สรุปไทม์ไลน์ศึกชิง Liverpool ระหว่าง NIKE และ NEW BALANCE - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
สรุปไทม์ไลน์ศึกชิง Liverpool ระหว่าง NIKE และ NEW BALANCE

เมื่อวานนี้ลิเวอร์พูลประกาศอย่างเป็นทางการว่า ตั้งแต่ฤดูกาลหน้าเป็นต้นไป ลิเวอร์พูลจะจับมือกับไนกี้ในฐานะผู้สนับสนุนชุดแข่งอย่างเป็นทางการตั้งแต่ฤดูกาล 2020-21แทนนิวบาลานซ์

ซึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนผู้ถือสิทธิ์ในการผลิตชุด และสินค้าเครื่องแต่งกายต่างๆ ของลิเวอร์พูลมาเป็นไนกี้ได้ ก็ไม่ใช่ง่ายๆ เลย เพราะนิวบาลานซ์เองในฐานะผู้สนับสนุนหลักมาอย่างยาวนานก็ไม่ยอม ถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลเพื่อแย่งชิงสิทธิ์นี้กันเลยทีเดียว

The Macho ขอไล่ไทม์ไลน์ก่อนที่ ลิเวอร์พูลจะมาลงเอยกับไนกี้แทนนิวบาลานซ์ ว่าเส้นทางนี้นั้นดราม่าขนาดไหนกัน

โดยเริ่มจากปี 2012-2015 : ลิเวอร์พูลเซ็นสัญญากับแบรนด์เสื้อผ้า วอร์ริเออร์ สปอร์ต รับเงินปีละ 25 ล้านปอนด์

ปี 2015-2020 : บริษัท นิวบาลานซ์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของวอร์ริเออร์ มาเซ็นสัญญาต่อ และมีการเปลี่ยนโลโก้ของวอร์ริเออร์ที่อยู่บนเสื้อทีมลิเวอร์พูล มาใช้โลโก้ของ นิวบาลานซ์แทน ซึ่งการต่อสัญญาครั้งนี้ ลิเวอร์พูล ได้รับข้อเสนอไปปีละ 60 ล้านปอนด์ สัญญา 5 ปี รวมเป็นเงิน 300 ล้านปอนด์

ซึ่งสัญญาฉบับใหม่ของนิวบาลานซ์นี้มีเงื่อนไขข้อหนึ่งที่ตอนเซ็นถือว่าเป็นสิทธิ์พิเศษสำหรับผู้สนับสนุนเดิมอย่างนิวบาลานซ์ แต่เพิ่มความเข้มข้นที่ปลายทางวันนี้ คือระบุว่า “ถ้าหมดสัญญาในปี 2020 ลิเวอร์พูลได้รับข้อเสนอจากแบรนด์อื่น แล้วถ้า นิวบาลานซ์สามารถยื่นข้อเสนอในมูลค่าที่ “เท่ากัน” ได้ ลิเวอร์พูลต้องต่อสัญญากับนิวบาลานซ์ออกไปอีกครั้ง”

ความสัมพันธ์ในระหว่างอายุสัญญาของทีม และผู้สนับสนุนหลักนี้ก็ดำเนินมาด้วยดีตลอด แต่สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปอีกครั้งหลังจากที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาเป็นผู้จัดการทีม ทำให้ทีมหงส์แดงยกระดับขึ้นเรื่อยๆ โชว์ฟอร์มการไต่ชั้นคว้าถ้วยต่างๆ มามากมาย ตั้งแต่ในปี 2017-18 เข้าชิงแชมเปี้ยนส์ลีกได้สำเร็จ ,ปี 2018-19 ได้แชมป์แชมเปี้ยนส์ลีก และคว้าอันดับ 2 ในพรีเมียร์ลีกจากการตามหลังทีมแมนซิตี้แค่ 1 คะแนน

แล้วยังมีผู้เล่นระดับ “แม่เหล็ก” ในทีม อาทิเช่น โม ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน่ ที่เป็นขวัญใจคนแอฟริกา อลิสซอน เบ็คเกอร์ โกลมือ 1 ของโลกเป็นขวัญใจชาวบราซิล ส่วนในอังกฤษก็มีดาวรุ่งเจเนเรชั่นใหม่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทำให้มูลค่าของทีมลิเวอร์พูลสูงขึ้นกว่าเดิมมาก

