หลังเสียงนกหวีดของเกมที่เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน บุกไปพ่ายให้กับฮัดเดอร์ฟิลด์ดังขึ้น การรอคอยอันยาวนาน 16 ปีของ “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด ก็สิ้นสุดลง โดยพวกเขาได้รับการการันตีแบบ 100% เรียบร้อย กับการกลับมาสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง
การกลับมาสู่เวทีสูงสุดของลีดส์ สร้างความตื่นเต้นให้แฟนบอล แม้จะไม่ได้เป็นแฟนของทีมนี้ก็ตาม เพราะนอกจากระยะเวลาอันยาวนาน ที่ “ยูงทอง” หายหน้าไป พวกเขายังเคยเป็นทีมลุ้นแชมป์ที่มีสีสันทั้งการเล่น และตัวนักเตะที่เป็นเอกลักษณ์ จนทำให้หลายคนหันไปปันใจเชียร์ด้วยอีกทีม
ถึงความทรงจำตอนลีดส์ยังโลดแล่นบนเวทีสูงสุดแดนผู้ดี รวมถึงฟุตบอลเวทียุโรป ดูจะผ่านไปไม่นานสำหรับแฟนบอลทั่วไป แต่หากไปถามแฟนบอลเดนตายของพวกเขา 16 ปีที่ผ่านมา ทีมผ่านอุปสรรคมากมายหลายอย่าง กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ดังนั้นจึงน่าชวนไปดูรายละเอียดกันหน่อย ว่าพวกเขาต้องต่อสู้กับอะไรมาบ้าง
ยุคทองของทัพเด็กห้าว
ก่อนจะไปดูการวนว่ายอยู่ในลีกรองนานถึง 16 ปี เราย้อนไปดูช่วงเวลาทองที่ทุกคนหลงรัก “ยูงทอง” กันหน่อย อาจจะไม่ต้องย้อนไปไกลถึงสมัยที่พวกเขาเป็นแชมป์ดิวิชั่น 1 (เดิม) ทีมสุดท้าย ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็นพรีเมียร์ลีก
หลังผลงานของทีมไม่ค่อยจะดี หล่นไปอยู่ครึ่งล่าของตาราง “จอร์จ เกรแฮม” อดีตกุนซือของอาร์เซน่อล ก็สามารถปลุกปั้นทีมให้ลืมตาอ้าปากขึ้นมาอยู่อันดับสูงๆ ได้อีกหน โดยซีซัน 1997/98 พวกเขาจบอันดับ 5 และได้ไปลุยยุโรปกับเวทียูฟ่า คัพ
ซีซันต่อมา เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อเกรแฮมย้ายไปคุมสเปอร์ ผู้ช่วยของเขาอย่าง “เดวิด โอ’เลียรี่” ก้าวขึ้นมาคุมทีมแทน ซึ่งถือเป็นการรับบทนายใหญ่ครั้งแรก ของอดีตตำนานนักเตะอาร์เซน่อล และทีมชาติไอร์แลนด์
ผลงานของโอ’เลียรี่ ดีกว่าที่หลายคนคาดคิด เขาสามารถสานต่อความสำเร็จของเกรแฮม ด้วยการพาทีมจบอันดับ 4 มีนักเตะที่โดดเด่นอย่าง จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์, ลี โบว์เยอร์, โจนาธาน วู้ดเกต, แฮร์รี คีเวลล์, อลัน สมิธ และอัลฟ์-อิงเก้ ฮาลันด์ พ่อของเออร์ลิง ฮาลันด์ ศูนย์หน้าฟอร์มฮ็อตในปัจจุบัน (เออร์ลิงเกิดที่ลีดส์นี่แหละ)
