รีวิวซีซันเก่า & พรีวิวซีซันใหม่ Top 6 (ตอนที่ 2) : “หงส์แดง” & “สิงโตน้ำเงินคราม” - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
รีวิวซีซันเก่า & พรีวิวซีซันใหม่ Top 6 (ตอนที่ 2) : “หงส์แดง” & “สิงโตน้ำเงินคราม”

ผ่านตอนที่ 1 ไปแล้ว กับ 2 ทีมคู่อริแห่งนอร์ธ ลอนดอน อย่างสเปอร์และอาร์เซน่อล (ย้อนไปอ่านกันได้น้า) ในตอนที่ 2 นี้ เราจะพูดถึง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล และ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี กันบ้าง เพราะทั้ง 2 ทีมเสร็จสิ้นภารกิจซีซัน 2019/20 เรียบร้อย
[ตอนที่ 1 สเปอร์ & อาร์เซน่อล >> คลิกที่นี่ <<]

มาว่าถึง 2 ทีมที่เจอกันซีซันที่ผ่านมาหลายหน “หงส์แดง” และ “สิงโตน้ำเงินคราม”
(Source : This Is Anfield)

ซีซันที่ผ่านมา เป็นซีซันฝันหวานของเหล่า “เดอะ ค็อป” ที่หยุดการรอคอยแชมป์ลีกสูงสุดไว้ที่เลข 30 ปี ส่วนฝั่งพลพรรค “สิงห์บลู” แม้พวกเขาจะมือเปล่า แต่อย่างน้อยกุนซือหนุ่มอย่าง “แฟรงค์ แลมพาร์ด” ก็แสดงให้เห็นว่าเขามีฝีมือในการต่อกรกับกุนซือมากประสบการณ์รายอื่น ได้ไม่เลวเลย

ดังนั้นเราจะมาดูรายละเอียดของทั้ง 2 ทีมกัน ว่าซีซันที่ผ่านมามีอะไรให้น่าพูดถึง และซีซันที่กำลังจะเปิดใหม่ มีอะไรที่ต้องปรับเปลี่ยนบ้าง

ลิเวอร์พูล

(Source : Sky Sports)

ผลงานซีซัน 2019/20

พรีเมียร์ลีก : อันดับ 1 (คว้าแชมป์ / ได้สิทธิ์ไปเล่นยูฟ่า แชมป์เปียนส์ ลีก)
เอฟเอ คัพ : รอบ 5
ลีก คัพ : รอบ 8 ทีมสุดท้าย
ฟุตบอลสโมสรยุโรป : ยูฟ่า แชมป์เปียนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย / แชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ
ฟุตบอลสโมสรโลก : แชมป์

รีวิว 2019/20

ภาพรวม

99 แต้มในลีก จนกลายเป็นการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกที่เร็วที่สุด (นับจากจำนวนนัด) และคว้าแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ กับสโมสรโลก แน่นอนว่าเหล่า “เดอะ ค็อป” ไม่อาจจะขออะไรลูกทีม “เจอร์เก้น คลอปป์” มากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว

ความต่อเนื่องในการคว้าแชมป์ ต้องยกเครดิตให้คลอปป์ และลูกทีมของเขา
(Source : Premier League)

จุดสำคัญที่พัฒนาต่อยอดจาก 97 แต้มในซีซันก่อน คือนักเตะลิเวอร์พูลดูมีความมุ่งมั่นขึ้นกว่าเดิม ลงเล่นทุกแมทช์ด้วยเป้าหมายคว้าชัยชนะให้ได้ วิธีการเข้าทำ และการมีส่วนร่วมกับการทำประตูของนักเตะหลากหลายคน ก็เป็นอีกจุดแข็งที่ทำให้พวกเขารับมือได้ยากยิ่ง

ถึงจะมีอยู่บ้างในช่วงก่อนเบรกโควิด-19 และหลังจากกลับมา ที่ทีมมีฟอร์มการเล่นตะกุกตะกัก และมีปัญหากับการเจาะเข้าทำกับเกมที่เจอรับลึก แต่โดยภาพรวมนักเตะแต่ละคนยังมีฟอร์มการเล่นที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ ทั้งมาตรฐาน และสภาพร่างกายที่ยืนระยะมาได้จนจบซีซัน

ถึงจะยังมีมาตรฐานสูง แต่เกมรับในบางนัด ก็มีช่องว่างให้จู่โจมมากกว่าเดิม
(Source : Tribuna)