โม ซาลาห์
ซาดิโอ มาเน่
อลิสซอน เบ็คเกอร์
เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

ดังนั้นไม่น่าแปลกใจเลยที่ทุกแบรนด์ต่างจับจ้องรอวันหมดสัญญาของนิวบาลานซ์ กับลิเวอร์พูล เพราะผลิตมาแล้วยอดขายถล่มทลายแน่นอน ซึ่งทางลิเวอร์พูลเองก็รู้มูลค่าของทีมตัวเองในช่วงขาขึ้นนี้เช่นกัน การทำทีมนั้นควบคู่ไปกับเรื่องธุรกิจเสมอ ฝ่ายที่ต้องกาเงินเข้าสโมสรก็มีหน้าที่ในการทำกำไรเข้าสโมสรให้มากที่สุด จากแบรนด์ต่างๆ ที่เสนอมูลค่าในการซื้อสิทธื์นี้เข้ามา

ธันวาคม 2018 : ก่อนหมดสัญญา 18 เดือน ลิเวอร์พูลแจ้งอย่างเป็นทางการกับนิวบาลานซ์ ว่าจะขอไปเจรจากับแบรนด์อื่นๆ และถ้าได้ข้อเสนอมาเท่าไหร่ ก็จะนำมาคุยกับนิวบาลานซ์อีกครั้ง ว่าสามารถยื่นข้อเสนอที่เท่ากันตามสัญญาที่ทำไว้ตั้งแต่ปี 2015 ได้หรือไม่

10 กรกฎาคม 2019 : ลิเวอร์พูลคัดเลือกข้อเสนอจากหลายแบรนด์ เพื่อให้ได้ข้อเสนอที่ดีที่สุด โดยมาจบที่ “ไนกี้” โดย ไนกี้เองได้ยื่นข้อเสนอให้ดังนี้

1.ลิเวอร์พูลได้เงินกินเปล่าเป็นค่าสิทธิ์ ฤดูกาลละ 30 ล้านปอนด์ สัญญา 5 ฤดูกาล รวมเป็นเงิน 150 ล้านปอนด์

2.สินค้าทุกอย่างที่เกี่ยวกับลิเวอร์พูลที่ไนกี้ขายทั่วโลก ยกเว้นรองเท้า สโมสรจะได้ส่วนแบ่ง 20%

ประมาณว่าเสื้อทีมลิเวอร์พูลแบบ Official ปัจจุบันราคา 60 ปอนด์ (ประมาณ 2,400 บาท) ถ้าขายได้ 1 ล้านตัว ไนกี้จะได้เงิน 60 ล้านปอนด์ จะถูกหัก 20% มาแบ่งให้ลิเวอร์พูล หรือเท่ากับ 12 ล้านปอนด์ ซึ่ง 20% นี้จะรวมไปถึง เสื้อทุก Edition, กางเกง ,ถุงเท้า ,แจ๊กเก็ต ฯลฯ ทุกอย่างที่ของแบรนด์ไนกี้ที่มีโลโก้ลิเวอร์พูลติดอยู่ต้องหักให้สโมสรทั้งหมด

3.ส่วนรองเท้าไนกี้ ลิเวอร์พูล Edition จะให้ส่วนแบ่งกับลิเวอร์พูล 5%

4.ไนกี้ จะใช้ 2 แบรนด์ในการผลิต คือ ไนกี้ กับ คอนเวิร์ส ซึ่งจะทำให้มีสินค้าเข้าสู่ตลาดที่หลากหลายกลุ่มมากขึ้น คือสไตล์สปอร์ตแบบ ไนกี้ หรือเป็นแนวสตรีทแบบ คอนเวิร์ส

5.ไนกี้ จะทำการ Collab ร่วมกับทีมกีฬาดังๆ ในสหรัฐอเมริกา ที่ทางไนกี้ถือลิขสิทธิ์เป็น Official Partner อยู่เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน โดยเฉพาะใน NBA และ NFL ซึ่งจะทำให้ชื่อเสียงของลิเวอร์พูลดีขึ้นในอเมริกาอีกด้วย

6.เสื้อลิเวอร์พูลจะถูกวางขายในร้านค้าอย่างน้อย 6,000 แห่งทั่วโลก โดยมี 51 ประเทศที่สามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้ผ่านทาง Nike.com ได้ด้วย

