แน่นอนว่าถ้าพูดถึงสโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จสักทีม ผลงานหน้าฉากของนักเตะ หรือผู้จัดการทีม ย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่เรานึกถึง
แต่หากมองไปหลังฉาก การบริหารของเจ้าของทีม และผู้บริหาร ย่อมสำคัญไม่แพ้กัน ยิ่งในยุคโมเดิร์น ฟุตบอล ที่การเงินมีความสำคัญในการขับเคลื่อนทีม
การบริหารงานสโมสรฟุตบอลไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงคุณจะมีเงินเป็นถุงเป็นถังเหมือน “โรมัน อบราโมวิช” หรือ “ชีคมันซูร์” คุณก็มีสิทธิ์ตกม้าตาย หรือถูกจดจำในฐานะผู้ร้ายได้ หากการบริหารงานของคุณไม่ชอบมาพากล ยิ่งมันไปกระทบกับการพัฒนาของทีม คุณยิ่งถูกหมายหัวไปใหญ่
“ทำดีร้อยครั้ง ไม่เท่าทำเลวครั้งเดียว” เป็นประโยคที่ใช้ได้ดีเสมอกับพวกเจ้าของทีมทั้งหลาย เพราะเรื่องอื้อฉาว และการตัดสินใจที่ผิดพลาด มักจะถูกจดจำตลอด
เหมือนที่คุณจดจำคำพูด “ผู้หญิงอังกฤษไม่ชอบล้างจิ๊มิ” ของ “ออเรลิโอ เด ลอเรนติส” ประธานจอมห่ามของนาโปลี หรือคำขอสร้างรั้วช็อตไฟฟ้ากันแฟนบอลของ “เคน เบตส์” อดีตประธานตัวแสบของเชลซี แบบกี่ปีก็ไม่ลืม
แต่นอกเหนือไปกว่านั้น ยังมีเจ้าของทีมอีกบางส่วน ที่เรื่องราวด้านแย่ๆ ของพวกเขา ส่งเสียงดังมากกว่าคำพูดห่ามๆ หลายร้อยพันเท่า และวันนี้เราจะพาไปรู้จักพวกเขากัน ว่ามันบ้าบอแค่ไหน
ครอบครัวเวนกี้ (แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส)
ครอบครัวเวนกี้ ถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทางด้านอาหาร และยาจากประเทศอินเดีย ในชื่อของ “วี เอช กรุ๊ป” พวกเขาเข้ามาเทคโอเวอร์ “กุหลาบไฟ” แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ปลายปี 2010 โดยถือหุ้น 99.9% และประกาศขายของแต่แรก ว่าจะพาแบล็คเบิร์นกลับไปเล่นฟุตบอลที่สวยงามมีเสน่ห์
“กุหลาบไฟ” ตอนนั้นยังอยู่ในพรีเมียร์ลีก และมีผลงานพอไปวัดไปวาได้ อยู่ราวๆ กลางตาราง คุมทีมโดย “แซม อัลลาไดซ์” กุนซือมากประสบการณ์ ซึ่งตอนนั้นก็ถือว่าเป็นมือดีคนนึงของวงการ
อย่างที่ทราบกัน ว่า “บิ๊กแซม” มีสไตล์ฟุตบอลที่ค่อนข้างโบราณ แม้มันจะได้ผลดี และพาทีมอยู่รอดตลอด แต่มันก็ไม่ค่อยน่าพิสมัย เจ้าของใหม่เลยสั่งปลดกลางอากาศซะเลย ถือเป็นข่าวช็อทั้งวงการ ขนาด “เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน” ยังออกมาสัมภาษณ์ว่า มันเกิดอะไรขึ้นฟระเนี่ย!
คุณคิดว่าคนที่มาแทน จะเป็นกุนซือมีชื่อใช่มั้ยล่ะ? ป่าวเลย! เพราะเวนกี้โดนมนต์เสน่ห์เป่าหูมาตั้งแต่ก่อนมาเทคโอเวอร์ ว่าให้ทำการตั้ง “สตีฟ คีน” ผู้ช่วยของบิ๊กแซม ที่ไม่เคยเป็นนายใหญ่เบอร์ 1 มาก่อน ขึ้นมาคุมทีมต่อ เกิดคำถามจากแฟนบอล ว่าเนี่ยนะ จะทำให้ฟุตบอลของทีมสวยงาม?
จากอันดับกลางตาราง ผลงานตกต่ำลงจนทีมต้องมาลุ้นหนีตกชั้น แม้สุดท้ายจะรอดมาได้ แต่ในซีซัน 2011/12 ต่อมา พวกเขาก็ไม่รอดสันดอน จบรองบ๊วยหล่นชั้น โดยคีนได้คุมทีมยาวทั้งปี แบบไม่โดนปลดด้วย ให้ตายเถอะ!