ถ้าจะมีรอยตำหนิเล็กน้อย ก็อาจจะเป็นผลงานในแนวรับที่ดร็อปลงไปกว่าเดิม ถึงจะไม่ส่งผลต่อการคว้าแชมป์ลีก แต่ก็มีแผลให้เห็นประปราย โดยแผลใหญ่ที่สุดหนีไม่พ้นการเสียประตูค่อนข้างง่ายในศึก UCL ซึ่งกลายเป็นว่า พวกเขาจบเส้นทางแค่รอบ 16 ทีมเท่านั้น

แน่นอนว่า 4 ปีครึ่งภายใต้การกุมบังเหียนของคลอปป์ พวกเขาเจอรูปแบบการเล่น และแพสชั่นที่ลงตัว เพียงแต่มันคงจะมีบ้างเหมือนกันในวันที่ทุกอย่างมันตื้อตัน แผน 2 หรือแพลนบี อาจจะต้องมีเตรียมพร้อมมากกว่าเดิม ทั้งผู้เล่นเปลี่ยนเกมจากม้านั่งสำรอง และรูปแบบที่ต้องหลากหลายขึ้น

การซื้อตัวนักเตะ

ซีซัน 2019/20 เป็นปีที่คลอปป์ยืนยันว่าจะไม่มีการปรับใหญ่เหมือนครั้งที่เคยเสริม “อลิสซง เบ็คเกอร์” หรือ “เวอร์จิล ฟาน ไดค์” นอกจากดาวรุ่งที่น่าจับตามองอย่าง “ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์” ที่มาจากฟูแล่ม ตัวอื่นเป็นเพียงการเสริมเพื่อทดแทนกองหนุนที่จากไป อย่าง “อาเดรียน” นายทวารชาวสเปน

ถึงจะมีข้อผิดพลาดบ้าง แต่การมาเป็นกำลังเสริมของ “อาเดรียน” ให้ผลที่ดีมากกว่าแย่
(Source : EssentiallySports)

ความจริงทีมมีไอเดียจะเสริมแบ็คซ้ายเข้ามาซัพพอร์ต “แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน” ตั้งแต่ซัมเมอร์ก่อน เพียงแต่ว่าเป้าหมายอย่าง “ลอยด์ เคลลี่” เลือกไปหาความท้าทายกับบอร์นมัธแทน จึงไม่มีการเสริมตัวอื่น และมาเริ่มตั้งหลักหาตัวเลือกใหม่อีกครั้งในซัมเมอร์นี้

ที่ลืมไม่ได้ก็คือ “ทาคูมิ มินามิโนะ” ที่สัมพันธ์อันดีกับเร้ดบูล ทำให้พวกเขาคว้าตัวมาในราคาแสนถูก 7 ล้านปอนด์กว่าๆ ถึงดาวเตะชาวญี่ปุ่นคนแรกในประวัติศาสตร์ของทีมจะยังไม่สามารถผลิตผลงานเตะตาได้ แต่ก็เป็นการเสริมทัพที่ไม่น่าจะขาดทุนอะไรเลย

มินามิโนะ สตาร์ชาวญี่ปุ่น ยังมีงานให้ต้องทำอีกเยอะ ในซีซันใหม่
(Source : 90Min)

รูปแบบการเล่น

หลังสูญเสีย “ฟิลิปเป้ คูตินโญ่” ไปให้บาร์เซโลน่า คลอปป์ค่อยๆ ปรับทีมให้เหมาะสมกับศักยภาพของนักเตะ จนมาได้สูตร 4-3-3 ที่มี 3 ประสานมหากาฬในแนวรุก ถึงจะเคยมีการใช้ 4-2-3-1 อยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุด 4-3-3 คือแผนที่ลงล็อคที่สุด

แผน 4-3-3 ที่ถูกปรับให้ลงตัวกับทีมมากที่สุดแล้ว ในเวลานี้
(Source : BuildLineup)

กับซีซันล่าสุด แม้แผนจะดูเป็น 4-3-3 ซะส่วนใหญ่ แต่คลอปป์มีการปรับเปลี่ยนแผนระหว่างเกมมากขึ้น เปลี่ยนตัวเร็วขึ้นหากทีมต้องการความเปลี่ยนแปลง รูปแบบการเคลื่อนที่เลยเป็น 4-2-3-1 หรือ 4-1-4-1 ในบางที