7.ไนกี้ จะใช้นักกีฬาระดับโลกที่มีสัญญากับไนกี้ ไม่ต่ำกว่า 3 คน ในการช่วยโปรโมทผ่านช่องทางโซเชียลส่วนตัวของแต่ละคน ตัวอย่างเช่น เลอบรอน เจมส์, เซเรน่า วิลเลียมส์ หรือ เดรค แร็ปเปอร์ชื่อดังชาวแคนาดา เป็นต้น ถ้าไม่ใช่สามคนนี้ ก็จะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่านี้

เลอบรอน เจมส์
เซเรน่า วิลเลียมส์
เดรค

ซึ่งถ้าเราสังเกตุในตัวสัญญาจะเห็นว่าที่ไนกี้เสนอตัวเงินค่าลิขสิทธิ์กินเปล่านั้นเพียงแค่ 30 ล้านปอนด์ ที่น้อยกว่านิวบาลานซ์ให้กับลิเวอร์พูลอยู่ปัจจุบัน แต่สโมสรมองว่าด้วยศักยภาพของทีมเองสามารถไปทำเงินจาก ส่วนแบ่งยอดขายได้มากกว่านั้น และการดีลกับไนกี้ ก็เป็นชอยส์ที่น่าจะทำกำไรให้สโมสรมากที่สุด

11 กรกฎาคม 2019 : ลิเวอร์พูลก็ส่งข้อเสนอที่ไนกี้เสนอมาให้นิวบาลานซ์ พิจารณาว่าสามารถยื่นข้อเสนอที่มีมูลค่าเท่ากันให้กับทางสโมสรได้หรือไม่ เพื่อต่อสัญญาใหม่

16 สิงหาคม 2019 : นิวบาลานซ์ ส่งจดหมายตอบกลับมา ยืนยันว่าสามารถให้ข้อเสนอที่มีมูลค่าเท่ากันกับข้อเสนอของไนกี้ได้ โดยนิวบาลานซ์เสนอกลับ และอธิบายเพิ่มเติมดังนี้

1.นิวบาลานซ์ จ่าย 30 ล้านปอนด์ต่อปี ในสัญญา 5 ปีได้ (เท่ากับที่ได้จากข้อเสนอของไนกี้ แต่มูลค่าน้อยลงจากข้อเสนอนิวบาลานซ์เองในปี 2015)

2.นิวบาลานซ์ แบ่ง 20% ทุกยอดขายในสินค้าของนิวบาลานซ์ ที่มีโลโก้ ลิเวอร์พูลได้ (เท่ากับไนกี้)

3.นิวบาลานซ์ แบ่ง 5% ของรองเท้าที่มีโลโก้ลิเวอร์พูลได้ (เท่ากับไนกี้)

4.นิวบาลานซ์ สามารถผลิตสินค้าลิเวอร์พูล 2 แบรนด์ได้ คือนิวบาลานซ์ กับ วอร์ริเออร์ สปอร์ต (เท่ากับไนกี้ในเรื่องจำนวนแบรนด์ที่มาผลิต แต่มูลค่า และช่องทางจำหน่ายของแบรนด์แตกต่างกัน)

5.นิวบาลานซ์ สามารถ Collab ร่วมกับทีมกีฬาที่นิวบาลานซ์เป็นสปอนเซอร์ในสหรัฐอเมริกาได้ (เท่ากับไนกี้)

6.นิวบาลานซ์ สามารถวางสินค้าของลิเวอร์พูล ขายในสโตร์ 6,000 แห่งทั่วโลกได้ และ 51 ประเทศ สามารถสั่งสินค้าทาง newbalance.com ได้ (เท่ากับไนกี้)

แต่ในข้อ 7 นิวบาลานซ์ไม่สามารถหาซูเปอร์สตาร์ระดับ เลอบรอน เจมส์ ,เซเรน่า วิลเลียมส์ หรือ เดรคได้ แต่นิวบาลานซ์สามารถหาคนดังนอกวงการกีฬามาโพสโปรโมทในช่องทางโซเชียลมีเดียของแต่ละคนได้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่น่ามีข้อแตกต่างเรื่องยอดขายอย่างมีนัยยะนัก

เมื่อ นิวบาลานซ์ ยืนยันว่าข้อเสนอนี้เทียบเท่ากับไนกี้ทุกอย่างแล้ว คาดว่าลิเวอร์พูลต้องตอบตกลงกับข้อเสนอของ นิวบาลานซ์ตามข้อตกลงที่เซ็นกันไว้ในสัญญาฉบับที่แล้ว

