ช่วงที่ประชาชนคนไทยต้องอยู่ติดบ้าน เพราะเจ้า “โควิด-19” ยังสุ่มเสี่ยง โอกาสที่เราจะได้ชมซีรีส์ที่บ้านก็มีมากขึ้นตามไปด้วย จึงไม่แปลก ที่จะเห็นการพูดถึงซีรีส์กันเพียบ ดังนั้นเรื่องที่จะกลายเป็นกระแสพูดกันทั่วถึงในช่วงนี้ ต้องมีทีเด็ดอะไร ที่น่าสนใจ
ในบรรดาซีรีส์น่าดูชม “Itaewon Class” เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่ถูกพูดถึงกันอย่างมาก และด้วยคำชมด้านบวก ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ขึ้นไปติดอันดับ Top 1 หรือ 2 ของ Netflix ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งพอดูจนจบแล้ว เราก็เห็นด้วยกับหลายกระแสเลย ว่าซีรีส์เรื่องนี้ “มีทีเด็ด”
เนื้อเรื่องย่อ
“Itaewon Class” บอกเล่าเรื่องราวการ “ทวงแค้น” ของพระเอกทรงผมเกาลัด “พัคแซรอย” หนุ่มมุ่งมั่น ซึ่งชีวิตถูกทำลายย่อยยับ ด้วยการเข้าไปข้องแวะกับ “ตระกูลชาง” ครอบครัวอิทธิพลสูงด้านธุรกิจอาหารที่มีชื่อแบรนด์ว่า “ชางกา” โดยมีประธาน “ชางแดฮี” และลูกชายตัวแสบ “ชางกึนวอน” เป็นตัวละครสำคัญ
การทะเลาะวิวาทของแซรอย กับเจ้ากึนวอน ส่งผลให้เขาโดนเด้งจากโรงเรียน และพ่อของเขาที่ทำงานชางกา ก็ต้องมาลาออกตามไปอีก เท่านั้นยังไม่พอ ชางกึนวอน ยังก่อเหตุชนแล้วหนี จนพ่อของแซรอยต้องเสียชีวิต สร้างความเดือดดาลให้แซรอยลงไม้ลงมือแก้แค้น จนต้องเข้าไปนอนในซังเตด้วยข้อหาร้ายแรง ถึง 3 ปี
แต่ชีวิตที่เรียกว่าพังครืนของแซรอย ไม่ได้ทำให้เขาท้อถอย เขามีเป้าหมายสำคัญในการออกมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ และแก้แค้นตระกูลชาง ด้วยการสร้างแบรนด์ของตัวเองให้เป็นอันดับ 1 ในด้านธุรกิจอาหาร เหนือกว่าชางกาให้ได้
เรื่องราวการทวงแค้นด้วยชั้นเชิงการสร้างธุรกิจจึงเกิดขึ้นนับจากจุดนั้น โดยนอกเหนือจากการต่อสู้ของแซรอยแล้ว ยังมีตัวละคร 2 สาว อย่าง “โอซูอา” เพื่อนและคนที่เขารักมาแสนนาน กับ “โซอีซอ” เด็กสาวแอนตี้สังคมตัวแสบ ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตของแซรอย จนเกิดกิมมิครักสามเส้า ให้ได้มีมิติเพิ่มเติมด้วย
รีวิวกันหน่อย
สิ่งแรกเลยที่ผมชอบเกี่ยวกับ “Itaewon Class” คือเรื่องของ “ชั้นเชิง” ซึ่งแสดงให้ผู้ชมเห็นถึง “ความเฉียบคม” ในการผลิตซีรีส์เรื่องนี้ ให้น่าชื่นชมในทุกส่วนประกอบของเนื้อหา และการโปรดักชั่น (เพลงเพราะนะฮะ ลองหาฟังดู ^^)