หลังทุกอย่างลงล็อค ผลงานของยูงทองก็ต่อยอดดีขึ้นอีก ซีซัน 1999/2000 พวกเขาจบอันดับ 3 ซึ่งเป็นใบเบิกทางให้ได้เล่น “ยูฟ่า แชมป์เปียนส์ ลีก” เป็นครั้งแรก แถมยังทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ แต่ก็ต้องตกรอบจากการพ่ายกาลาตาซาราย ซึ่งมีเหตุแฟนบอลลีดส์โดนแทงตายที่ตุรกี จนเป็นข่าวใหญ่โตด้วย
ซีซัน 2000/01 ถือเป็นขวบปีที่ทำให้คนรู้จักทีมเด็กหนุ่มทีมนี้มากที่สุด ลีดส์ทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ UCL ด้วยการผสมผสานพลังของดาวรุ่งที่เล่นร่วมกันมานาน กับตัวที่สโมสรทุ่มทุนเสริมทัพมา อย่างโอลิวิเย่ร์ ดากูร์, มาร์ค วิดูก้า, ริโอ เฟอร์ดินานด์ และร็อบบี้ คีน
เส้นทาง UCL ของพวกเขา มีแมทช์ที่น่าจดจำทั้งการเอาชนะ เอซี มิลาน, ลาซิโอ และเดปอร์ติโว ลา คอรุนญ่า 3 ทีมขาประจำในถ้วยบิ๊กเอียร์ ก่อนจะมาตกรอบรองฯ ด้วยฝีเท้าของ “ไอ้ค้างคาว” บาเลนเซีย
ด้วยการทุ่มทุนที่น่าสนใจ และการผลักดันดาวรุ่งฝีเท้าเยี่ยมขึ้นมาต่อเนื่อง หลายคนเริ่มหันมาปันใจให้ขุนพลชุดขาวล้วนทีมนี้ และคิดว่าหนทางข้างหน้าของทีมต้องสดใส แต่ใครจะคิดว่ามันมีเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่เปรียบดั่งการทวงคืนจากสัญญากับซาตาน
วิกฤติการเงิน และการร่วงตกชั้น
“ปีเตอร์ รีดส์เดล” ประธานสโมสรลีดส์ในขณะนั้น ลงทุนกู้หนี้ยืมสิน เพื่อเสริมทัพผลักดันทีมจนเกินตัว แม้ซีซัน 2000/01 คนนอกสโมสรจะจดจำว่าเป็นปีที่ประสบความสำเร็จสูงสุด แต่กับคนใน การจบเพียงอันดับ 4 และพลาดโอกาสไปเล่น UCL อีกหน ด้วยแต้มเพียงแต้มเดียวที่ตามหลังลิเวอร์พูล (สมัยนั้น ทีมจากอังกฤษได้เล่น UCL แค่ 3 อันดับแรก) คือจุดเริ่มต้นของการล่มสลาย
การไม่ได้ไป UCL ในปีถัดมา ทำให้ทีมสูญเสียรายได้เป็นจำนวนมาก เงินที่ทุ่มทุนซื้อนักเตะไปเกินกว่า 40 ล้านปอนด์ในสมัยนั้น กลายเป็นตัวเลขติดลบสีแดงโร่ และเหมือนเป็นการคาดโทษว่า ซีซันถัดไปห้ามพลาดการกลับไปเล่น UCL เด็ดขาด
ลีดส์เสริมทัพน้อยลงในซีซัน 2001/02 เติมนักเตะเพียง เซ็ธ จอห์นสัน และร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ด้วยมูลค่ารวม 20 ล้านปอนด์ และผลลัพธ์เมื่อจบซีซันก็ต้องผิดหวัง เมื่อทีมจบเพียงอันดับ 5 ชวดไป UCL อีกครั้ง ทั้งที่ซีซันนั้น ทีมอันดับ 4 ได้สิทธิ์ไปเตะถ้วยใบใหญ่ของยุโรปแล้ว
การไม่สามารถเข้าไปเล่น UCL ได้ 2 ปีติด ทำให้การเงินสโมสรเริ่มแย่ รีดส์เดลแก้ปัญหาด้วยการปลดโอ’เลียรี่ แบบช็อคแฟนบอล แล้วไปดึงเอา “เทอร์รี เวเนเบิลส์” อดีตกุนซือทีมชาติอังกฤษ ที่บอร์ดบริหารเชื่อว่า ประสบการณ์จะช่วยทำให้ทีมยูงทองกลับมาลุ้นอันดับหัวตารางได้อีกครั้ง