22 สิงหาคม 2019 : ลิเวอร์พูลตอบจดหมายกลับไป ระบุว่าสโมสรไม่เชื่อ ว่านิวบาลานซ์จะสามารถวางขายสินค้าได้ 6,000 สโตร์ทั่วโลกจริง เนื่องจากการร่วมงานกันตลอด 5 ปี สโมสรเห็นมาตลอดว่าช่องทางการขายของนิวบาลานซ์มีน้อยมาก คือ ถ้าเทียบกับเสื้อฟุตบอลของทีมอื่น เสื้อลิเวอร์พูลหาซื้อยากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

และยิ่งไปกว่านั้น สินค้าสองแบรนด์ของไนกี้ คือไนกี้ กับคอนเวิร์ส ต่างมีพลังมากกว่า เมื่อเทียบกับ นิวบาลานซ์ กับ วอร์ริเออร์ สปอร์ต ในด้านการดึงยอดขายที่มากกว่า ดังนั้นจึงอยากขอให้นิวบาลานซ์ยอมรับในเรื่องนี้ และปิดฉากการเจรจากันไปด้วยดี สโมสรกับนิวบาลานซ์ยังเหลือสัญญาร่วมกันอีก 1 ปี มาช่วยทำให้ 1 ปีที่เหลือ เป็นช่วงเวลาดีๆ ที่สุดร่วมกันในสัญญารอบนี้ดีกว่า

จดหมายตอบกลับดังกล่าวจึงกลายเป็นชนวนที่ต้องพาให้นิวบาลานซ์ และลิเวอร์พูล ต้องไปตัดสินกันในชั้นศาล เมื่อนิวบาลานซ์เห็นว่าข้อเสนอของตัวเองนั้นเพียงพอต่อข้อเสนอที่ทางไนกี้ยื่นให้ลิเวอร์พูลแล้ว แต่ทางสโมสรกลับเลือกที่จะไม่ต่อสัญญาด้วย

ทำให้เรื่องนี้ไม่จบลงด้วยด้วยดีแบบมิตรเก่า เพราะมองในแง่ธุรกิจแล้วต่างฝ่ายก็มองเรื่องเม็ดเงินที่จะเข้ามาเป็นหลัก

25 ตุลาคม 2019 : ศาลที่อังกฤษ พิจารณาเอกสารของทั้งสองฝั่ง ระหว่างสโมสรลิเวอร์พูล และ นิวบาลานซ์ มาตีความ

การพิจารณาในช่วงแรกศาลมีแนวโน้มจะคล้อยตามกับข้อเสนอของนิวบาลานซ์ ซึ่งทางแบรนด์ยืนยันว่ามีช่องทางการจำหน่ายมากถึง 40,000 จุดทั่วโลก แม้จะไม่ใช่สโตร์ของนิวบาลานซ์เองทั้งหมด แต่สามารถส่งจัดจำหน่ายได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะในจีน และญี่ปุ่น ที่มีร้านรับสินค้าของนิวบาลานซ์ไปขายจำนวนมาก ดังนั้นตัวเลข 6,000 จุดจำหน่าย ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

และถ้ามาดูด้านความสัมพันธ์ของนิวบาลานซ์ กับลิเวอร์พูลตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งเป็นช่วงที่ทีมกำลังตกต่ำ ผลงานในลีกอยู่เพียงอันดับ 8 แต่วอร์ริเออร์ สปอร์ต (นิวบาลานซ์) ก็ยังพร้อมยื่นข้อเสนอสัญญาราคาแพงให้ ดังนั้นไม่มีเหตุผลอะไรที่นิวบาลานซ์จะหวังร้ายกับลิเวอร์พูล

ส่วนเรื่องการเปรียบเทียบแบรนด์ระหว่าง วอร์ริเออร์ส กับ นิวบาลานซ์ เทียบเคียงกับ ไนกี้ กับคอนเวิร์ส อันนี้ทางสโมสรลิเวอร์พูลน่าจะคิดไปเองว่าคอนเวิร์ส จะได้รับความนิยมมากกว่า เพราะเรื่องความชอบของผู้ซื้อนั้นไม่สามารถวัดได้ วอร์ริเออร์ส สปอร์ต ก็มีแฟนในสินค้าของตัวเองเช่นกัน ดังนั้นจุดนี้ ถือว่าทั้งสองแบรนด์นั้นเท่าเทียมกัน