คาแรกเตอร์ และบทสนทนา ถือเป็นจุดแรกที่อยากชม เพราะทุกตัวละครสามารถบาลานซ์ระหว่างความสมจริง และการผลักดันให้เนื้อเรื่องมีสีสัน ได้พอดิบพอดี ทุกตัวมีความเป็น “มนุษย์” ที่จับต้องได้ ซึ่งทำให้เราได้เห็นทั้งด้านที่ดี และด้านที่ผิดพลาด ที่เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา
ความประณีตในการสร้างตัวละคร ยังแสดงออกมาชัดเจนทางบทสนทนา ที่เรื่องนี้มักจะยึดมั่นใน “อุดมการณ์” ของตัวละคร และนำมากระจายใช้ในเหตุการณ์ต่างๆ ตลอดเรื่อง ซึ่งนอกจากจะตอกย้ำให้คนดูเก็ทมากขึ้น ยังทำให้เรารู้สึกได้ว่าตัวละครแต่ละตัวมีกรอบที่ชัดเจน น่าสนใจ
เรื่องของเนื้อหา เป็นสิ่งที่ชมรองลงมา เพราะทำได้น่าติดตาม มีช่วงเอื่อยหรือแผ่วบ้าง แต่ก็ไม่ทำให้สะดุดน่าเกลียด จึงไม่แปลกที่เมื่อเริ่มดู แล้วจะหยุดไม่ค่อยได้ เผลอแป๊บเดียวก็นอนดึกกันเป็นแถบ
อย่างไรก็ดี จุดของเนื้อหามีการหักคะแนนไปบ้างในช่วง EP ท้ายๆ ของเรื่อง ที่ดูจะจำเจ และลดความน่าสนใจมากไปหน่อย แต่ด้วยการปูเนื้อหา และเพาะบ่มตัวละครตั้งแต่แรกอย่างที่ว่ามา ก็เพียงพอจะทำให้เราอิน และออกปากชมได้อย่างไม่เคอะเขิน เมื่อดูจบ
ส่วนสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะมันทำให้ “Itaewon Class” ดูแตกต่างจากเรื่องอื่น คือการถ่ายทอด “แง่คิด” ของเรื่องและตัวละคร ซึ่งเพิ่มความสนุกต่อการติดตาม และน่าหยิบเอามาเขียนให้อ่านกันต่อด้านล่าง
5 แง่คิดน่าสนใจ
[ใช้ชีวิตด้วยอิสระของตัวเอง]
ประเด็นนี้ไม่ได้ใหม่เอี่ยมอะไร หลายเรื่องก็ใช้กันอยู่บ่อยๆ เพื่อสร้างคาแรกเตอร์ให้ดูโดดเด่นสะดุดตา ซึ่ง “Itaewon Class” เองก็ใช้ เพียงแต่ใช้ได้แนบเนียน และสร้างความเชื่อต่อคนดู มากกว่าเรื่องอื่นๆ
แง่คิดในข้อนี้ ต้องขอชมช่วง 2-3 EP แรกเป็นอย่างยิ่ง ว่าซีรีส์สามารถเล่าปูมหลังของตัวละครได้เฉียบคม ไม่ว่าจะเป็นการบอกแบบโต้งๆ หรือการทำให้เราค่อยๆ ซึมซับ ซึ่งมันเป็นผลดีอย่างมากในตอนกลาง และท้ายของเรื่อง ว่าทำไมแต่ละตัวละครถึงตัดสินใจเชื่อมั่นในสิ่งที่ลงมือทำ
ความชัดเจนของแนวคิดตัวละคร สร้างความน่าสนใจให้ผู้ชมสำเร็จแล้ว บทซีรีส์ยังเก่งที่มี “ลิมิต” ของแต่ละการตัดสินใจมาตบให้เกิดความเชื่อว่ามันสมจริงเพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งส่งผลดีชัดเจน ต่อการสร้างอารมณ์ “พร้อมจะเอาใจช่วย” และ “พร้อมเข้าใจ” ตัวละครต่างๆ ไปควบคู่กับความบันเทิง
แง่มุมนี้ ชอบการหยิบยกแนวคิดของ “พัคแซรอย” ที่สื่อสารไว้แต่แรกกับคุณพ่อ และการเลือกทางเดินชีวิตของ “โซอีซอ” ที่มันไม่ใช่แค่ต่อต้านสังคม และเป็นตัวของตัวเองเอาเท่ แต่มีความชัดเจนในวิธีที่จะก้าวไปสู่เป้าหมาย ซึ่งสอนเราในชีวิตจริง ให้หาจุดบาลานซ์ตรงนี้ให้ได้ หากจะเลือกทางเดินของตัวเอง และอยากประสบความสำเร็จ