นับตั้งแต่ซีซันนั้น อดีตแชมป์พรีเมียร์ลีก 1 สมัย ยังคงอยู่ในมือของครอบครัวเวนกี้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน สไตล์การเล่นบอลสวยงาม ก็ยังไม่มีให้ชื่นใจไม่เปลี่ยน แต่ที่เปลี่ยนคือพวกเขากลายเป็นสมาชิกถาวรของ “เดอะ แชมป์เปียนชิพ” ไม่เคยได้อันดับดีกว่าอันดับ 8 แถมมีซีซันนึงยังตกชั้นลงไปแวะเยี่ยม “ลีกวัน” มาแล้วอีกต่างหาก
แซม ฮัมมาน (วิมเบิลดัน)
เคยได้ยินฉายา “เครซีแกงค์” กันใช่มั้ยครับ? หลายคนคงเข้าใจว่าไอ้ฉายาบ้าบิ่นนี้ มันเกิดจากพฤติกรรม และสไตล์การเล่นของนักเตะวิมเบิลดัน ที่นำทีมโดย “วินนี่ โจนส์” แต่ความจริงแล้ว ความ “เครซี่” มันมีตั้งแต่ระดับเจ้าของสโมสรเลยต่างหาก!
ถึงวิมเบิลดัน ภายใต้การดูแลของนักธุรกิจเชื้อสายเลบานอนรายนี้ จะมีเกียรติประวัติที่น่าภูมิใจไม่น้อย ทั้งการต่อสู้เลื่อนชั้นจากลีกล่างจนขึ้นมาดิวิชั่น 1 (ชื่อเดิมของพรีเมียร์ลีก) และคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ 1988 แบบหักปากกาเซียนด้วยการล้มลิเวอร์พูล
แต่เรื่องพฤติกรรมอันดีเดือด ก็มีให้เราเห็นจากฮัมมานเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น การเผาเสื้อนักเตะทีมตัวเองหลายครั้ง, เผาผ้าพันคอในห้องแต่งตัวนัดเยือนเวสต์แฮม เพื่อปลุกใจนักเตะ, สัญญาว่าจะจูบ “ดีน โฮลส์เวิร์ธ” หากเขาทำประตูได้เกินเป้าหมาย หรือข่าวลือว่าเขาใส่เงื่อนไขในสัญญาของกุนซือ “บ๊อบบี้ กูลด์” ว่า ฮัมมานมีสิทธิ์เปลี่ยนตัวนักเตะ 45 นาทีก่อนเตะ!
ทีเด็ดกว่านั้น แกยังเคยขัง “ร็อบบี้ เอิร์ล” อดีตกัปตันทีมวิมเบิลดัน ไว้ในห้องล็อคเกอร์ ตอนที่เอิร์ลเข้ามาเจรจาย้ายมาร่วมทีมจากปอร์ทเวล โดยฮัมมานบอกว่าเขาเอากุญแจไปเก็บไว้ในกางเกงในตัวเอง และจะปล่อยเมื่อเอิร์ลตกลงเซ็นสัญญากับวิมเบิลดัน
วีรกรรมเกี่ยวกับการกินก็มี โดยมีข่าวลือบ่อยครั้ง ว่าสมัยเป็นเจ้าของวิมเบิลดัน แกชอบให้นักเตะกินอัณฑะของแกะ เพราะเป็นเรื่องความเชื่อแบบเลบานอน หรือสมัยที่แกมาเป็นเจ้าของสโมสรคาร์ดิฟฟ์ แกเคยบีบให้ “สเปนเซอร์ ไพรเออร์” กองหลังของทีมต้องกินเมนูเดียวกัน หากอยากจะย้ายไปแมนฯ ซิตี้ ที่ทาบทามขอซื้อตัวมา
และนอกเหนือจากพฤติกรรม “เครซี่” ที่ว่าไป แกยังเป็นคนขายสโมสรในช่วงที่ทีมยังอยู่พรีเมียร์ลีก เพื่อหวังกำไร ถึงจะไปโทษแกคนเดียวก็ไม่ถูก แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีส่วนสำคัญต่อทีมอันเป็นเอกลักษณ์ ในภายหลัง
เพราะการบริหารงานหลังจากนั้น ทำทีมต้องตกชั้น ไร้สนามอยู่ และท้ายที่สุด กับหายนะเรื่องการตัดสินใจย้ายไปอยู่มิลตัน คีนส์ ด้วยเหตุผลทางธุรกิจ จนได้ชื่อสโมสรใหม่ว่า “มิลตัน คีนส์ ดอนส์”
