ยังคงอยู่ในความเงียบเหงากันต่อไปนะครับ สำหรับแฟนบอลลีกยุโรปทั้งหลาย โดยเฉพาะกับศึกพรีเมียร์ลีก ซึ่งถ้าจะนับจากช่วงนี้ ยังต้องเว้นวรรคกันอีก 1 เดือนเต็มเป็นอย่างน้อย และหากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น ก็อาจจะต้องรอกันยาวกว่านั้นเข้าไปอีก
เรื่องรูปแบบการจัดการเดดไลน์ และ Free Transfer เราพูดถึงกรอบกติกากันไปหมดแล้ว ว่า Gameweek 30-35 จะกลายเป็น Blank Gameweek ยาวๆ โดยกุนซือแฟนตาซี มีหน้าที่จัดเตรียมทีมจากประโยชน์ตรงนี้ ให้มีทีมที่พร้อมลงลุยในช่วงโปรแกรมที่เหลือ หากลีกเมืองผู้ดีกลับมาเตะกันได้อีกหน
ดังนั้น เราต้องหาเรื่องมาคุยแก้เหงากันหน่อย โดยนอกจากจัดทีม วัดใจ หรือวิเคราะห์นักเตะทีเด็ด ที่เราจะแนะนำกันไปเรื่อยๆ ทุกเดดไลน์ (ของ Gameweek 32 เราแนะนำไป EP ที่แล้ว) ระหว่างบอลยังไม่กลับมาเตะ EP นี้ เราจะมาคุยกันเรื่องความน่าจะเป็น ว่าซีซันที่เหลือ พรีเมียร์ลีกจะทำอีท่าไหนต่อ
สถานการณ์ปัจจุบัน
อย่างที่ทราบกันว่าสถานการณ์ “โควิด-19” หรือที่ฝั่งยุโรปยังคงเรียก “โคโรน่าไวรัส” ดูมีแนวโน้มที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ล่าสุดนอกเหนือจากรัฐมนตรีจะติดเชื้อ นายกรัฐมนตรีของอังกฤษอย่าง “บอริส จอห์นสัน” ก็ออกมายอมรับว่าติดเชื้อเข้าไปอีก ถึงจะไม่หนักหนา แต่ก็ทำให้ผู้คนเป็นห่วงว่ามันจะไหวมั้ยเนี่ย
โดยภาพรวมแล้ว รัฐบาลของอังกฤษ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงกรอบเวลาคร่าวๆ ว่าอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึง 6 เดือน กว่าที่ทุกคนจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติ ซึ่งพอฟังดูแล้ว ฟุตบอลมันจะกลับมาเตะได้ยังไงหว่า?
แน่นอนแหละ ว่าสถานการณ์ของฟุตบอล คงต้องอัพเดทกันสัปดาห์ต่อสัปดาห์ (ช่วงนี้คงไม่ถึงขั้นวันต่อวัน) แต่จุดมุ่งหมายแรกของพรีเมียร์ลีก และหลายลีกชั้นนำในยุโรป พวกเขายังคงต้องการให้ฤดูกาลนี้ กลับมาเตะกันต่อจนจบ ถึงจะต้องรอเว้นวรรคกันนานหลายเดือนก็ตาม
และแน่นอนเช่นกัน ว่า “6 เดือน” อย่างที่รัฐบาลมองภาพรวมของประเทศ คงจะนานเกินไปหน่อย เพราะมันพอมีวิธีจะรองรับให้มันเตะกันต่อได้ ซึ่งเดี๋ยวเราว่ากันต่อ
ทำไมถึงอยากแข่งต่อให้จบ?