นอกเหนือจากความเข้าขารู้ใจของนักเตะ ที่เล่นร่วมกันมานาน ข้อดีสำคัญคือพวกเขามีนักเตะบาดเจ็บน้อยครั้ง โดยเฉพาะแผงรับอย่างฟาน ไดค์ และ 3 ตัวบนอย่าง ซาล่าห์-มาเน่-ฟิร์มิโน่ ทำให้การใช้งานสำรองไม่ถึงกับเยอะเท่าไหร่

กับซีซันที่ผ่านมา 3 ประสานในแนวรุก แทบจะไม่มีอาการบาดเจ็บเลย
(Source : Goal.com)

จุดนี้ เปรียบเสมือนดาบสองคมได้เหมือนกัน เพราะหากซีซันต่อๆ ไป ทีมเกิดมีอาการบาดเจ็บ หรือรูปแบบที่ตื้อตัน ตัวสำรองของพวกเขาจะทดแทนได้ดีแค่ไหน ยังเป็นการบ้านที่คลอปป์ต้องคิดต่อ เพราะจะว่าไปในซีซันที่ผ่านมา ฟอร์มของทั้งมิลเนอร์, โอริกี, ลัลลาน่า, ลอฟเรน, ชากิรี ต่างดร็อปลงกว่าเดิมชัดเจน

พรีวิว 2020/21

รูปแบบการเล่นที่คาด

รูปแบบหลักคงไม่หนีจาก 4-3-3 ที่พวกเขาทำได้ดีมาตลอด ถ้าจะมีปรับเปลี่ยน คงเป็นรายละเอียดในการเข้าทำ ซึ่งเราได้เห็นการประยุกต์หลายครั้ง ในซีซันที่ผ่านมา เช่น บอลครอสเร็ว, บอลยกข้ามแนวรับของฟาบินโญ่ หรือบอลยาวจากแดนหลังให้ปีก 2 ข้างที่เร็วจี๋

บอลยาวไปหลังแนวรับของฟาน ไดค์ กลายเป็นอาวุธจู่โจมที่รวดเร็ว และน่ากลัว
(Source : Pinterest)

แน่นอนว่าลิเวอร์พูลยังมีจุดที่ต้องเติมเต็มในหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะการโบกมือลาทีมของนักเตะอย่างลัลลาน่า หรือลอฟเรน รวมถึงอะไหล่เสริมในตำแหน่งแบ็คซ้าย หรือในแนวรุก 3 ตัวหน้า ซึ่งตอนแรกทีมเล็ง “ติโม แวร์เนอร์” ไว้ แต่สุดท้ายสถานการณ์ต่างๆ ทำให้พวกเขาเลือกไม่เดินเครื่องสู้กับเชลซี

และด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพการเงิน เลยค่อนข้างยากที่ “หงส์แดง” จะเสริมทัพด้วยเงินก้อนใหญ่ เพื่อมาปรับรูปแบบการเล่นให้หลากหลายจากเดิม ซึ่งนี่ถือเป็นความเสี่ยงที่คลอปป์ อาจจะเลือกรับไว้เอง

สภาพร่างกายของทั้งเฮนเดอร์สัน และไวจ์นาดุม ที่แตะหลัก 30 ปี อาจต้องการกำลังเสริมเพิ่ม
(Source : This Is Anfield)

จุดที่น่าสนใจคือความยืดหยุ่นในแดนกลาง ว่า “ฟาบินโญ่” จะยืนระยะรักษาฟอร์มได้ต่อเนื่องแค่ไหน บวกกับตัวหลักทั้ง “จอร์จินิโอ้ ไวจ์นาดุม”​ และ “จอร์แดน เฮนเดอร์สัน” ที่อายุมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าคลอปป์คาดหวังพวก เกอิต้า, อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน หรือเด็กอย่างโจนส์ ให้ขึ้นมาทดแทนได้ หากจำเป็นต้องเลือกใช้งาน

นักเตะที่อยู่ในข่ายสนใจ

นอกเหนือจากแวร์เนอร์ ที่สนใจจริง แต่เพราะสถานการณ์โควิด-19 บวกกับแอฟริกัน คัพ ออฟ เนชั่นส์ ที่เลื่อนไป (ตามกำหนดเดิม มาเน่และซาล่าห์จะไม่อยู่ช่วงนั้น) ทำให้ทีมไม่เดินดีลสู้ นักเตะชื่อดังคนอื่นๆ ทั้ง “ฟิลิปเป้ คูตินโญ่” หรือ “จอร์ดอน ซานโช” ล้วนเป็นข่าวที่ห่างไกลความจริง

