ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าความสำเร็จของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ในช่วง 2-3 ซีซันหลัง มาจากการขันชะเนาะปัญหาแนวรับได้ชะงัด โดยการมีพี่ใหญ่อย่าง “เวอร์จิล ฟาน ไดค์” ที่สามารถยืนระยะแบบไม่เจ็บป่วย แม้จะมีเซ็นเตอร์ตัวอื่นที่สลับกันเจ็บ หรือฟอร์มขึ้นๆ ลงๆ
แต่กับซีซันปัจจุบัน 2020/21 จุดแข็งสำคัญของพวกเขา กลับกลายเป็นปัญหาถาโถม “แชมป์เก่า” ให้ตั้งรับกันแทบไม่ทัน โดยเริ่มตั้งแต่การเสียประตูมากมาย อย่างไม่มีใครคาดคิด
จากเคยเสีย 22 ประตูจาก 38 นัดในลีกซีซัน 2018/19 และ 33 ประตูจาก 38 นัดเช่นกัน ในซีซัน 2019/20 ถัดมา ซึ่งทั้ง 2 ซีซัน ลิเวอร์พูลเสียประตูน้อยที่สุดในลีก กลายเป็นการเสียถึง 14 ประตูจาก 6 นัด ในซีซันนี้ ซึ่งมากที่สุดในลีก เท่ากับเวสต์บรอมวิช และฟูแล่มเลยทีเดียว
นอกจากนั้นยังไม่พอ พวกเขามาเสียฟาน ไดค์ ไปตั้งแต่นัดที่ 5 ของซีซัน หลังโดนปะทะหนักจาก “จอร์แดน พิคฟอร์ด” ส่งผลให้ทีมเหลือเซ็นเตอร์ซีเนียร์ในทีมแค่ 2 คนทันที ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “โจเอล มาติป” ที่เจ็บออดๆ แอดๆ (ตอนนี้ก็เจ็บอยู่)
และแม้จะมีการถอย “ฟาบินโญ่” ลงมารับบทเซ็นเตอร์ฮาล์ฟจำเป็น แต่ดาวเตะบราซิเลียน ก็เจ็บแฮมสตริงไปเสียอีก จากเกม UCL ที่ชนะมิดทิลลันด์ล่าสุด
สถานการณ์ที่ถาโถมดังกล่าว ทำให้ตัวซีเนียร์ที่ฟิตสมบูรณ์เหลือแค่ “โจ โกเมซ” ซึ่งยังต้องพิสูจน์ความสม่ำเสมอของฟอร์มการเล่นต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าปัญหาแนวรับยวบแบบนี้ ถือเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ “เจอร์เก้น คล็อปป์” นายใหญ่ชาวเยอรมัน เจอไม่บ่อยนัก
เมื่อปัญหาเกิด ทางแก้ไขมันย่อมตามมา แต่ทางแก้ไขของ “หงส์แดง” มีแบบไหนกันบ้าง วันนี้เราจะมาดูกันให้ครบทุกมุม
ลุ้นกับอาการบาดเจ็บ
ทางออกแรกทำได้แค่เพียงนั่งลุ้น เพราะอาการเจ็บของมาติป เท่าที่มีข่าวมาคือไม่หนักหนามาก อาจจะกลับสู่ทีมได้ใน 1-2 นัดข้างหน้า แต่ก็ต้องไม่ลืมว่ามาติปมีประวัติไม่ดีเท่าไหร่ในการยืนระยะ เพราะ 2 ครั้งหลังสุด เจ้าตัวก็เล่นได้เพียงนัดเดียว แล้วก็เจ็บยาวนานนับเดือน
การลุ้นอีกรายก็คงเป็นฟาบินโญ่ เพราะอาการเจ็บที่แฮมสตริงมีหลายระดับ ถ้าไม่หนักหนาเป็นแค่เลเวลแรกๆ เจ้าตัวจะหายหน้าไปเพียงแค่ 7-10 วัน แต่ถ้าเพิ่มระดับขึ้นไปอีก ระยะเวลาก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ประเด็นสำคัญที่ทำให้ระยะเวลาไม่กี่วัน หรือไม่กี่สัปดาห์ในซีซันนี้นานเป็นพิเศษ ก็เพราะว่าโปรแกรมทุกอย่างถูกอัดแน่นมาจากปัญหาโควิด-19 ทำให้ทีมที่เล่นฟุตบอลสโมสรยุโรปอย่างลิเวอร์พูล ต้องเจอการเตะถี่ยิบตั้งแต่เดือน ต.ค. จนสิ้นปี อาการบาดเจ็บรบกวน จึงส่งผลกระทบต่อทีมชัดเจน เพราะแทบจะเตะทุกๆ 3-4 วัน
ฝากความหวังกับดาวรุ่ง
การแก้ปัญหาขาดแคลนใกล้ตัว หนีไม่พ้นการเมียงมองไปยังอคาเดมี่ของตัวเอง เพราะอย่างนัดล่าสุดที่ฟาบินโญ่บาดเจ็บใน UCL “รีห์ส วิลเลียมส์” ดาวรุ่งร่างโย่ง ก็ถูกเรียกใช้งานแทน และก็ดูมีทรงการเล่นที่พอไปวัดไปวาได้