ด้วยสภาพคล่องทางการเงินที่ย่ำแย่ พวกเขาจำใจปล่อย “ริโอ เฟอร์ดินานด์” ไปแมนฯ ยู และ “ร็อบบี้ คีน” ไปสเปอร์ ก่อนที่ตลาดฤดูหนาว พวกเขายังปล่อยทั้ง ลี โบว์เยอร์, โจนาธาน วู้ดเกต และร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ออกไปอีก โดยไม่มีใครเข้ามาทดแทน
ผลงานการคุมทีมของเวเนเบิลส์เองก็ย่ำแย่ บวกกับการปล่อยวู้ดเกตออกไปให้นิวคาสเซิล ทั้งที่รีดส์เดลเคยรับปากว่าจะเก็บเซ็นเตอร์ตัวแกร่งไว้ ยิ่งทำให้เวเนเบิลส์ไม่พอใจ ความขัดแย้งนำไปสู่การปลดเวเนเบิลส์ และทีมต้องไปดึงเอา “ปีเตอร์ รีด” มาคุมแทน โดยสุดท้ายทีมรอดตกชั้นหวุดหวิด จบแค่เพียงอันดับ 15 เท่านั้น
ซีซันที่เกือบตกชั้น กลายเป็นการเผาหลอก ก่อนที่ซีซันถัดมา (2003/04) จะเปรียบเสมือนการเผาจริง ลีดส์ยังคงระบายนักเตะออกเพื่อเอาเงินมาพยุงสโมสรต่อเนื่อง แฮร์รี คีเวลล์ และโอลิวิเย่ร์ ดากูร์ จากทีมไปอีก ในขณะที่พวกเขาทำได้แค่ยืมนักเตะเข้าทีม โดยไปเสี่ยงเอาตัวจากลีกต่างประเทศ อย่างโรเก้ จูเนียร์, ซูมาน่า กามาร่า, ดิดิเย่ร์ โดมี่, ลามีน ซาโก้, ซาโลมอน โอเล็มเบ้ เข้ามา
ผลงานของทีมไม่ได้ดีขึ้นเลย พวกเขาอยู่ในโซนตกชั้นตั้งแต่นัดที่ 10 จนจบซีซัน การเล่น 13 นัดแรกของฤดูกาล ยูงทองแพ้ไปถึง 9 นัด ก่อนไปรันแพ้รวดอีก 6 นัดในช่วงเดือน ม.ค. บอร์ดบริหารก็วุ่นวาย มีการเปลี่ยนมือคนดูแลเป็นว่าเล่น เช่นเดียวกับตำแหน่งกุนซือ ที่รีดโดนปลด และต้องไปเอา “เอ็ดดี้ เกรย์” ตำนานสโมสรมาคุม แต่ผลงานก็ไม่กระเตื้อง
จากทีมดาวโรจน์ที่น่าตื่นตา ผ่านมาเพียงไม่กี่ปี ยูงทองกลายเป็นทีมที่ยับเยินทั้งในสนาม และการบริหาร พวกเขาตกชั้นสู่แชมป์เปียนชิพแบบเจ็บปวด
ยุคดำดิ่งสะสางหนี้
ไม่มีใครคิดว่าลีดส์จะกลับมาพรีเมียร์ลีกในระยะเวลาอันสั้นเลย เพราะพอตกชั้น ทีมต้องมีการเจรจากับนักเตะและทีมงาน ในการลดค่าเหนื่อย พวกเขาขายศูนย์ซ้อม ขายกรรมสิทธิ์สนาม “เอลแลนด์ โร้ด” อันเลื่องชื่อ ทุกอย่างกำลังพังทลาย
เคราะห์ยังดีอยู่บ้าง เมื่อสโมสรถูกขายต่อไปให้ “เคน เบทส์” อดีตเจ้าของทีมเชลซี ที่ขึ้นชื่อด้านการเล่นแร่แปรธาตุ เงินทุนของเบทส์ทำให้ลีดส์รอดการถูกตัดแต้ม เพราะปัญหาการเงิน แต่ก็ยังต้องผ่องถ่ายนักเตะดีๆ ออกไป ทั้ง อลัน สมิธ, เจมส์ มิลเนอร์, มาร์ค วิดูก้า, เอียน ฮาร์ท, พอล โรบินสัน, แดนนี่ มิลส์ ไล่ชื่อเอาก็รู้ว่าหมดทั้งทีมแล้ว
“เควิน แบล็คเวลล์” คือกุนซือผู้เข้ามารับเผือกร้อน เขาต้องใช้วิธียืม หรือเซ็นฟรีนักเตะที่มีประสบการณ์เข้ามาช่วย และประคองให้ทีมจบอันดับ 14 รอดการตกชั้นแบบ 2 ขั้นรวดไปได้