ถึงจะถูกโยงในหน้าข่าวหลายครั้ง แต่โอกาสที่คูตินโญ่จะย้ายกลับมาในตอนนี้ แทบไม่มี
(Source : FC Barcelona Noticias)

จะมีใกล้เคียงหน่อยคือ “ติอาโก้ อัลคันทาร่า” ซึ่งดูคลอปป์จะชื่นชอบ แต่ด้วยราคาที่บาเยิร์นตั้งไว้ราว 30 ล้านปอนด์ ดูยากที่ลิเวอร์พูลจะควักเงินจ่ายซัมเมอร์นี้ เว้นแต่ว่าจะมีนักเตะตัวหลักย้ายทีม เช่น “จอร์จินิโอ้ ไวจ์นาดุม” ที่สัญญาเหลือปีเดียว หรือมีการเจรจาเพื่อลดราคาลงมา

ที่เสริมแน่นอนคือแบ็คซ้าย โดยตอนแรกสนใจ “จามาล ลูวิส” แต่พอถูกเรียกราคาสูงเกิน ก็เบนเข็มไปหา “คอนสแตนตินอส ซิมิกาส” แบ็คกรีซของโอลิมเปียกอส และสามารถปิดดีลได้อย่างรวดเร็ว เติมทางเลือกในตำแหน่งแบ็คซ้ายที่ต้องการมานาน

ปิดดีลอย่างรวดเร็วสำหรับซิมิกาส แบ็คซ้ายดีกรีทีมชาติกรีซ ที่เข้ามากดดันโรเบิร์ตสัน
(Source : Liverpool FC)

ตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ เป็นอีกตำแหน่งที่น่าสนใจ หลังการจากไปของ “เดยัน ลอฟเรน” ตามข่าวตัวที่สนใจมากที่สุดคือ “เบน ไวท์” แต่ติดตรงที่ไบรท์ตันตั้งราคาไว้สูง แถมมีเชลซี และลีดส์ คอยช่วงชิงอยู่ด้วย เลยเป็นไปได้เหมือนกันที่จะหันไปหาตัวที่ราคาน่ารักกว่าอย่าง “อิสซ่า ม็องดี้” หรือตัวที่พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าพร้อมใช้อย่าง “ดีเอโก้ คาร์ลอส”

การจัดการนักเตะตัวยืมก็ดูเป็นงานที่คลอปป์ต้องตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นวิลสัน, กรูยิช, คาริอุส และบริวสเตอร์ น่าสนใจว่าจะปักป้ายขาย เพื่อเอาเงินเข้าคลัง หรือจะเลือกปล่อยยืมอีกหน ต้องตามกันต่อ

นักเตะปล่อยยืม เป็นอีกสิ่งที่ต้องตัดสินใจ น่าจะมีรายที่ให้ยืมต่อ หรือขายขาดเอาตังค์
(Source : This Is Anfield)

ความคาดหวัง

ไม่มีข้อสงสัยเลย ว่าพวกเขาคาดหวังจะต่อยอดความสำเร็จ ด้วยการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกไว้ให้ได้ แต่รับรองว่ามันไม่ง่ายแน่ เพราะมีหลายทีมจ้องจะพัฒนาตัวเองขึ้นมาต่อกร ทั้งแมนฯ ซิตี้, เชลซี หรือแมนฯ ยู ที่พร้อมเสริมนักเตะยกระดับทีมกันทั้งสิ้น

คุณภาพนักเตะที่ลิเวอร์พูลมี ไม่มีข้อสงสัยในตัวพวกเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ทางหนีทีไล่ เช่น ขุมกำลังสำรอง หรือรูปแบบการเล่นที่หลากหลาย เมื่อเจอเกมรับลึก เป็นการบ้านที่ไม่หมู ว่าคลอปป์จะมีทีเด็ดแค่ไหน ในการผ่านด่านโหดของพรีเมียร์ลีก ไปได้อีกหน

เป็นแชมป์ว่ายากแล้ว แต่ป้องกันแชมป์ยากกว่า ข้อนี้คลอปป์ย่อมรู้ดี
(Source : The Nation)