การย้ายจากกลุ่มแฟนบอลเดิมที่เหนียวแน่น ทำให้เกิดกระแสแอนตี้อย่างรุนแรง เพราะมิลตัน คีนส์ อยากจะยึดความสำเร็จในอดีตของวิมเบิลดันติดไปด้วย นั่นทำให้มีกลุ่มแฟนบอลรวบรวมทุนตั้งสโมสรเองขึ้นมาในชื่อ “เอเอฟซี วิมเบิลดัน” นั่นเอง
ลูเซียโน่ กูชชี่ (เปรูจา)
แวะไปที่อิตาลีกันบ้าง กับอดีตเจ้าของทีมเปรูจา ทีมที่เคยโลดแล่นอยู่ในกัลโช่ เซเรีย อา และเป็นสโมสรแจ้งเกิดแรกของ “ฮิเดโตชิ นากาตะ” บนแผ่นดินยุโรป
กูชชี่มีพื้นเพเดิมเป็นเจ้าของธุรกิจ ก่อนจะกระโดดเข้ามาแจมในแวดวงกีฬา เคยดำรงตำแหน่งรองประธานสโมสรโรม่า ในยุค 80 ก่อนจะเข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรเปรูจา และฝากวีรกรรมทีเด็ดไว้ให้จดจำไม่น้อย
ประเด็นที่โด่งดังที่สุดของกูชชี่ คือการตัดสินใจยกเลิกการเซ็นสัญญากับ “อาห์น จุง วาน” กองหน้าทีมชาติเกาหลีใต้ หลังแนวรุกรายนี้ ยิงประตูชัยเขี่ยอิตาลีตกรอบฟุตบอลโลก 2002 โดยกูชชี่ให้เหตุผลว่า ไม่อาจร่วมงานกับคนที่ทำให้วงการฟุตบอลอิตาลีต้องผิดหวัง…
นอกจากนั้น เปรูจาในยุคของกูชชี่ ยังเคยสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการเซ็นสัญญากับ “ซาดี้ กัดดาฟี่” ลูกชายของผู้นำเผด็จการทางทหาร “มูอัมมา กัดดาฟี่” แห่งลิเบีย ทั้งๆ ที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าซาดี้ ไม่ได้มีฝีเท้าควรเป็นนักบอลอาชีพด้วยซ้ำ โดยซาดี้อยู่กับทีมราว 3 ปี ลงเล่นในฐานะตัวสำรองนัดเดียว และเคยตรวจโด๊ปไม่ผ่านอีกต่างหาก
เรื่องการเซ็นสัญญากับซาดี้ สื่อเขาเชื่อว่ามีลับลมคมใน เพราะกูชชี่เองพัวพันกับการฉ้อโกง และมีธุรกิจแข่งม้าที่เอาจริงเอาจังอย่างมาก เพราะหากวัดกันที่ฝีเท้า คำจำกัดความที่สื่ออิตาลีเคยพูดว่า “ถึงซาดี้จะเพิ่มสปีดตัวเองเป็น 2 เท่าของที่มี ก็ยังช้ากว่าคนอื่นเขา 2 เท่า” คงเป็นคำตอบไปในตัว
ท้ายสุดกับเปรูจา สโมสรต้องล้มละลายในปี 2005 จนทีมหล่นตกชั้นไปไกล ตัวกูชชี่ก็โดนคดีฉ้อโกงภาษี จนต้องหอบครอบครัวหนีไปอยู่โดมินิกัน ก่อนจะกลับมารับโทษหลังจากนั้น นอนคุกไป 4 ปี
เคน ริชาร์ดสัน (ดอนคาสเตอร์ โรเวอร์ส)
ถึงชื่อเสียงของริชาร์ดสัน และสโมสรดอนคาสเตอร์ จะไม่ค่อยคุ้นหูในบ้านเรา แต่วีรกรรมที่เขาทำไว้ มันช่างยากจะจดจำ เพราะพี่แกเล่น “เผาสนามตัวเอง”
ดอนดาสเตอร์ หรือเรียกเล่นๆ ว่า “ดอน” ถือเป็นอีกหนึ่งสโมสรเก่าแก่ของฟุตบอลอังกฤษ ก่อตั้งตั้งแต่ปี 1879 นู่น โดยสโมสรมีสนามอันเป็นที่รักของแฟนชื่อว่า “เบลล์ วิว” ซึ่งในยุคที่อนุญาตให้ไม่มีที่นั่ง สนามแห่งนี้เคยมีความจุแตะหลัก 40,000 คนเลยทีเดียว
กาลเวลาทำให้สโมสรเก่าแก่แห่งนี้ ตกต่ำ และไม่ได้มีส่วนร่วมในลีกระดับบนของอังกฤษมากนัก จนในช่วงปี 1995 ที่แผนการขอสร้างสนามใหม่ของริชาร์ดสัน ถูกปฏิเสธโดยสภาเมือง เขาจึงวางแผนเผาเบลล์ วิว มันซะเลย เพื่อเรียกเอาเงินประกัน และหวังว่าสนามจะได้สร้างใหม่