อย่างแรกสุดคือมันแข่งกันมาจนจะถึงช่วงโค้งสุดท้ายแล้วแหละ อย่างพรีเมียร์ลีกก็เหลือกันอยู่ 9-10 นัดเท่านั้น ซึ่งหากบีบโปรแกรมให้แน่นหน่อย สามารถแข่งจบในระยะเวลา 1-2 เดือนได้
อย่างที่ 2 หนีไม่พ้นเรื่องลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดที่มีการขายกันเป็นเรื่องเป็นราวล่วงหน้าไปหมดแล้ว ดังนั้นการกลับมาแข่งต่อได้ ไม่ว่าจะแบบปกติ (มีแฟนบอลเข้าชม) หรือแบบไม่ปกติ (ไม่มีแฟน แล้วให้ดูผ่านสตรีมมิ่ง) ย่อมหลีกเลี่ยงการสูญเสียรายได้ และการชดเชยหากโปรแกรมรันกันไม่ได้
อย่างสุดท้าย อาจจะเป็นความคิดที่ดู “โลกสวย” แต่ก็เริ่มมีหลายสื่อพูดถึง ว่าถ้าหากสถานการณ์มันดีขึ้นบ้าง การมีกีฬาลงแข่งขัน เพื่อเป็นความบันเทิงให้คนอยู่บ้านได้ชม มันก็ดูเป็นทางออกที่ผ่อนคลายความตึงเครียดได้อย่างดี แม้นักบอลที่ต้องเล่น หรือคนเกี่ยวข้อง จะต้องมีมาตรการเข้มงวดมาดูแลก็ตาม
แล้วมันจะยังไงต่อ?
เป้าหมายแรกอย่างที่บอก พรีเมียร์ลีกตั้งใจกลับมาเตะต่อให้จบ กรอบเวลาตามกฎของทั้งลีกเอง หรือของยูฟ่า ว่าต้องจบซีซันภายใน 30 มิ.ย. ถูกเปรยว่าพร้อมงดเว้นในกรณีพิเศษนี้ ถึงจะมีโปรแกรม UCL หรือ ยูโรป้า ลีก ให้หนักใจบ้าง แต่ทุกฝ่ายยอมรับว่าบอลลีกมีความสำคัญเป็นอันดับแรก เพราะหากมันเล่นไม่จบ เรื่องของอันดับ, แชมป์, โควตาไปเล่นบอลยุโรป หรือตกชั้น จะอีรุงตุงนัง ตัดสินกันยากเย็น
การเลื่อนของทั้งยูโร 2020 และโอลิมปิกที่ญี่ปุ่น ทำให้โปรแกรมทุกอย่างถูกจัดวางกันได้มากขึ้น โดยตอนนี้นอกจากต้นเดือน พ.ค. ที่คาดหวังกลับมาเตะในแผนแรก การขยับไปเริ่มเตะปลาย พ.ค., ต้น มิ.ย. หรือกลาง มิ.ย. ล้วนสามารถทำได้หมด ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โควิด-19 จะดีขึ้นเมื่อไหร่
กลับมาเตะกันแบบไหน?
ส่วนเรื่องรูปแบบการลงเล่น แน่นอนว่า “ในอุดมคติ” พรีเมียร์ลีกอยากให้กลับมาแข่งกันได้เหมือนเดิม มีแฟนบอลเต็มสนาม และมีถ่ายทอดสดปกติ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นได้ยาก การลงเล่นแบบ “ปิดสนาม” ก็เป็นทางเลือกที่ปฏิเสธไม่ได้ ว่าอาจนำมาใช้
ข่าวที่ออกมา (ยังไม่ Official นะครับ) มีการพูดถึงมาตรการในการจัดการนักฟุตบอล และทีมงานสตาฟฟ์ของทีม ออกมาด้วยซ้ำ เช่น เก็บตัวในโรงแรมที่ปลอดภัย 3-4 สัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าปลอดเชื้อ แล้วลงเล่นกันแบบสนามปิด โดยตั้งแต่เก็บตัว จนแข่งจบซีซัน ใช้กรอบเวลา 2-3 เดือน ซึ่งดูเป็นไปได้