ขุมกำลังสำรอง ยังเกี่ยวพันกับการกลับไปลุย UCL อีกหน ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาอยากจะไปไกลกว่ารอบ 16 ทีมที่พลาดพลั้งซีซันที่ผ่านมา ศักยภาพของทีมจะถูกทดสอบแน่นอน ถ้าพวกเขาเข้ารอบลึก และมีรายการแข่งรอบด้านให้รับมือ

เชลซี

(Source : Alkhaleej Today)

ผลงานซีซัน 2019/20

พรีเมียร์ลีก : อันดับ 4 (ได้สิทธิ์ไปเล่นยูฟ่า แชมป์เปียนส์ ลีก)
เอฟเอ คัพ : รองแชมป์
ลีก คัพ : รอบ 4
ฟุตบอลสโมสรยุโรป : ยูฟ่า แชมป์เปียนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย / รองแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ

รีวิว 2019/20

ภาพรวม

ซีซันที่ท้าทายของ “สิงโตน้ำเงินคราม” ภายใต้การกุมบังเหียนของตำนานทีมอย่าง “แฟรงค์ แลมพาร์ด” ถือว่าทำได้ไม่เลว แม้จะผิดหวังด้วยการจบเพียงอันดับ 4 (ตอนแรกมีโอกาสจบที่ 3) และพลาดท่าแพ้อาร์เซน่อลในเอฟเอ คัพ นัดชิงฯ ก็ตาม

แลมพาร์ดพิสูจน์ตัวเองได้ดี กับความหินของลีกสูงสุด และการไม่สามารถเสริมทัพได้
(Source : The Telegraph)

ที่ต้องชมแลมพาร์ด เพราะพวกเขาไม่มีสิทธิ์ใช้เงินเสริมทัพในซีซันนี้ (ยกเว้นโควาซิซ ที่ซื้อมาล่วงหน้า) แต่สามารถจัดแจงนักเตะในทีม และดาวรุ่งให้ขึ้นมาทดแทนได้อย่างดี ทั้งที่ทีมต้องเสีย “เอแดน อาซาร์” ไป

ถึงจะมีปัญหาความสม่ำเสมอทั้งในส่วนฟอร์มทีม และฟอร์มส่วนตัวของนักเตะ ที่จะยืนระยะยาวๆ ตลอดซีซัน แต่การผลัดเปลี่ยนโชว์ฟอร์มของนักเตะ ก็ทำให้ทีมเกาะกลุ่มบนอยู่ตลอด รวมถึงยังไปได้ไกลในฟุตบอลถ้วย ทั้ง UCL และเอฟเอ คัพ

ปัญหาเกมรับ ที่เสียประตูมากมาย ยังเป็นการบ้านใหญ่ที่ทีมต้องแก้กันต่อไป
(Source : We Ain’t Got No History)

ใจความสำคัญของปัญหา น่าจะอยู่ที่เกมรับซะมากกว่าเกมรุก เพราะนอกจากการยืนระยะแล้ว การค้นหาตัวจริงในแนวรับยังวุ่นวายสำหรับแลมพาร์ดไม่น้อย ทีมเสียประตูในลีกมากถึง 54 ลูก มีแค่ทีมในครึ่งล่างตารางเท่านั้น ที่เสียมากกว่า (อันดับ 12 ลงไป)

การซื้อตัวนักเตะ

หัวข้อนี้มีเรื่องให้พูดน้อยหน่อย เพราะพวกเขาไม่สามารถใช้เงินได้ในช่วงซัมเมอร์ซีซันที่แล้ว โดยนักเตะอย่าง “คริสเตียน พูลิซิซ” และ “มาเตโอ โควาซิซ” ถูกซื้อมาก่อนล่วงหน้า และเป็นซีซันที่ทั้งคู่โชว์ฟอร์มได้ดีทีเดียว ถึงกัปตันอเมริกาจะเจ็บบ่อยไปหน่อยก็ตาม

การคุมเกมแดนกลางของโควาซิซ ในซีซันที่ผ่านมา ได้รับคำชมอย่างมาก
(Source : Football.London)

การเสริมทัพในมุมที่เราได้เห็น จึงเป็นการดันเหล่าดาวรุ่งขึ้นมาสู่ทีม ซึ่งถือว่าน่าสนใจทั้ง เมาท์, อับราฮัม, โทโมรี, เจมส์, กิลมอร์ หรือแม้แต่แลมพ์ตี้ ที่สุดท้ายตัดสินใจย้ายไปไบรท์ตันตอนเดือน ม.ค.

