หากพูดถึงชื่อของ “จู๊ด เบลลิ่งแฮม” แล้ว เชื่อแน่ว่าหลายคนยังคิ้วขมวด หรือถ้าใครที่เคยติดตามข่าวไอ้หนุ่มคนนี้มาบ้างแบบผม ก็คงจะได้ยินเรื่องราวแค่เพียงผิวเผิน ว่าไอ้เด็กนี่คือ “วันเดอร์คิด” ที่อายุน้อยกว่า 18 ปีเสียอีก
ล่าสุด เบลลิ่งแฮมย้ายทีมเป็นที่เรียบร้อย โดยมีการคอนเฟิร์มกันไปไม่กี่วันก่อน โดยโยกข้ามประเทศจากเบอร์มิงแฮมสโมสรที่เติบโตมา สู่อ้อมอก “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยมูลค่าโยกย้ายที่ว่ากันว่าสูงถึง 25 ล้านปอนด์ (ไม่รวมโบนัส) ทุบสถิติการย้ายของเด็กวัย 17 ปี ในประวัติศาสตร์ฟุตบอล
นอกเหนือจากราคาค่างวดที่สูง ยังมีการยืนยันจากหลายสื่อว่าน้องเค้าปฏิเสธการย้ายไปร่วมสโมสรยักษ์ใหญ่มากมาย เช่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี, บาเยิร์น มิวนิค หรือเรอัล มาดริด ซึ่งเป็นเครื่องการันตีได้ว่าหนุ่มน้อยคนนี้ เนื้อหอมฉุย
เด็กคนนี้เก่งกาจขนาดไหนกัน ถึงเป็นที่ต้องการขนาดนี้ และดอร์ทมุนด์มีวิธีมัดใจเขาได้อย่างไร เราจะไปไล่เรียงดูกันครับ
รู้จักกับ “จู๊ด เบลลิ่งแฮม”
เจ้าหนู “จู๊ด เบลลิ่งแฮม” อยู่กับเบอร์มิงแฮมมาตั้งแต่ก่อนอายุ 8 ขวบ ครอบครัวเขาผูกพันกับฟุตบอลอย่างเหนียวแน่น คุณพ่อ “มาร์ค” เป็นตำรวจ และเป็นศูนย์หน้าจอมถล่มประตู ในลีกกึ่งอาชีพ แถมน้องชาย “โจ๊บ” ก็สังกัดอคาเดมี่ของเบอร์มิงแฮม ด้วยเช่นกัน
ด้วยความสามารถที่เกินวัย เบลลิ่งแฮมถูกจับตามองตั้งแต่อายุแค่ 12 ปี อดีตกุนซือเบอร์มิงแฮมอย่าง “แกรี่ โรเวตต์” เล่าให้ฟังว่า พรสวรรค์ของเบลลิ่งแฮม เริ่มเตะตาหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ จนเขาและสโมสร ต้องคอยพูดคุยกับเจ้าตัวบ่อยๆ เพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของเส้นทางอนาคต หากยังอยู่กับสโมสรไปก่อนในวัยทีน
ด้วยรูปร่างที่ดี และทักษะฟุตบอลที่รุดหน้าอย่างรวดเร็ว เบลลิ่งแฮมลงเล่นทีมยู-18 ตั้งแต่อายุ 14 ปี และได้สัมผัสทีมยู-23 หรือทีมสำรอง ตั้งแต่อายุแค่ 15 ปีเท่านั้น แถมยังเริ่มทำประตูได้ ตั้งซีซันแรกที่ได้โอกาสเล่นกับรุ่นพี่ทั้งหลาย
ปลายซีซัน 2018/19 ขณะอายุแค่ 15 หยกๆ 16 หย่อนๆ เจ้าหนูเบลลิ่งแฮมก็เริ่มมีชื่อติดทีมชุดใหญ่ ก่อนจะมาได้โอกาสเต็มตัวในช่วงปรีซีซันถัดมา และได้ประเดิมสนามในเดือน ส.ค. 2019 (ซีซันปัจจุบัน) ด้วยวัยเพียง 16 ปี 38 วัน ทำลายสถิติสโมสร ที่ “เทรเวอร์ ฟรานซิส” ตำนานชื่อก้องเคยทำไว้ตั้งแต่ยุค 70 นู่น
เมื่อได้โอกาส แล้วทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม บวกกับอาการบาดเจ็บของผู้เล่นในทีม ทำให้เบลลิ่งแฮมได้ลงสนามต่อเนื่อง โดยเริ่มจากการเล่นมิดฟิลด์กราบซ้าย ก่อนจะขยับเข้ามาเล่นตำแหน่งตรงกลาง ที่ว่ากันว่าเป็นตำแหน่งที่เขาทำได้ดีที่สุด