ส่วนในกรณีการตัดจบ หรือให้ซีซันเป็นโมฆะไปนั้น ถามว่าเป็นไปได้มั้ย ก็ต้องตอบว่า “เป็นไปได้” แต่ถ้าถามว่ามากแค่ไหน ก็ต้องบอกว่า “น้อยมาก”
การตัดจบอาจจะฟังดูง่าย และเคลียร์ให้มันพ้นๆ ในมุมมองแฟนบอล แต่ต้องอย่างลืมเหตุผลที่เล่าไปแล้วว่า “ทำไมถึงอยากแข่งให้จบ?” โดยเฉพาะ 2 ข้อแรก ซึ่งมันไม่ง่ายเลย ที่จะหาคำตอบที่ยุติธรรม หากต้องฟันฉับว่าไม่แข่งกันต่อแล้ว
มันมีแนวคิดอยู่เหมือนกัน ที่จะให้ 4 ทีมอย่าง แมนฯ ซิตี้, วิลล่า, อาร์เซน่อล, เชฟฯ ยู ที่เตะน้อยกว่าคนอื่นเค้า ลงเล่นนัดตกค้าง เพื่อให้ครบ 29 นัดเท่าทีมอื่น แล้วตัดจบมันจากตรงนั้น อันดับแบบไหน ก็เอาไปตามนั้น
ซึ่งมันอาจจะดูแฟร์ในมุมมองกว้างๆ แต่ถ้าลองมองลงลึก มันมีเครื่องหมายคำถามอยู่เหมือนกัน ในเรื่องผลเกี่ยวพันกับอันดับ ที่กระทบโควต้าบอลยุโรป หรือการตกชั้น
อย่างแมทช์ วิลล่า-เชฟฯ ยู ซึ่งจะกลายเป็นนัดสุดล้ำค่าทันที เพราะถ้า “ดาบคู่” ชนะ พวกเขาจะแซงแมนฯ ยู และวูล์ฟ ขึ้นมาเป็นที่ 5 แล้วได้เตะยูโรป้าไปเลย หรือถ้ากลับกันหากวิลล่าชนะปุ๊บ พวกเขาจะรอดตกชั้น แล้วเป็นวัตฟอร์ดตกชั้นแทนหน้าตาเฉย…
ส่วนเรื่องการให้ซีซันเป็นโมฆะไปเลย ย่อมยากขึ้นไปอีกระดับ มันอาจจะเป็นไปได้ในฟุตบอลสโมสรยุโรป แต่กับเกมลีก มันเกิดขึ้นยากกว่านั้นอีกเท่าตัว เหตุผลก็ไม่ต่างจากที่พูดไปด้านบน
จัดทีม วัดใจ
ชวนคุยกันไปแล้วถึงสถานการณ์ข้างหน้าของพรีเมียร์ลีก ซึ่งตอนนี้มีแต่การคาดเดา เพราะยังไงต้องรอประกาศ Official ออกมาเสียก่อน ดังนั้นหน้าที่สำคัญของกุนซือแฟนตาซี ก็คือต้องจัดทีม และบริหาร Free Transfer อย่างที่ผมบอกแนวคิดไปเมื่อ EP ที่แล้ว
(ย้อนไปอ่าน EP 36 >> คลิกที่นี่จ้า <<)
หลังจากทีมของผมใส่คัลเวิร์ธ-เลวิน เข้ามาแทนอิงส์ สำหรับเดดไลน์ของ Gameweek 31 สิ่งที่ต้องทำต่อไปสำหรับ Gameweek 32 คือการใช้ Free Transfer ซะ 1 ตัว เพื่อไม่ให้เสียสิทธิ์ที่สะสมได้สูงสุดแค่ 2 สิทธิ์
ลองคิดเล่นๆ จาก Gameweek 32 จนถึงเดดไลน์ของ Gameweek 36 เท่ากับผมมีสิทธิ์เปลี่ยนตัวฟรี ได้อีก 6 ตัว ดังนั้นต้องมาดูโปรแกรมที่เหลือก่อน ว่านักเตะคนไหนพึงพอใจ หรืออยากจะเปลี่ยนออก
จากวิธีการเอาโปรแกรมทั้งหมดที่เหลือมากางดู แบบที่แชร์ไปแล้วใน EP ก่อน นักเตะที่โปรแกรมที่เหลือยอดเยี่ยมก็อย่าง ปาทริซิโอ, เทย์เลอร์, บรูโน่, โจต้า, คัลเวิรธ-เลวิน และก็มีตัวที่จะเหลือโปรแกรมเตะมากกว่าชาวบ้านอย่าง เด บรอยน์, ซาก้า, เฮนเดอร์สัน, โอบาเมย็อง