แม้ซีซันต่อมา (2005/06) ทีมจะทำผลงานได้ดี จนเกือบได้เลื่อนชั้นอัตโนมัติ แต่สุดท้ายจบอันดับ 5 และไปแพ้ในการเพลย์ออฟ แต่ซีซัน 2006/07 คือปีที่ทุกอย่างย่ำแย่กว่าเดิม ทั้งผลงานในสนาม และสถานการณ์ทางการเงินที่ติดลบหนัก จนสุดท้ายทีมโดนลงโทษตัด 10 แต้ม พวกเขาจบในอันดับบ๊วย และตกชั้นสู่ลีกวัน พร้อมความโกรธแค้นของแฟนบอล ที่รับรู้ถึงความเจ็บปวดถึงขีดสุด
ซีซันแรกในลีกระดับ 3 ของประเทศ ทีมร่วมกันสู้ทำผลงานได้ดี และทำแต้มเป็นกอบเป็นกำ เพียงแต่การโดนลงโทษหักแต้มต่อเนื่องถึง 15 คะแนน ทำให้พวกเขาจบแค่อันดับที่ 5 และสุดท้ายก็ไปแพ้เพลย์ออฟนัดชิงต่อดอนคาสเตอร์ซะอีก
ปีถัดมาเข้าอีหรอบเดิม ทีมจบในอันดับได้เพลย์ออฟ แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวังอีก ต้องรอถึงฤดูกาลที่ 3 ในลีกวัน “ไซม่อน เกรย์สัน” ถึงพาทีมจบรองแชมป์ ได้เลื่อนชั้นอัตโนมัติ โดยมีขุมกำลังหลัก ที่เราอาจจะคุ้นหูอย่าง โรเบิร์ต สน็อดกราสส์, เจอร์เมน เบ็คฟอร์ด, โจนาธาน ฮาวสัน หรือลูเซียโน่ เบ็คคิโอ้
10 ปีตามหาคนที่ใช่
การกลับมาสู่แชมป์เปียนชิพของลีดส์ น่าจะเป็นการเดินหน้าลุ้นเพื่อกลับไปสู่พรีเมียร์ลีกซักที แต่ทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายดายแบบนั้น เพราะพวกเขาต้องใช้เวลาถึง 10 ปี กว่าจะทำมันได้สำเร็จในที่สุด
ปัญหาสำคัญอย่างแรกของลีดส์ในช่วง 10 ปีให้หลัง คือการบริหารงานของเจ้าของ และบอร์ดบริหาร ที่ไม่ได้ผลักดันให้ทีมก้าวหน้าเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็น เคน เบตส์ ที่แฟนบอลต่างไม่นิยมชมชอบ เพราะไม่คิดทุ่มเงินสนับสนุนสโมสร หรือกลุ่มจากตะวันออกกลางในชื่อ “GFH Capital” ที่ดูท่าดี แต่ทีเหลว
ปัญหาอย่างที่ 2 คือพวกเขาเคยชินไปแล้ว กับการเป็นทีมระดับกลางตาราง หรือเอาตัวรอดจากการตกชั้นของแชมป์เปียนชิพ ตลอด 8 ปีที่กลับมาสู่แชมป์เปียนชิพ พวกเขาเคยเฉียดอันดับเพลย์ออฟ ด้วยอันดับ 7 เพียง 2 หน นอกนั้นคือจบอันดับไม่ดีกว่า 13 และมีการเปลี่ยนกุนซือเป็นว่าเล่น
ยุคที่สับสนวุ่นวายที่สุด คือยุคที่สโมสรอยู่ในมือ “มัสซิโม่ เซลลิโน่” ชาวอิตาลี ที่ก้าวก่ายการทำงานของบอร์ดบริหาร และเปลี่ยนกุนซือเป็นเก้าอี้ดนตรี ที่เซอร์ไพรส์ที่สุดหนีไม่พ้น การแต่งตั้ง “เดฟ ฮ็อคกาเดย์” กุนซือโนเนมที่เคยคุมแต่ทีมนอกลีก และในที่สุดก็อยู่ทำงานได้แค่ 70 วัน
เมฆหมอกที่อึมครึมมาคลี่คลายขึ้น หลัง “แอนเดรีย ราดริซซานี่” นักธุรกิจหนุ่มชาวอิตาลี ที่มีบริษัทผลิตคอนเทนท์กีฬาใหญ่อยู่ในมือ ได้ซื้อหุ้น 100% จากเซลลิโน่ ในปี 2017 และเริ่มตั้งเป้าหมายใหม่ของสโมสรยักษ์หลับแห่งนี้ให้ชัดเจนขึ้น