ริชาร์ดสันไม่ได้ไปเผาเองหรอกครับ เขาจ้างทีมงาน 3-4 ราย โดยหนึ่งในนั้นคืออดีตทหารหน่วยรบพิเศษทางอากาศของอังกฤษ ซึ่งต่อมาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามตัว และรวบเข้าซังเตแบบยกแกงค์ เลยซัดทอดมาถึงริชาร์ดสัน ให้ไปนอนกินข้าวแดง 4 ปี ข้อหาลอบวางเพลิง
เริ่มด้วยเรื่องการเผาสนาม ทำเอาเรื่องอื่นที่จะเล่าเบาไปเลย แต่มันก็ยังมีเรื่องที่อดเล่าไม่ได้ เพราะนอกจากผลงานของดอนคาสเตอร์ในสมัยแกเป็นเจ้าของจะตกต่ำ ถึงขนาดตกชั้นออกไปอยู่นอกลีก ด้วยการจมบ๊วย มีผลต่างประตูได้เสีย -83
แกยังเคยประหยัดค่าใช้จ่ายช่วงที่ดอนคาสเตอร์ กำลังจะล่มจม ด้วยการจ้าง “ผู้จัดการร้านของที่ระลึก” ของสโมสรสต็อคพอร์ท เคาท์ตี้ มาทำหน้าที่กุนซือของทีม! ไม่รู้ค่าจ้างเท่าไหร่ แต่น่าจะถูกที่สุดครั้งนึงของโลกฟุตบอลเลยแหละ!
บูลัต ชากาเยฟ (นูชาเทล ซามักซ์)
นักธุรกิจชาวเชซเนีย เข้ามาเป็นเจ้าของสโมสร “นูชาเทล ซามักซ์” ทีมในลีกสูงสุดของสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อกลางปี 2011 และอยู่ในตำแหน่งได้แค่ประมาณ 7-8 เดือน พร้อมฝากเรื่องราวน่าปวดหัวไว้มากมาย
ตลอดระยะเวลาแค่ 7 เดือน แกของขึ้นง่ายหรือไงก็ไม่ทราบ ปลดกุนซือไปทั้งหมด 4 ราย โดยมีครั้งนึงปลดแบบยกแผงทันทีที่ทีมแพ้ นอกจากนั้นยังตัดความสัมพันธ์กับสปอนเซอร์ของสโมสร และที่หนักหนาที่สุด คือการปลดพนักงานระดับปฏิบัติงานหลายราย และไม่สามารถหาคนมาแทนได้ทัน จนเกมแรกของซีซัน ไม่มีคนปรินท์ตั๋วเพื่อขาย!
ไม่เพียงแค่นั้น ระหว่างที่กำลังเกรี้ยวกราดบริหารงานทีมอย่างฮาร์ดคอร์ แกก็ถูกสอบสวนทันที เพราะวีซ่าที่แกใช้นั้นผิดกฎหมาย และเข้าสู่ประเทศมาอย่างไม่ถูกต้อง อะไรมันจะพังพินาศขนาดนั้น
ปิดฉากย่อหน้าสุดท้ายเรื่องราวให้ฮาร์ดคอร์สมกับซากาเยฟ เพราะการที่แกไปงัดข้อ ไม่เอาสปอนเซอร์ 2 รายใหญ่ ยังมีผลสำคัญให้ทีมล้มละลาย และปรับตกชั้นรวดเดียว 5 ดิวิชั่น ในช่วงปี 2012
แต่เคราะห์ยังดีที่สโมสรสามารถตั้งตัวกลับมาได้ใหม่ เริ่มไต่เต้าขึ้นมาจากลีกสมัครเล่น จนปัจจุบันซามักซ์ สามารถกลับมายืนบนลีกสูงสุดได้อีกครั้ง ถ้าซากาเยฟยังอยู่ คงเป็นไปไม่ได้….
นี่แค่เพียง 5 เจ้าของทีมสุดบ้าบอ ก็เล่ากันเพลิดเพลินยืดยาวแล้ว ยังไงถ้ากระแสตอบรับดี เราจะหาโอกาสเขียนถึงเจ้าของทีมประเภทนี้กันเพิ่มเติม ใครชอบก็รอติดตามกันนะ!
Picture : Eurosport Asia, Balls.ie, Dondy Online, WordPress (Shoutsfromthestands), Sporting News, Daily Mail, Daily Mirror, The Irish Post, The Telegraph, Sky Sports, Il Corriere dell’Umbria, FIFA, Wikizeroo, BBC, The Guardian, eCNA, Arcinfo