หนุ่มคนไหนที่ช่วงนี้ตกอยู่ในภาวะเครียด วิตกกังวล นอนไม่หลับ ขี้หงุดหงิด อารมณ์ร้อน โมโหง่ายทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นมาก่อน และต้องการหายจากอาการหัวร้อนเหล่านี้ รีบๆ มารวมกันทางนี้เลยครับ

เพราะต่อไปนี้เรากำลังจะแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักผลไม้หอมหวานแสนอร่อย ที่นอกจากจะอุดมไปด้วยวิตามินและใยอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ยังมีสรรพคุณเป็นยาระงับประสาทที่ปลอดภัยจากธรรมชาติอีกด้วย ทานเป็นประจำจะช่วยให้คุณอารมณ์ดี มีสมาธิ ใจเย็นขึ้น ไม่หัวร้อน ที่สำคัญคือช่วยให้นอนหลับง่ายด้วย ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น เรามาดูกันเล้ยย

กล้วย

เรามาเริ่มกันที่กล้วย เพราะเป็นผลไม้ที่หาง่าย ราคาถูก และทานง่ายแค่ปอกกล้วยเข้าปาก แต่ประโยชน์ต่อสุขภาพจิตนั้นมากมายมหาศาล ไม่จำกัดว่าเป็นกล้วยชนิดใด ไม่ว่าจะเป็นกล้วยไข่ กล้วยน้ำว้า หรือกล้วยหอมก็สามารถทำให้อารมณ์ดีได้ทั้งสิ้น ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า กล้วยเป็นแหล่งของแร่ธาตุแมงกานิสและโพแทสเซียมที่ดีเยี่ยม ซึ่งช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายได้เป็นอย่างดี จึงช่วยป้องกันตะคริว ลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ ที่เด็ดสุดก็คือกล้วยเป็นแหล่งของกรดอะมิโนที่เรียกว่า ทริปโตเฟน (Tryptophan) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสร้างเมลาโทนินซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยในการลดความเครียด วิตกกังวล ช่วยให้จิตใจเราสงบ มีสมาธิมากขึ้น และช่วยบรรเทาอาการปวดหัวจากไมเกรนได้เป็นอย่างดีเลยนะ

มะเฟือง

เรามาต่อกันที่ มะเฟือง ผลไม้ไทยแท้ๆ รสชาติออกหวานๆ ฝาดๆ แต่ถ้านำมาฝานมาจิ้มเกลือทานก็อร่อย ทานได้เพลินๆ ดีเหมือนกันนะครับ ส่วนประโยชน์ที่เพื่อนๆ จะได้รับจากการทานมะเฟืองนั้นมีมากมาย เพราะผลไม้ไทยชนิดนี้อุดมไปด้วยวิตามินเอ บี1 บี2 และวิตามินซี และยังเป็นแหล่งของแร่ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสอีกด้วย จุดเด่นของมะเฟืองคือมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับอ่อนๆ และมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาทด้วย ทานแล้วจึงช่วยให้อารมณ์ดี ลดอาการหัวร้อน และฟุ้งซ่านได้

เสาวรส

เสาวรส คือผลไม้ไทย ที่ตอนนี้ได้รับความสนใจจากหน่วยงานวิจัยในประเทศไทยเป็นอย่างมาก ผลไม้ชนิดนี้มีรสชาติออกเปรี้ยวหวาน อุดมไปด้วยวิตามินซีและเส้นใยอาหารคุณภาพสูง และตอนนี้ก็มีงานวิจัยจาก สกว. ประเทศไทยเผยให้เราได้ทราบว่าเสาวรสนั้นมีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต บรรเทาความเครียดได้เป็นอย่างดี สำหรับคนที่มีความเครียดหากได้ดื่มน้ำเสาวรสก่อนเข้านอนจะช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น โดยเฉพาะดอกของเสาวรสที่ซึ่งอุดมไปด้วยสารระงับประสาทเมื่อทานร่วมกับน้ำเสาวรสจะช่วยลดความวิตกกังวล ฟุ้งซ่าน และอาการหัวร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากเลยทีเดียว นอกจากนี้เสาวรสยังช่วยบำรุงผิวพรรณ สายตา และช่วยอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันมะเร็งได้เป็นอย่างดีอีกด้วย หากใครไม่สะดวกที่จะทานเสาวรสเป็นลูก ก็สามารถเลือกทานน้ำเสาวรสสำเร็จรูปแทนได้ ซึ่งเราสามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านสะดวกซื้อนะครับ

เชอร์รี่

นักวิจัยเซอร์ไพรส์มากที่พบว่าในผลเชอร์รี่มีสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อช่วยในการนอนหลับ แม้ว่าในผลเชอร์รี่จะมีเมลาโทนินอยู่ไม่มากก็ตาม แต่หากเราทานเชอร์รี่ในปริมาณที่มากพอก็สามารถช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้นได้ อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีการนำเชอร์รี่มาสกัดเอาสารเมลาโทนินเพื่อช่วยเป็นยานอนหลับธรรมชาติซึ่งมีความปลอดภัยสูงในท้องตลาดหลากหลายแบรนด์เลยทีเดียว หากใครสนใจก็ลอง Search หาดูในอินเตอร์เน็ตได้ หรือลองสอบถามเภสัชกรที่คุณไว้ใจ

อัลมอนด์

เรามาปิดท้ายกันที่อัลมอนด์ ซึ่งเป็นผลไม้เมืองหนาว เม็ดของมันนิยมนำมาทานเล่น หรือทานควบคู่กับของหวาน เช่น ไอศกรีม และแบเกอร์รี่ เป็นต้น จากข้อมูลทางด้านโภชนาการพบว่าเม็ดอัลมอนด์นั้นอุดมไปด้วยไขมันดีที่ช่วยดักจับไขมันเลย ช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกายได้ดีขึ้น ทานเม็ดอัลมอนด์เป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายเลือดลมสูบฉีดดี มีชีวิตชีวา นอกจากนี้เม็ดอัลมอนด์ยังมีสรรพคุณช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุลอีกด้วย ซึ่งความสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือดจะส่งผลต่อสภาพอารมณ์ที่ดี ไม่หงุดหงิดง่ายนั่นเอง ไม่เพียงเท่านั้นเม็ดอัลมอนด์ยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุแมงกานิสที่ช่วยผ่อนคลายความตึงของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น จึงช่วยป้องกันอาการเหนื่อยเมื่อยล้าจากการนั่งทำงานนานๆ ได้ดีเลยทีเดียว และทั้งหมดนี้จึงทำให้เม็ดอัลมอนด์สามารถช่วยป้องกันอาการหัวร้อนได้เป็นอย่างดีแน่นอน

 และนี่ก็คือ 5 ผลไม้ระงับประสาทที่เราอยากแนะนำให้เพื่อนๆ ได้รู้จักในครั้งนี้ จะเห็นได้ว่าแต่ละอย่างนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย ทานแล้วอารมณ์ดี ราคาไม่แพง และสามารถหาซื้อได้ง่ายมากเลยใช่มั้ยล่ะ หากคุณวิตกกังวล เครียด หัวร้อน ขี้รำคาญ นอนไม่หลับก็อย่าเพิ่งรีบไปซื้อยานอนหลับ หรือยาระงับประสาทที่มีผลข้างเคียงมาทาน ลองทานผลไม้พวกนี้ดูก่อนครับ เพราะปลอดภัย ไร้กังวล และได้ผลดีระดับหนึ่ง หากทานแล้วยังช่วยให้อาการดีขึ้นไม่ได้จึงค่อยไปปรึกษาจิตแพทย์ครับ

Text – Sujate Wanchat