ข้อดีสำคัญของแลมพาร์ดคือการทำงานกับนักเตะอายุน้อยได้ดี จนสามารถปรับจูนจนลงล็อค แต่กับนักเตะมีประสบการณ์ และมีชื่อชั้น อันนี้ต้องติดตามกันต่อ เพราะการเสริมทีมไม่ได้ในซีซันที่ผ่านมา ทำให้เขาเจอแต่นักเตะซีเนียร์ที่คุ้นเคยกับทีมอยู่แล้ว

เหล่านักเตะดาวรุ่งของทีม ซึ่งแลมพาร์ดให้โอกาส และให้ผลตอบแทนที่ดี
(Source : Goal.com)

รูปแบบการเล่น

รูปแบบการเล่นส่วนใหญ่ที่เชลซีใช้ คือแผน 4-2-3-1 แต่หลายช่วงหลายตอน แผนการเล่นแบบ 3-5-2 หรือ 3-4-3 ก็ดูจะใช้ได้ผลดี โดยเฉพาะตอนท้ายซีซัน ที่พวกเขาเล่นได้แข็งแกร่ง และสามารถผ่านเข้ารอบชิงเอฟเอ คัพ ได้

แผนการเล่นแบบหลัง 3 ตัว ที่ถูกใช้ในช่วงท้ายซีซัน
(Source : BuildLineup)

ถึงการปรับมาเล่นเซ็นเตอร์ 3 ตัว จะเป็นการปรับกลยุทธ์ในการจู่โจมด้านข้างทั้งฝั่งตัวเอง และตั้งรับฝั่งตรงข้าม แต่หลักใหญ่ใจความอีกอย่าง คือการปรับให้เกมรับเหนียวแน่นขึ้น ซึ่งมีทั้งสำเร็จ และล้มเหลว จุดนี้เลยคาดการณ์ได้ยาก ว่าสุดท้ายแลมพาร์ดจะเลือกแผนไหน หรือจะใช้มันผสมๆ กันไป

นอกจากระบบหลักที่หมุนวนกันใช้ ยังมีการปรับการยืนในแดนกลาง และแนวด้านหน้าที่แลมพาร์ดค้นหามาตลอดซีซัน ยกตัวอย่างที่เห็นชัดก็อย่าง “เมสัน เมาท์” ที่เล่นตัวกลางได้เด่นตอนต้นซีซัน แต่ตอนหลังกลับมาเด่นในการเล่นตัวบน หรือการเล่นแบบมีตัวรับจ๋า หรือตัวไพว็อตคู่กัน 2 ตัว ก็เคยมีทั้ง 2 แบบ

พรีวิว 2020/21

รูปแบบการเล่นที่คาด

อย่างที่วิเคราะห์ไปกับแผนการเล่นในซีซันที่ผ่านมา แลมพาร์ดคงต้องครุ่นคิดต่อไปว่าจะให้ทีมยืนด้วยระบบไหน หลัง 3 หรือหลัง 4 แดนกลางยืนรูปแบบไหน หรือเลือกใช้งานปรับเปลี่ยนไปแล้วแต่นัด จุดนี้น่าติดตามดูกันตั้งแต่ต้นซีซัน

แม้ตอนนี้ในแนวรับ จะยังไม่มีข่าวเซ็นใครเข้ามาชัดเจน แต่ในแนวรุกกับการได้ตัวมีราคา และมีฝีเท้าชั้นนำของยุโรปทั้งแวร์เนอร์ และซิเย็ค (อาจจะรวมฮาเวิร์ตซ์อีกราย) ย่อมทำให้แลมพาร์ดต้องครุ่นคิดมากขึ้นแน่นอน

ตัวรุกคุณภาพอย่างแวร์เนอร์ และซิเย็ค ย่อมมีผลต่อการจัดวางทีมของแลมพาร์ดแน่นอน
(Source : talkSPORT)

นอกเหนือจากตำแหน่งที่วิเคราะห์กันเยอะในแดนหลัง และแดนกลาง อีกตำแหน่งอย่างแบ็คหรือวิงแบ็ค (แล้วแต่ว่าจะเล่นหลัง 3 หรือ 4) ก็เป็นอีกเรื่องที่จะเห็นแลมพาร์ดปรับแต่งเติม เพราะอัซปิลิกัวเอต้าก็อายุมากขึ้น อลอนโซ่ก็ดูทำท่าไม่ได้อยากใช้งานต่อเท่าไหร่ เอเมอร์สันก็ฟอร์มไม่สม่ำเสมอ ส่วนเจมส์ก็ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ

พูดถึงแนวรับ ก็อดลืมไม่ได้จะไปแวะดูตำแหน่งสำคัญอย่างผู้รักษาประตู ซึ่งวัดใจว่าแลมพาร์ดจะเลือกใช้ “เกปา อาร์ริซาบาลาก้า” อีกหรือไม่ เพราะตัวแคนดิเดตในทีมอย่าง “วิลลี่ กาบาเยโร่” คงไม่สามารถยืนระยะยาวได้ ซึ่งถ้าไม่ใช้เกปา ต้องซื้อใหม่สถานเดียว

เกปา ถูกวิจารณ์หลายครั้งหลายหน และหลุดเป็นสำรองในช่วงปลายซีซัน
(Source : 90Min)

เราคงต้องจับตาดูรูปแบบการเล่นซีซันใหม่ของเชลซีให้ดี เพราะถ้าปรับแต่งลงตัวได้เร็ว พวกเขาถือเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว แต่กลับกันหากตะกุกตะกัก มันก็กลายเป็นเรื่องหนักอกขึ้นมาได้เหมือนกัน

นักเตะที่อยู่ในข่ายสนใจ

2 รายจบดีลเรียบร้อยแล้ว สำหรับ “ติโม แวร์เนอร์” แนวรุกคุณภาพอินทรีเหล็ก และ “ฮาคิม ซิเย็ค” จอมทัพโมร็อคโค ซึ่งจะมาเติมมิติเกมรุกให้ทีม โดยมี “วิลเลียน” และ “เปโดร” ที่โบกมือลาทีมไป

อีกรายที่ลือกันว่าไม่น่าพลาดคือ “ไค ฮาเวิร์ตซ์” แนวรุกอัจฉริยะชาวเยอรมัน ซึ่งถ้าได้มาอีกตัว อยากจะชมเหมือนกันว่าแลมพาร์ดจะจัดแดนกลาง และแนวรุกกันแบบไหน เพราะนักเตะแน่นปึ้กเหลือเกิน

“ไค ฮาเวิร์ตซ์” แนวรุกอีกตัวที่น่าสนใจ หากถูกเสริมเข้ามาอีก จะมีทางเลือกเพียบ
(Source : Bleacher Report)

เขยิบมาดูแดนที่น่าห่วงคือเกมรับ ตำแหน่งผู้รักษาประตูต้องฟันธงกันให้ดี ว่าเกปายังมีอนาคตกับทีมอยู่มั้ย หากเลือกจะไม่ใช้งานแล้ว “นิค โป๊บ” ของเบิร์นลีย์ คือชื่อที่ถูกชูขึ้นมาตามหน้าข่าว รวมถึง “ดีน เฮนเดอร์สัน” แต่รายหลังถ้าไม่จำเป็น แมนฯ ยู คงไม่ยอมง่ายๆ ส่วนของหนักอย่าง “แยน โอบลัค” ก็ดูเป็นดีลใหญ่โต หากจะเกิดขึ้น

“นิค โป๊บ” โกล์ทีมชาติอังกฤษฟอร์มหนึบ ซึ่งมีข่าวว่าเชลซีสนใจดึงมาแทนเกปา
(Source : 90Min)

เซ็นเตอร์ฮาล์ฟของทีมยังไม่ค่อยจะแน่นอน เลยมีชื่อหลายรายมาพัวพัน อย่างตัวในลีกก็เช่น “จอห์น สโตนส์”, “ดีแคลน ไรซ์”, “เบน ไวท์” หรือจะวนออกไปนอกลีก ก็มีชื่อของ “โฆเซ่ ฆิมิเนซ” ของแอต.มาดริด โผล่ขึ้นมา

แบ็คซ้ายเป็นอีกตำแหน่งที่ข่าวเล่นกันพรึบพรับ เพราะคิดว่าทั้งอลอนโซ่ และเอเมอร์สัน ยังไม่ถูกใจแลมพาร์ดพอ โดยชื่อที่พัวพันมานานคือ “เบน ชิเวลล์” แต่ด้วยราคาที่เลสเตอร์ตั้งไว้สูงลิบ ทำให้มีชื่อตัวอื่นเข้ามาเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็น “ลูก้า ดีญ” หรือ “เซอร์คิโอ เรกูล่อน”

ชิเวลล์มีข่าวกับเชลซีมานาน แต่ดูท่าทีเลสเตอร์แล้ว ยังไงก็ไม่ปล่อยในราคาธรรมดาแน่
(Source : Football Flakes!)