[คนใกล้ตัวสำคัญเสมอ]
ต่อเนื่องจากแง่คิดแรก สิ่งที่เข้ามาตบแนวคิดส่วนตัวให้เข้ารูปเข้ารอย คือเรื่องของคนรอบกายใกล้ตัว เพราะ “Itaewon Class” แสดงให้เห็นว่า เราต้องเจอปัจจัยอื่นๆ มากมายในการลงเมือทำอะไรซักอย่าง โดยเฉพาะคนใกล้ตัวที่มีผลสำคัญไม่น้อย
ซีรีส์สอนให้เรารู้ว่า พลังทั้งแง่บวกหรือลบ ล้วนส่งต่อกันได้จากคนใกล้ตัวนี่แหละ ขึ้นอยู่กับว่าตัวเราจะพร้อมนำเอาไปกำหนดทิศทางการตัดสินใจของเราแค่ไหน อย่างเส้นทางการค่อยๆ เติบโตของ “พัคแซรอย” ที่มีทีมงานคอยร่วมผลักดันเป้าหมายพร้อมกับเขา
นอกเหนือจากปัจจัยที่เข้ามากระทบ ซีรีส์ยังพยายามสื่อสารวิธีการเลือกใช้กลยุทธ์ “ชนะมิตร และจูงใจคน” ที่น่าสนใจ และไม่เว่อร์วังเกินจริง ซึ่งยิ่งเป็นแง่คิดที่ดี ที่เราจะให้ความสำคัญกับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะมาดี หรือมาร้าย
[ความพยายามมีแค่ไหน ความสำเร็จอาจไม่มาตามนั้น]
ความจริงข้อนี้ มันก็มาจากวลีคลาสสิก “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” ที่ใช้กันในทุกเรื่องน่ะแหละ เพียงแต่ซีรีส์เรื่องนี้ สามารถทำให้มันกลมกล่อม สร้างแรงผลักดันเอาใจช่วย และความคาดหวังจากผู้ชม ได้อย่างสม่ำเสมอตลอดเรื่อง
จุดนี้ผมขอย้อนไปชมการวางคาแรกเตอร์อีกแล้ว ที่ไม่ใช่แค่ตัวฝั่งคนดีเท่านั้น ที่ช่วยผลักดันในทิศทางบวกกัน ตัวละครฝั่งร้าย ก็มีส่วนเกื้อหนุนให้เกิด “ความพยายาม” ซึ่งทำมาได้ดี ไม่ใช่กระโชกโฮกฮาก ใช้ความรุนแรง แต่ใช้แรงผลักในใจ ซึ่งทำให้มันมีชั้นเชิงน่าติดตามชม
ที่ใช้คำว่า “ความพยายามมีแค่ไหน ความสำเร็จอาจไม่มาตามนั้น” เพราะชีวิตมันไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ ความพยายามเพียงอย่างเดียว อาจจะไม่เพียงพอให้ประสบความสำเร็จ
การใช้ชั้นเชิงทางความคิด และจังหวะเวลาที่ถูกต้อง ในการสร้างความพยายาม ก็มีส่วนสำคัญให้เกิดโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ ไม่แพ้กัน
ดังนั้น หากพยายามไปแล้วสูญเปล่า ก็อย่าพึ่งท้อถอย เพราะการล้มและผิดหวัง อาจเปิดตาเราให้สว่าง และหาหนทางกลับไปสู้ใหม่ ด้วยความพยายามที่ “ถูกทิศทาง” มากกว่าเดิม
[เก่งเป็นทีม แกร่งเป็นกลุ่ม]