เมื่อศาลไล่เรียงเปรียบเทียบทุกข้อแล้ว พบว่าข้อเสนอของนิวบาลานซ์ ก็ดูเท่ากันกับทางไนกี้เกือบทุกอย่าง คือในทางปฏิบัติที่วัดได้ยากมาก แต่ถ้าวัดจากเอกสารแล้วนับว่าข้อเสนอใกล้เคียงกัน

ซึ่งข้อที่ 7 ที่เป็นประเด็นในการชี้ขาดในข้อพิพาทของทางนิวบาลานซ์ และลิเวอร์พูล คือเรื่องการใช้คนมีชื่อเสียงในวงการกีฬามาช่วยโปรโมทสินค้า ซึ่งนิวบาลานซ์เองไม่มีนักกีฬาดังในสังกัดที่มีชื่อเสียงระดับนี้ จึงไม่ได้ใส่ข้อเสนอมาด้วย แต่ทางนิวบาลานซ์ยืนยันว่า ต่อให้เซเล็บใส่เสื้อถ่ายลงในอินสตาแกรม ก็ไม่ได้ทำให้ยอดขายมากขึ้นหรือลดลงกว่าเดิมอย่างมีนัยยะสำคัญนัก

เลอบรอน เจมส์ กับการถ่ายรูปลง Instagram ในเสื้อ Nike

ศาลจึงถามทางลิเวอร์พูลว่า จะวัดว่าระหว่างเอานักกีฬาที่มีชื่อเสียง กับคนดังนอกวงการมาช่วยโปรโมทกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มขึ้นได้ต่างกัน

โดยทางลิเวอร์พูลอธิบายว่า เลอบรอน เจมส์ คือนักกีฬาบาสเกตบอลที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก เวลาเขาพูดอะไรแต่ละครั้ง ทำให้คนหยุดฟังได้เสมอ ส่วนเซเรน่า วิลเลียมส์ เป็นนักกีฬาหญิงที่คว้าแชมป์มานับไม่ถ้วนตลอด 20 ปีที่ผ่านมา และเป็นไอคอนของผู้หญิงทั่วโลก ขณะที่เดรค เป็นศิลปินยอดขายสูงสุดในโลกปี 2016 และ 2018
ซึ่งถ้าให้คนดังเหล่านี้ โพสต์อะไรสักหนึ่งอย่างลงในอินสตาแกรม จะมีค่าจ้างต่อโพสต์มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ นั่นแปลว่า การโพสต์ของคนดังระดับนี้หนึ่งครั้ง มันมีความหมายแน่นอน

ซึ่งในสัญญาของไนกี้ มีรายละเอียดเพิ่มเติมอีกด้วยว่าทั้ง 3 คน จะถ่ายรูปกับสินค้าของลิเวอร์พูล 1 ครั้งต่อปี และสัญญา 5 ปี ก็เท่ากับ 15 โพสต์ ซึ่งสามารถกระตุ้นยอดขายให้ลิเวอร์พูลได้แน่นอน

หลังจากที่ศาลพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว จึงได้ข้อสรุปว่า

“ข้าพเจ้าพิจารณาข้อเสนอของนิวบาลานซ์แล้ว และเห็นว่าข้อเสนอทางการตลาดที่มอบให้ลิเวอร์พูล น้อยกว่าข้อเสนอจากไนกี้ สาเหตุเพราะลิเวอร์พูลไม่สามารถใช้คนดัง ระดับเดียวกับ เลอบรอน เจมส์, เซเรน่า วิลเลี่ยมส์ หรือ เดรค จากทางนิวบาลานซ์ได้ ดังนั้นสโมสรลิเวอร์พูล ไม่จำเป็นต้องต่อสัญญาฉบับใหม่กับทางนิวบาลานซ์ เนื่องจากข้อเสนอของนิวบาลานซ์ ไม่เท่ากับข้อเสนอที่ไนกี้ให้มา”

นี่ก็คือบทสรุปของการต่อสู้ในสัญญาของ ลิเวอร์พูล กับ นิวบาลานซ์ ซึ่งก็จบลงที่ลิเวอร์พูลจะเปลี่ยนแบรนด์เสื้อแข่งขันใหม่ เป็นไนกี้ ตั้งแต่ฤดูกาล 2020-21 เป็นต้นไป

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save