทำได้ราบรื่น ก็ยิ่งทำให้เราล้างภาพเวอร์ชันหนัง ออกไปได้อย่างรวดเร็ว
แบงค์ (เจ้านาย-จินเจษฎ์)
คนที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดในแว่บแรก หนีไม่พ้น “เจ้านาย-จินเจษฎ์” เพราะบท “แบงค์” ในเวอร์ชันหนัง มีการเล่นกับอารมณ์ที่ขึ้นสุด-ลงสุดบ่อยครั้ง จนทำให้คนคุ้นตากับการรับบทไว้ของ “นนกุล-ชานน” การจะสร้างตัวละครซ้ำรอยเดิม ย่อมมีความเสี่ยงสูงลิบ ยิ่งบุคลิกของเจ้านาย แตกต่างจากบทแบงค์ในหนังคนละขั้ว
โดยส่วนตัวแล้ว คาแรคเตอร์แบงค์ในเวอร์ชันหนัง เป็นตัวละครที่ผมทั้งชอบและไม่ชอบปะปนกัน แน่นอนว่าเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเติมเต็มเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างดีเยี่ยม เพียงแต่เวลาที่สั้นของหนัง ทำให้บทแบงค์มีความกระโดดไปมาสูง จนสัมผัสได้ถึงความ “ล้น” ของการแสดงในบางซีน
ซึ่งจุดที่ทำให้รู้สึก “ล้น” นั้น ดูจะถูกปรุงแต่งได้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นในเวอร์ชันละคร เพราะมีเวลาในการบ่ม และทำความรู้จักกับตัวละครมากขึ้น ถึงแม้ในช่วง EP แรกๆ จะยังไม่ได้เห็นอารมณ์ที่บีบคั้นเหมือนกับในหนัง แต่ก็ทำให้เราเข้าถึงตัวละครของแบงค์มากขึ้น และรู้สึกว่ามันเป็นแบงค์ที่ดูเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
เจ้านาย สามารถทำให้เราเชื่อในการสวมบทแบงค์ในช่วง EP แรก ที่มีพื้นเพชีวิตน่าเห็นใจ ระคนกับการถูกซ้ำเติมปมด้อยบ่อยครั้ง ก็เหลือแต่การพัฒนาตัวละครใน EP ถัดๆ ไปของแบงค์ ว่าพอถึงการเค้นอารมณ์ เจ้านายจะทำหน้าที่ได้ดีแค่ไหน ต้องติดตาม
พัฒน์ (ไอซ์-พารีส)
ตัวละคร “พัฒน์” เองก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะฝีมือการแสดงของ “เจมส์-ธีรดนย์” ถือว่าเข้าขั้นอยู่แล้ว ตอนที่รับบทในภาพยนตร์ ถึง “ไอซ์-พาริส” จะเคยผ่านงานแสดงมาบ้าง แต่การสวมบทพัฒน์ ที่ดูพลิกคาแรคเตอร์สำหรับไอซ์ ก็ดูจะท้าทายไม่เบา
เท่าที่ได้สัมผัสในช่วง 4 EP แรก “พัฒน์” ในเวอร์ชันละครนั้น มีความลึกในอารมณ์มากกว่า ตามประสาการที่ละครมีเวลาบอกเล่าเรื่องราวได้มากกว่าหนัง พัฒน์ในเวอร์ชันนี้ดูจะมีความซับซ้อนในตัวตนอยู่ และมีมุมที่ละครพยายามให้ผู้ชมเข้าใจที่มาที่ไป ของการกระทำแต่อย่างของเขา