ความคาดหวัง

ดูเผินๆ ตำแหน่งของแลมพาร์ดมั่นคงปลอดภัย และทีมก็พร้อมจะเติบโตไปพร้อมกับเขา แต่การเสริมทัพจัดหนักของ “เสี่ยหมี” อับราโมวิช ขนาดนี้ แน่นอนว่าบอร์ดบริหารต้องการเห็นทีมขยับขึ้นไปไล่ล่าตำแหน่งแชมป์ได้ใกล้เคียงกว่าเดิม

ถึงจะมีความสัมพันธ์อันดี แต่ความคาดหวังของ “เสี่ยหมี” อาจเป็นการเพิ่มแรงกดดัน “แลมพ์”
(Source : Evening Standard)

เมื่อการเสริมทัพครั้งใหญ่ บวกกับความคาดหวัง “สิงโตน้ำเงินคราม” คงจะต้องตั้งหลักให้เร็ว เพื่อยึดอันดับด้านบนของตารางไว้ ก่อนจะต้องรักษาสภาพผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ใน UCL ให้ได้ เพื่อเป็นการต่อยอดว่าพวกเขาเดินมาถูกทาง

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าปัญหาแนวรับจะถูกแก้ไขให้ดีขึ้นแค่ไหน เพราะหากจะปรับใหญ่ ต้องใช้การเสริมทัพมากถึง 2-3 ตัว ที่พร้อมเข้ามาเป็นแคนดิเดตตัวจริงทันที

แต่กับแนวรุกที่ได้อาวุธหนักมาครบมือ พวกเขาคงต้องคงจุดเด่นการเข้าทำที่แข็งแรงไว้ ทั้งตัวใหม่ที่เสริมเข้ามา และการลงเล่นซีซันที่ 2 ของ “คริสเตียน พูลิซิซ” และ “เมสัน เมาท์” ซึ่งน่าจะมีอะไรดีๆ ให้เห็นกัน

แม้จะมีสตาร์เสริมเข้ามาเยอะ แต่เมาท์กับพูลิซิซ ยังเป็น 2 รายที่น่าจับตามอง
(Source : Daily Star)

และนอกเหนือจากกลุ่มนักเตะที่ถูกจับตามองอยู่แล้ว ตัวที่ซีซันที่ผ่านมาได้โชว์ฝีเท้าไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่าง “คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย” และ “เอ็นโกโล่ ก็องเต้” ก็ต้องยกระดับตัวเองขึ้นมา เพื่อการยืนระยะของทีมด้วยเช่นกัน

ผ่านพ้นไปอีก 2 ทีมเรียบร้อย เหลือตอนสุดท้ายกับ 2 ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์ ซึ่งพวกเขายังอยู่ในเส้นทางฟุตบอลสโมสรยุโรป เราเลยจะรอให้พวกเขาเสร็จสิ้นภารกิจกันก่อน แล้วมาว่ากันทีเดียว รอติดตามนะครับ

ตอนที่ 3 จะพูดถึง 2 ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์ หลังจากพวกเขาเสร็จสิ้นภารกิจบอลยุโรป
(Source : High Press Soccer)

สำหรับใครที่อยากจะย้อนไปอ่าน การรีวิว & พรีวิวของ 2 ทีมนอร์ธลอนดอน สเปอร์และอาร์เซน่อล สามารถ >> คลิกที่นี่ได้เลย <<

Picture : Eurosport, The Times, MLS Multiplex, Bleacher Report, This Is Anfield, Sky Sports, Premier League, Tribuna, EssentiallySports, 90Min, Goal.com, Pinterest, FC Barcelona Noticias, Liverpool FC, The Nation, Alkhaleej Today, The Telegraph, We Ain’t Got No History, Football.London, talkSPORT, Football Flakes!, Evening Standard, Daily Star, High Press Soccer

rocketseer

ทำงาน Sports content | บ้าบอล-เป็น The KOP | (เคย)บ้าดูหนัง-(เคย)ทำเพจหนัง | อยู่บ้านนาน ก็ชักเป็นบ้า!

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save