สิ่งที่ให้แง่คิดชัดเจนอีกอย่างคือเรื่องพลังของทีม เพราะมันคงยากที่จะประสบความสำเร็จแค่คนเดียว เพราะถึงเราจะเก่งกล้าแค่ไหน เราก็คงไม่เด่นไปซะทุกอย่าง ทีมเวิร์คจะช่วยอุดรอยรั่ว และทำให้ความบาลานซ์ในการเดินหน้าอย่างมั่นคงขึ้น
แต่ก็อย่างที่บอกไป ว่าทุกคนไม่ได้เด่นไปซะทุกอย่าง เนื้อหาของซีรีส์ก็เลยดันเรื่องการช่วยกัน “เติมเต็ม” ซึ่งกันและกัน แทนที่จะทำให้ทุกคนกลายเป็นคนที่เพอร์เฟ็คไปซะหมด มันก็เลยส่งผลให้เนื้อหามีมิติ และทำให้คนรักตัวละครอื่นๆ เพิ่มเติมไปด้วย
นอกเหนือจากเรื่องของ “คน” ที่พูดถึงการลุยแบบทีมเวิร์ค ซีรีส์ยังผสมผสานเรื่องของกลยุทธ์ธุรกิจเข้าไปในบางส่วน ว่าองค์ประกอบแค่อย่างเดียวไม่ได้ผลักดันให้ประสบความสำเร็จ เท่ากับช่วยให้สิ่งแวดล้อมรอบข้างเอื้อไปด้วย ซึ่งจุดนี้แหละ ทำให้หลายคนมองว่าซีรีส์เรื่องนี้ มีชั้นเชิงที่แตกต่างจากเรื่องอื่น
[หาถ่าน(ให้ถูกก้อน) เติมไฟในตัวคุณ]
แง่คิดสุดท้ายที่ผมชอบมากที่สุดข้อนึง คือเรื่องของการสร้างแรงขับในตัวเองของตัวละครต่างๆ ไม่ใช่แค่ “พัคแซรอย” ที่เป็นตัวเดินเรื่องหลัก แต่ยังเป็นตัวละครอื่นๆ อย่างท่านประธาน “ชางแดฮี” หรือตัวละครรอง ซึ่งทุกตัวมีความสมเหตุสมผลที่เพียงพอ ต่อการกระทำในเวลาต่อไป
นอกเหนือจากการบอกให้ผู้ชมรู้ว่าชีวิตเราต้องการแรงผลัก เหมือนเป็น “ถ่านเชื้อเพลิง” เติมให้เกิดความท้าทายในการกำหนดเป้าหมายแล้ว การสร้างกรอบและความคิดที่ไม่ถูกต้อง ย่อมส่งผลต่อการผลักดันเราไปในทิศทางที่ส่งผลเสียในอนาคตได้ด้วยเหมือนกัน
การผูกแง่คิดข้อนึง ที่ต้องการความถูกต้องในข้ออื่นๆ ที่กล่าวมา นอกจากทำให้หนังดูมีมิติน่าติดตาม ยังสร้างความรู้สึก “แปลกใหม่” ระหว่างดู แบบที่เราไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
ระดับความน่าดู : 9/10
ของเค้าดีจริงๆ แหละ เพราะโดยองค์ประกอบหลัก ถือว่า “Itaewon Class” ครบครันในการเป็นซีรีส์ดีๆ ที่ควรค่าแก่การชม และบอกต่อ
จุดเสียคะแนนอาจจะมีบ้างในช่วงท้ายๆ ที่เนื้อหามีความ “แผ่วปลาย” และหาทางจบแบบไม่ค่อยสมกับที่ปูเรื่องราวมาอย่างเท่ แต่ถ้าลองชั่งน้ำหนักกับความดีที่ทำมาได้เนี้ยบตั้งแต่ต้น มันไม่น่าเกลียดเลยที่จะมอบคะแนนระดับเกือบเต็มให้
เพราะตลอด 16 EP ที่จั่วหัวมาว่า “ทวงแค้น” แทบไม่มีความรุนแรงต่อยตีที่พร่ำเพรื่อ แต่มันกลับทำให้ความเข้มข้นในการชม หล่อเลี้ยงให้เราสามารถดูได้แบบไม่หลับไม่นอน ไม่เชื่อลองดู!
Picture : WallpaperAccess, JTBC, MEAWW, Insight.co.kr, Daum, Soompi, 천지일보, 더피알, 미주 중앙일보, Forbes, Twitter, 데일리시큐
Trailer : YouTube (Netflix Thailand)