ตัวไอซ์เองแสดงได้ดีทีเดียว ถึงตอนแรกจะมีติดเรื่องของสำเนียง และภาพลักษณ์ขี้เล่นที่เราเห็นตัวตนจริงๆ เขาเป็น แต่พอมีเนื้อหาที่พัฒนาตัวละครมากขึ้น เราเริ่มเข้าใจว่าเขาสวมบทพัฒน์ได้ดี จะบอกว่าบทปรับให้พัฒน์เป็นไอซ์ หรือไอซ์สวมตัวตนเป็นพัฒน์ได้แนบเนียน อันนี้ตอบได้ไม่ชัด แต่ก็แสดงว่ามันทำให้เราเชื่อได้
เกรซ (นาน่า-ศวรรยา)
ปิดท้ายด้วย “เกรซ” ซึ่งในหนังไม่ค่อยมีเวลาพูดถึงตัวละครนี้ ให้เห็นตื้นลึกหนาบางมากนัก การได้ “นาน่า-ศวรรยา” มารับบท จึงไม่ถูกกดดันในแง่บทบาท เท่ากับคำถามว่า เวอร์ชันละครจะปรับแต่งให้เกรซ ดูมีมิติเพิ่มขึ้นกว่าเดิมได้ยังไง
ตัวละคร “เกรซ” ในเวอร์ชันละคร แสดงความคิดข้างในออกมาเด่นชัดขึ้นมาก เรียกได้ว่าเป็นนางรองได้อย่างเต็มปาก ความสดใสของตัวละคร เข้ากับตัวตนของนาน่าได้ดี แต่พอมีซีนอารมณ์ซึ่งต้องการที่มาที่ไป ก็ทำให้เราได้เห็นมิติที่แตกต่างไปในการแสดง ซึ่งเป็นโทนที่แตกต่างจากตัวละคร “เหม่เหม” บทสร้างชื่อของเธอจากเลือดข้นคนจาง
จุดน่าติดตามต่อใน EP ถัดไป คือจะหาจุดแลนด์ดิ้งให้ตัวละครเกรซยังไงให้ไม่หนักเกินไป และไม่ถูกกลืนหายไปจากโครงเรื่อง เพราะการปูว่าตัวละครนี้มีส่วนร่วมมากขึ้น ย่อมเป็นช่องเปิดกว้าง ที่วัดใจว่าบทละครจะน่าสนใจแค่ไหนด้วย
เนื้อหาที่แยบยล
แน่นอนว่าความสำเร็จของเวอร์ชันหนัง ส่วนสำคัญที่ได้รับคำชื่นชมล้นหลาม มาจากเนื้อหา และเรื่องราวที่ถูกนำเสนอเป็นภาพยนตร์ได้ลงตัว เป็นภาษาสากลที่ทำให้ทั้งในไทยและต่างประเทศ สามารถเข้าใจทั้งหมดทั้งมวลแจ่มชัด
นอกจากขั้นตอนของ “กลโกง” ที่ตีแผ่สังคมได้ “ฉลาด” ของเวอร์ชันหนัง ยังทำให้การดำเนินเรื่องคมชัด รวดเร็ว ไม่ว่าคุณจะดูเอาความบันเทิง หรือจะดูเอารายละเอียด มันตอบโจทย์ค่อนข้างครบ
ดังนั้น การที่เวอร์ชันละครเลือกที่จะ “ขยายความ” สิ่งต่างๆ ให้มากขึ้น ด้วยเวลาที่เยอะขึ้น ดูเผินๆ อาจจะน่าสนใจ แต่ย่อมหลีกเลี่ยงข้อสงสัยไม่ได้ ว่าจะทำให้ความคมชัดน้อยลงไปหรือเปล่า
ซึ่งจากที่ได้ชมมา 4 EP ถือว่า GDH ทำได้ดีเลย กับการเก็บจุดกิมมิคเดิมไว้ แต่ขยายรายละเอียดด้วยการทำการบ้านที่ลึกซึ้งขึ้น ซีนไหนที่เคยเป็นที่สงสัย ก็มีการปรับให้ลงตัว ซีนไหนสามารถขยี้ให้เข้าถึงตัวละคร และสังคมมากขึ้น ก็กล้าที่จะหยิบมันใส่ลงมา โดยยังคงความสนุกในการเดินเรื่องฉับไวไว้