พวกที่โปรแกรมที่เหลือหนักหน่อย ก็อย่าง เฮนเดอร์สัน, แคนท์เวลล์, โซยุนคู ส่วนพวก เทรนท์, ฟาน ไดค์, มาเน่, แฟร์นานเดซ โปรแกรมจะกลางๆ มีหนัก มีเบา
ทีมที่โปรแกรมน่าสนใจในช่วงที่เหลือ ก็จะมีเชลซี, เบิร์นลีย์, แมนฯ ยู, วูล์ฟ และสเปอร์ ซึ่งเราสามารถลองจัดสรรนักเตะที่อยากได้ดูก่อน เพื่อวางแผนยาวๆ กับ Free Transfer ทั้งหมดที่เราจะใช้ จนกว่าจะถึง Gameweek 36 ซึ่งเป็นกำหนดการเร็วที่สุด ที่จะกลับมาโม่แข้งกัน
ในแนวรับ ค่อนข้างสนใจอลอนโซ่ หรือโดเฮอร์ตี้ แต่ราคาค่อนข้างแรง แคนดิเดทที่ราคารองลงมา ก็เลยเป็น แม็คไกวร์ หรือโอริเย่ หรือจะหันไปหาขวัญใจคนเดิมอย่างลุนด์สตรัม ที่โปรแกรมเหลือเยอะกว่าทีมอื่น
แดนกลาง ดูน่าพึงพอใจอยู่แล้ว ตัวที่น่าขยับอย่างแคนท์เวลล์ ก็ค่อนข้างลำบาก เพราะราคาถูก อาจจะหาตัวแทนได้ยาก ที่พอจะน่าเลือกก็จะเป็นพวก เฟล็ค, นอร์วู้ด, จอร์จินโญ่ ซึ่งไม่ถึงกับดึงดูดมากนัก
ในแดนหน้า 3 ประสานที่มีถือว่าลงตัว แต่หากจะเปลี่ยน ก็อาจทำเพื่อโยกงบไปลงในตำแหน่งอื่น เช่น ถอดโอบาเมย็องออก แล้วใส่เคน (น่าจะหายเจ็บแล้ว) หรือฆิมิเนซ เข้ามา ซึ่งยังไงคงต้องดูองค์ประกอบตำแหน่งอื่นด้วย ว่าคุ้มค่ารึป่าว
ยังไงเดดไลน์ Gameweek 32 เปลี่ยนแน่นอนครับ คาดว่าจะเป็นตำแหน่งกองหลัง แต่คงขอตัดสินใจอีกทีตอนเดดไลน์วันเสาร์นี้ ซึ่งสามารถติดตามกันได้เหมือนเดิม กับช่องทางติดต่อสื่อสารของเรา
กลุ่มแชท ใน LINE OpenChat >> คลิกเลย <<
กลุ่ม facebook >> คลิกเลย <<
ครบถ้วนกับ EP นี้ ซึ่งน่าจะพอทำให้หายเหงากันไปได้บ้างไม่มากก็น้อย ยังไงบริหาร Free Transfer กันไปก่อนระหว่างนี้ โดยเดดไลน์ Gameweek 32 คือ 17.30 น. วันเสาร์ เร็วขึ้น 1 ชั่วโมง เพราะเวลาอังกฤษปรับมาเป็นฤดูร้อนเรียบร้อยแล้ว
ส่วนใครเบื่อๆ ช่วงนี้ก็ดูพวกแมทช์ย้อนหลัง หรือหาความบันเทิงอื่นดูไปก่อน ยังไง “มิตรรัก นักแฟนตาซี” จะกลับมาพบกันทุกสัปดาห์เหมือนเดิมแน่นอน ไม่ว่าบอลจะเตะหรือไม่เตะ อย่าลืมรักษาสุขภาพ แล้วเจอกันครับ 🙂
Picture : Fantasy Premier League, Prost International, Premier League, Vox, The Straits Times, NSS Magazine, RFI, ARYSports, The Examiner, Aston Villa Football Club, Planet Football, Manchester Evening News, CaughtOffside, Know Your Meme