ราดริซซานี่ มีวิสัยทัศน์หวังจะเห็นลีดส์กลับสู่พรีเมียร์ลีกภายใน 5 ปี ถึงซีซันแรกจะยังล้มลุกคลุกคลาน จากการลองของกุนซืออย่าง “โธมัส ครีสเตียนเซ่น” และ “พอล เฮ็คกิ้งบอทธ่อม” แต่หลังจากเขาหันมาขบคิดกับทีมงานอย่างจริงจัง ว่าใครกันที่เป็นกุนซือที่เหมาะสม เขาก็ได้คำตอบถึงกุนซือที่มีประสบการณ์คนนึง
“มาร์เซโล่ บิเอลซ่า” คือกุนซือที่ทีมงานพูดถึง แม้ในใจของทุกคนจะรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ราดริซซานี่ กลับรู้สึกว่ามันเป็นความท้าทาย และจัดการปิดดีลนี้ด้วยตัวเอง หลังเร่งรัดเดินเรื่อง ในที่สุดลีดส์ก็ได้กุนซือระดับแนวหน้าของโลก มาคุมทีมแบบเซอร์ไพรส์ เมื่อปี 2018
“เอล โลโค่” คนบ้าที่แฟนบอลรัก
เมื่อได้กุนซือมากประสบการณ์ และดูมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายของเขาได้ในระยะเวลาที่กำหนด ราดริซซานี่เอ่ยพร้อมสนับสนุนงบประมาณก้อนใหญ่ (สำหรับแชมป์เปียนชิพ) แก่บิเอลซ่า แต่กุนซือเจ้าของฉายา “เอล โลโค่” หรือ “คนบ้า” กลับไม่ใช้เงินเพื่อแก้ปัญหาอย่างที่หลายคนคิด
บิเอลซ่า เสริมนักเตะในซีซันแรก เป็นตัวที่อยู่ในลีกแชมป์เปียนชิพเท่านั้น “แบร์รี่ ดั๊กลาส” กองหลัง และ “พาทริค แบมฟอร์ด” กองหน้า ถูกดึงมาร่วมทีม บวกกับการเซ็นฟรีโกล์มือรองของเรอัล มาดริด อย่าง “กิเก้ คาซิลญ่า” รวมเบ็ดเสร็จใช้งบเพียง 10 ล้านปอนด์
สิ่งที่กุนซือชาวอาร์เจนไตน์รายนี้ทำ คือวิเคราะห์นักเตะในทีมอย่างถี่ถ้วน และเลือกดึงศักยภาพของนักเตะที่มีในมือให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
การวิเคราะห์แบบโอลด์ สกูลของเขา ยังลามไปถึงการวิเคราะห์ทีมคู่แข่ง จนเกิดกรณีพิพาท เมื่อดาร์บี้ของ “แฟรงค์ แลมพาร์ด” จับได้ว่าบิเอลซ่า ส่งคนไปสอดแนมถึงสนามซ้อมของ “แกะเขาเหล็ก” ในช่วงที่ทั้ง 2 ทีมต้องเจอกัน
แทนที่จะแก้ข้อกล่าวหา หรือยอมรับผิดแบบธรรมดาๆ บิเอลซ่ากลับเลือกเชิญนักข่าวมาฟังวิธีการวิเคราะห์ของเขา ที่ทำรายงานเป็นปึ๊งๆ พร้อมยอมรับว่าสอดแนมจริง! และคิดว่ามันไม่ผิดอะไร
แม้สุดท้ายจะโดนลงโทษปรับเงินก้อนใหญ่ แต่ทุกคนบนแผ่นดินอังกฤษก็เข้าใจว่า ฉายา “เอล โลโค่” ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย และทำให้แฟนของลีดส์รู้ว่าบิเอลซ่าคือของจริง ตั้งใจจริง แม้จะได้ค่าเหนื่อยสูงลิบ แต่เขาไม่ได้บินมาอังกฤษเพื่อทำงานชิลๆ กินเงินไปวันๆ