รายละเอียดที่มากขึ้น และความใหม่ในเนื้อหาย่อยที่วางลงมา ทำให้เราสามารถสัมผัสอารมณ์ของหนังที่เปลี่ยนไป จากหนังที่ดูสนุกและน่าลุ้นตาม กลายเป็นเวอร์ชันละครที่รสชาติหลากหลาย ดราม่าเข้มขึ้น ระทึกยิ่งขึ้น ความสัมพันธ์ในองค์ประกอบมากขึ้น โดยอารมณ์ของโครงหลัก ไม่ได้ถูกลดทอนลงจนเกินไป
ระยะเวลาที่มากขึ้นกว่าหนัง ทำให้ GDH สามารถเพิ่มความแยบยลของซีน, องค์ประกอบโปรดักชัน และการแสดงออกของตัวละครลึกขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย จุดนี้ทำให้ผู้ชมละคร รู้สึกได้ถึงความสดใหม่ และอินไปกับสิ่งถ่ายทอดออกมา โดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบว่าหนังหรือละครดีกว่ากัน
น่าสนใจว่า EP ต่อจากนี้ ซึ่งเรื่องต้องขมวดปมเข้มข้นขึ้น สเกลการโกงที่ใหญ่ขึ้น และตัวละครที่ต้องแสดงมุมที่แตกต่างออกมามากขึ้น จะทำให้คงความสนุก และสดใหม่ได้แค่ไหน โดยเฉพาะกับการยืนยันว่าละครจะมี “ตอนจบต่างจากเดิม” ยิ่งเปรียบเหมือนดาบสองคม ซึ่งจะนำมาสู่การเปรียบเทียบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
งานโปรดักชัน
พูดถึงด้านบนไปนิดนึง เพราะมันเกี่ยวพันกับความแยบยลที่ GDH ทำได้ แต่ที่ต้องแยกเรื่องโปรดักชันออกมาพูดด้วย เพราะ 4 EP แรก งานโปรดักชันถือว่าโดดเด่น และถูกพูดถึงอย่างมาก ไม่แพ้ปัจจัยอื่นเลย
โดยส่วนตัวแล้ว ผมค่อนข้างชื่นชอบงานของผู้กำกับ “พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์” มาตั้งแต่ “Project S The Series | SOS skate ซึม ซ่าส์” เป็นทุนเดิม และสงสัยว่าเขาจะนำเอาสไตล์ของตัวเองมาใส่กับฉลาดเกมส์โกงเวอร์ชันละครยังไง ในเมื่องานหนังเดิมของ “บาส-นัฐวุฒิ” มีลายเซ็นที่โคตรชัด
ปรากฏว่าพอได้ชม เราได้เห็นลายเซ็นของพัฒน์ออกมาในฉลาดเกมส์โกงได้จริงๆ การเลือกองค์ประกอบฉาก และสิ่งแฝงนัยยะสื่อความหมาย หรือแม้แต่ดนตรี/เพลงประกอบ ถูกหยิบออกมาใช้สอดคล้องกับเนื้อหารายละเอียดที่เพิ่มมา โดยไม่ไปรบกวนซีนจำซึ่งถูกยกมาจากหนัง
การเลือกโฟกัสภาพไปที่ตัวละครแบบไม่เร่งรัด เพื่อให้ผู้ชมได้เห็นอินเนอร์ และเข้าใจตัวละคร พัฒน์ยังคงทำได้ดีไม่ต่างจากที่ทำใน SOS โดยการที่ส่งซีนได้ถึงขีด ทำให้เหล่านักแสดงต่างได้รับคำชมไปด้วยเช่นกัน