เบลลิ่งแฮมยิงประตูแรกได้ตั้งแต่อายุ 16 ปี 63 วัน หรือถัดจากได้ลงประเดิมชุดใหญ่แค่ไม่ถึงเดือน และลงเล่นให้เบอร์มิงแฮมทั้งหมดแตะหลัก 40 นัด ทำได้ 4 ประตู กับอีก 2 แอสซิสต์ ตลอดซีซันนี้
โดยเขาจะอยู่ช่วยทีมจนถึงนัดสุดท้าย ซึ่งเป็นเกมสำคัญมากของเบอร์มิงแฮม โดยเตรียมเปิดบ้านเจอกับดาร์บี้ ในดึกคืนวันพุธที่ 23 ก.ค. (ตามเวลาบ้านเรา) ซึ่ง “ทีมตราลูกโลก” ต้องการแค่ 1 คะแนน เพื่อการันตีอยู่รอดในแชมป์เปียนชิพต่อไป
ตำแหน่งไหน? เก่งอะไร?
ถึงจะเริ่มต้นถูกจับไปเล่นมิดฟิลด์ด้านซ้าย เพราะทีมมีปัญหานักเตะเจ็บ แต่ตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุด และได้เล่นต่อเนื่องในเวลาต่อมาคือมิดฟิลด์ตัวกลาง เพราะเขามีความครบเครื่องในแนวทางแบบ “บ็อกซ์-ทู-บ็อกซ์” ชนิดครบเครื่องต้มยำ
นอกเหนือจากคำสรรเสริญด้านความแข็งแกร่งเกินวัย ในการครอบครองบอล และปั้นเกมจากแดนกลาง เบลลิ่งแฮมยังมีจุดเด่นในการเข้าปะทะเบรกเกมคู่แข่ง โดยเขาทำไปแล้วเกือบ 90 แท็คเกิ้ล และมีเปอร์เซ็นที่ดีในการชิงบอลมาครองในแดนกลาง
ถึงแม้สถิติการทำประตู และแอสซิสต์ จะยังไม่สูง รวมถึงระเบียบวินัยที่โดนใบเหลืองง่ายในหลายครั้ง แต่ด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปี กระดูกบอลของเบลลิ่งแฮมถือว่าใหญ่เกินตัว ปรับจูนอีกหน่อย น่าจะกลายเป็นมิดฟิลด์คุณภาพที่ “สิงโตคำราม” ทีมชาติอังกฤษมองหา
ความสนใจจากยักษ์ใหญ่
นอกเหนือจากความสนใจมากมายจากทั้ง เรอัล มาดริด, เชลซี และบาเยิร์น มิวนิค ที่มาด้อมๆ มองๆ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือเป็นตัวเต็งที่ให้ความสนใจเบลลิ่งแฮม อย่างจริงจัง
มีรายงานข่าวว่า ยูไนเต็ดเคยเชิญเบลลิ่งแฮมไปทัวร์สนามซ้อม และพบปะบรมกุนซืออย่าง “เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน” มาแล้ว รวมถึงมีการยื่นข้อเสนอระดับ 20 ล้านปอนด์ ให้เบอร์มิงแฮมพิจารณาตอนเดือน ม.ค. แต่ถูกปฏิเสธกลับมา
ตัวเต็งอีกทีมนั่นคือ “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่แม้จะอยู่ห่างไกลคนละประเทศ แต่ก็เคยมีเคสประสบความสำเร็จอย่างสูง กับการสอย “เจดอน ซานโช” จากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตั้งแต่ยังเด็ก ก่อนจะปลุกปั้นเป็นนักเตะค่าตัวมหาศาลในปัจจุบัน
นอกเหนือจากตัวอย่างความสำเร็จ และงบมูลค่า 25 ล้านปอนด์ บวกโบนัสต่างๆ อีกหลายล้าน ดอร์ทมุนด์ยังมีหมัดเด็ดสำคัญ ซึ่งกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้เบลลิ่งแฮมตกลงปลงใจ ตามไปอยู่ด้วย
เงื่อนไขมัดใจของ “เสือเหลือง”