ซีซันแรกของบิเอลซ่า ลีดส์พลาดการเลื่อนชั้นไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่เคยนำเป็นจ่าฝูงอย่างยาวนานเป็นเดือนๆ แต่กลับปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปจนจบอันดับ 3 โดยเฉพาะการแพ้ 3 จาก 4 นัดสุดท้ายของซีซัน จนทีมต้องไปเพลย์ออฟ และพ่ายให้กับดาร์บี้ในที่สุด
แน่นอนว่านักเตะผิดหวังกันอย่างมาก แต่บิเอลซ่ากลับปลุกสติให้พวกเขาลุกขึ้น และเดินหน้าทำงานต่อทันที ซีซัน 2019/20 บิเอลซ่ายังคงเสริมทัพแบบประหยัด เน้นดึงดาวรุ่งเข้ามา และยืมตัวนักเตะที่มีประโยชน์ต่อทีมอย่าง แจ็ค แฮร์ริสัน, เบน ไวท์, เฮลเดอร์ คอสต้า เข้ามาแทนการทุ่มเงิน ทั้งที่ทีมพึ่งผิดหวังครั้งใหญ่มา
ผลงานของทีมคงเส้นคงวาขึ้นกว่าเดิม ลีดส์ช่วงชิงอันดับหัวตารางอยู่กับเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ของ “สลาเวน บิลิช” อยู่ตลอด ก่อนจะรันชัยชนะได้รัว 10 จาก 12 นัด ตั้งแต่เดือน ก.พ. จนมาถึง ก.ค. (ข้ามช่วงโควิดมาเลย) บวกกับเวสต์บรอมฯ เริ่มสะดุดบ่อย จนสุดท้ายก็เข้าป้ายเลื่อนชั้นอัตโนมัติ และคว้าแชมป์ “เดอะ แชมป์เปียนชิพ” ได้สำเร็จ
หลังทราบข่าวการได้เลื่อนชั้น แฟนบอลออกไปรวมตัว และฉลองกับนักเตะที่เอลแลนด์ โร้ด ทันที โดยนักเตะออกมายืนมองความสุขของแฟนบอล ผ่านกระจกในอาคารสนาม หากไม่มีโควิด-19 เชื่อเลยว่าเมืองทั้งเมืองต้องครึกครื้นมากกว่านี้อีกเป็นร้อยเป็นพันเท่า
นอกเหนือจากบริเวณหน้าสนามแล้ว แฟนบอลอีกส่วนนึง ยังไปออกันที่หน้าบ้านพักของบิเอลซ่า จนกุนซืออาร์เจนไตน์ ต้องออกมาพบปะ และแสดงความดีใจกับแฟนบอลแบบ Social Distancing ด้วยการใช้ท่อนแขนสัมผัสกัน กลายเป็นภาพที่น่ารัก ที่เราคงไม่เห็นบ่อยจากคนที่ถูกเรียกขานว่า “คนบ้า”
การผจญภัยของลีดส์บนเวทีพรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 16 ปี จะเป็นยังไง เราคงยากจะคาดเดาตอนนี้ เพราะถึงพวกเขาจะมีเจ้าของที่พร้อมสนับสนุนทีม, มีกุนซือมากประสบการณ์ ที่น่าจะต่อกรกับกุนซือชั้นเลิศบนลีกสูงสุดได้ดี รวมถึงมีนักเตะที่เชื่อมั่น แต่หนทางบนลีกสูงสุดของแดนผู้ดี มันมีปัจจัยเขี้ยวลากดินอีกมาก ให้ “ยูงทอง” ฝ่าฟัน
แต่เชื่อเลยว่าแฟนบอลแทบทุกทีม จะยังคงให้กำลังใจทีมสีขาวล้วนทีมนี้เหมือนเดิม และคงหวังว่าการกลับมาหนนี้ “ยูงทอง” จะอยู่กันไปนานๆ และสร้างสีสันที่เคยฝากไว้เมื่อ 16 ปีก่อนอีกครั้ง
Picture : Media Referee, SPORTCO, RFI, Planet Football, The Telegraph, Daily Mail, BBC, Yorkshire Evening Post, The Mag, Sports Mole, Dream Team, Football FanCast, 90Min, Sportslens, The Mirror, GiveMeSport, TSB News, YO1 Radio, NewsBeezer, Daily Star