ต้องติดตามชมต่อกับเนื้อหาที่ยังเหลืออีกหลายส่วน เช่นเดียวกับตัวละครรุ่นใหญ่ทั้งหลาย ที่จะก้าวเข้ามามีบทบาทมากขึ้น งานภาพและโปรดักชันต่างๆ จะออกมาส่งเสริมแค่ไหน เราคงได้เห็นฝีมือกัน
สรุปผลสอบเบื้องต้น
หลังจากผ่านไปเรียบร้อยแล้ว 4 EP (ขณะที่เขียนบทความอยู่) ต้องยอมรับเลยว่า “ฉลาดเกมส์โกง” เวอร์ชันละคร สร้างมาตรฐานไว้ได้สูง และคู่ควรต่อคำชม จะเรียกว่ามากกว่าที่หลายคนคาดไว้ ก็คงจะไม่ผิด
จุดแข็งสำคัญคือการคงโครงเรื่องหลักที่สะท้อนสังคมในแง่ของ “การโกง” และสิ่งบีบคั้นให้ตัวละครเลือกทางเดินที่ไม่ถูกไม่ควร แต่สามารถขยายให้เห็นความลึกของทั้ง 2 ส่วนได้มีชั้นเชิงที่ไม่จำเจ และไม่ก่อให้เกิดการเปรียบเทียบ ผู้ชมเลยสัมผัสได้ถึงความสดใหม่ และอยากติดตามต่อเรื่อยๆ
งานโปรดักชันกลายเป็นอีกสิ่งที่สื่อถึงการทำการบ้านอย่างหนัก และกระตุ้นให้ผู้ชมอยากย้อนไปชมตอนที่ดูผ่านมาแล้ว ซึ่งส่วนนี้ส่งผลดีต่อการพูดต่อในโซเชียล ซีนนู้นซีนนี้ถูกพูดถึงหลากหลาย อาจจะไม่เท่ากับ “เลือดข้นคนจาง” แต่ถือว่ามีกระแสที่จับต้องได้ชัดเจน
เก็งข้อสอบต่อ
เท่าที่ทราบ เวอร์ชันละครนี้จะมีความยาวทั้งหมด 12 EP ซึ่งถือว่าไม่สั้น-ไม่ยาวนัก โดยเมื่อเทียบกับ “เลือดข้นคนจาง” ที่มีคนบ่นช่วงกลางว่าเริ่มยืด ตอนนั้นมีถึง 18 EP (ตอน) จึงถือว่าฉลาดเกมส์โกง ควรจะกระชับกว่า
ดังนั้นจึงคาดเดาคร่าวๆ ได้ล่วงหน้า ว่าแม้ 4 EP แรก จะค่อยๆ ปูให้เห็นรายละเอียดของตัวละครมากขึ้น แต่อีกอึดใจคงต้องเร่งสปีดและขมวดเรื่องราวฉึบฉับเข้มข้น ซึ่งจะกลายเป็นข้อสอบชั้นดี ว่าการผลิตเวอร์ชันใหม่ครั้งนี้ คะแนนจะผ่านฉลุย แบบที่เราได้เห็นในช่วงแรกหรือเปล่า
ตัดเกรด : 9/10
คงให้น้อยกว่านี้ไม่ได้ เพราะข้อสอบโหดหินมากอย่างที่บอก แต่ GDH ก็ยังอุตส่าห์ทำมันได้แบบมีแผลน้อยมาก ไม่ว่าคุณจะชอบเวอร์ชันหนังแค่ไหน เวอร์ชันละครก็ยังน่าติดตาม เพราะมันถูก “ปรับ” ให้เนียนขึ้น จนคุณจะ “ติด” แบบไม่รู้ตัว
Picture : GDH, one31, WeTV, The Momentum, MThai, Me Review, The Thaiger, Twitter, All Area Entertainment, Vocal, Twentyfour-news, INNNews, Siam Zone, Beartai, แนวหน้า, มติชนออนไลน์
Trailer : YouTube (GDH)