มูลค่าที่ยอดทีมจากบุนเดสลีก้าพร้อมจ่าย อาจจะไม่ได้แตกต่างจากสโมสรยักษ์ใหญ่อื่น แต่เรื่องของการการันตีจำนวนแมทช์ลงเล่น มีผลต่อการตัดสินใจของเบลลิ่งแฮม และครอบครัวอย่างยิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือสโมสรอื่น ไม่มีใครกล้าการันตีการลงเล่นเป็นตัวจริงให้เบลลิ่งแฮมที่อายุเพียง 17 ปี อย่างสม่ำเสมอ เต็มที่คงแค่ติดทีมบนม้านั่งสำรองเกมลีก, เกมยุโรป หรือลงตัวจริงบ้างในฟุตบอลถ้วย ก็แค่นั้น
แต่กับดอร์ทมุนด์ พวกเขาระบุตัวเลขชัดเจน โดยข่าวรายงานว่าระดับ 30 นัดในเกมลีก และโอกาสลงเล่นตัวจริงสม่ำเสมอในเวทียูฟ่า แชมป์เปียนส์ ลีก ซึ่งเป็นหมัดเด็ดที่ต้องตาต้องใจมาก ยิ่งเมื่อดูจากเคสการปั้นดาวรุ่งแบบซานโช หรือโจวานนี่ เรย์น่า แล้ว ทุกอย่างดูเป็นไปได้จริงในถิ่น “เสือเหลือง”
ความมั่นใจมอบโอกาสของดอร์ทมุนด์ บ่งบอกถึงความต้องการในตัวเบลลิ่งแฮมอย่างสูง สุดท้ายจึงเป็นที่มาของการตัดสินใจย้ายข้ามประเทศไปถิ่นเมืองเบียร์ ซึ่งเริ่มเป็นเทรนด์สำหรับนักเตะดาวรุ่งอังกฤษหลายราย เช่น ซานโช, แรบบี้ มูตอนโด้ (ชาลเก้) หรืออเดโมล่า ลุคแมน (ไลป์ซิก) ที่ล่วงหน้าไปก่อน
เบลลิ่งแฮมเดินทางไปตรวจร่างกายเรียบร้อยเมื่อ 16 ก.ค. เพราะอังกฤษกับเยอรมัน ไม่มีปัญหาการเดินทางระหว่างกัน แม้เป็นช่วงโควิด-19 โดยดอร์ทมุนด์ทำทุกอย่างให้เงียบเชียบที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงนักข่าว อย่างการใช้เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวไปรับ และมีรถหลอกถึง 4 คัน จากสนามบินไปยังสถานที่ตรวจร่างกาย ก่อนพาไปถ่ายภาพโปรโมต และยืนยันการย้ายเมื่อ 20 ก.ค. ที่ผ่านมา
ซีซัน 2020/21 ที่จะถึงนี้ จึงถือเป็นอีกซีซันที่น่าตื่นตาตื่นใจของดอร์ทมุนด์ เพราะนอกจากจะเป็นซีซันเต็มๆ แรกของ “เออร์ลิง เบราท์ ฮาลันด์” เครื่องจักรถล่มประตูชาวนอร์เวย์ และการพยายามเก็บ “เจดอน ซานโช” ไว้กับทีม เรายังจะได้เห็นเพชรเม็ดงามเม็ดใหม่อย่าง “จู๊ด เบลลิ่งแฮม” ลงเล่นบนเวทีลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกอีกด้วย
ถึงจะคาดหวังให้เบลลิ่งแฮมอยู่กับดอร์ทมุนด์ไปตลอดได้ยาก ตามนโยบายไม่เกี่ยงการปั้นแล้วขายต่อของสโมสร แต่การก้าวผ่านสำนัก “เสือเหลือง” ย่อมเพิ่มพูนฝีเท้าของเจ้าหนูรายนี้ได้แน่นอน
และหากทุกอย่างลงตัว ไม่แน่เหมือนกันว่าชื่อของเขา อาจจะก้าวขึ้นมาเป็นซูเปอร์สตาร์ดวงใหม่ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็ได้ ต้องติดตามชม
Picture : Eurosport, Manchester Evening News, Easy Branches, Daily Mail, 101 Great Goals, 101 Great Goals, Birmingham Live, Sky Sports, Diario AS, Bundesliga, Fear the Wall, Metro, The Guardian