นอกจากในรายของวิลเลียมส์ “หงส์แดง” ยังมี “นาธาเนียล ฟิลลิปส์” ที่มีประสบการณ์ในลีก้า 2 เยอรมันมาพอสมควร จากการถูกปล่อยให้สตุทการ์ทยืมตัว หรือจะเป็นดาวรุ่งที่เคยมีโอกาสซ้อมกับชุดใหญ่อย่าง “บิลลี่ คูเมทิโอ” หรือ “เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก” ซึ่งเคยสัมผัสเกมอุ่นเครื่อง หรือบอลถ้วยมาบ้าง
สิ่งที่น่าเป็นห่วงหน่อยนึงกับการฝากความหวังไว้กับเด็ก นั่นคือการแข่งขันบนเวทีพรีเมียร์ลีก หรือ UCL นั้นค่อนข้างโหดร้าย ตัวอย่างที่กองหน้าของทีมระดับรองเล่นงานกองหลังทีมใหญ่มีมาแล้วนักต่อนักในซีซันนี้ อย่างโปรแกรมใกล้สุด “มิคาเอล อันโตนิโอ” ที่ฟอร์มกำลังฮ็อต ก็พร้อมชนดาวรุ่งด้อยประสบการณ์กระเด็นกระดอน
ใช้ผู้เล่นตำแหน่งอื่นมาเล่น
วิธีนี้เป็นวิธีที่ยังเป็นแค่เพียงแนวคิดในหมู่แฟนบอล เพราะหากมองนักเตะภายในทีมปัจจุบัน เราเคยเห็นแค่ฟาบินโญ่รายเดืยวที่ผันตัวเองมาเล่นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟจริงจัง รายอื่นยังไม่เห็นกับตาแบบชัดเจน
มองที่กองหลังอาชีพในตำแหน่งอื่นที่ทีมมี แบ็คฝั่งขวาอย่าง “เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาโนลด์” หรือ “นีโค วิลเลียมส์” ไม่น่าจะหุบมาเล่นได้จากรูปร่างที่บางเฉียบ ที่ดูจะมีทรงหน่อยอาจเป็น “แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน” ที่ดูแข็งแกร่งเพียงพอ แต่แน่นอนว่าทีมจะขาดเกมรุกฝั่งซ้ายไปโดยปริยาย เพราะปัจจุบันตัวแบ็คอัพอย่าง “คอสตาส ชิมิกาส” พักรักษาตัวอยู่บ้าน มากกว่าฟิตพร้อมลงเล่น
อีก 2 รายที่เคยจำเป็นต้องถอยลงมาเล่นในแนวรับ คือ 2 มิดฟิลด์ประสบการณ์อย่าง “จอร์แดน เฮนเดอร์สัน” และ “เจมส์ มิลเนอร์” โดยรายแรกเคยถูกจับมาเล่นแบ็คขวาจำเป็นอยู่บ้าง ส่วนรายหลังเราทราบดีอยู่แล้วถึงความเอนกประสงค์ แต่ก็ยังไม่เคยต้องยืนเป็นกองหลังตัวกลางซักหน
อีกรายที่เคยลงมาเล่นแดนหลังแว้บเดียวในช่วงท้ายเกม นั่นคือ “จอร์จินิโอ ไวจ์นาดุม” ซึ่งเคยถอยมาเล่นเซ็นเตอร์ในระบบ 3 ตัว แต่หากจะยืนเซ็นเตอร์คู่ ก็ยังนึกภาพไม่ค่อยออกเหมือนกันว่าเขาจะทำได้หรือไม่
เซ็นนักเตะฉุกเฉินตอนนี้
เคสนี้มีทางออกอยู่ 2 ทางหลักๆ โดยทางเลือกเบสิก คือการเซ็นสัญญานักเตะที่ไม่มีสังกัดเข้าสู่ทีม โดยแม้จะเป็นทางเลือกที่คล็อปป์ไม่น่านิยมชมชอบ เพราะเขามักไม่เซ็นนักเตะเอามาแบบเผื่อใช้ แต่ด้วยสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ มันก็อาจมีอะไรแปรเปลี่ยนได้
หากไปดูในลิสต์เซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่ว่างงานอยู่ บอกตามตรงว่ามีน่าสนใจอยูแค่ไม่กี่ราย ตัวอย่างเช่น “เอเซเกล การาย” อดีตนักเตะเรอัล มาดริด ที่อายุอานามปาเข้าไป 34 ปีแล้ว หรือในรายที่มีประสบการณ์พรีเมียร์ลีกอย่าง “แอชลีย์ วิลเลียมส์” ก็อายุ 36 ปีไปแล้ว
อีกวิธีคือการยื่นเรื่องขอซื้อนักเตะในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งเห็นไม่บ่อยนักในเวทีพรีเมียร์ลีก และส่วนใหญ่มักจะใช้กับการบาดเจ็บของผู้รักษาประตูมากกว่าจะเป็นตำแหน่งอื่น วิธีนี้แม้จะเป็นไปได้ แต่มันต้องคุยกันหลายต่อ จึงไม่น่าจะเกิดขึ้นเป็นทางเลือกแรก
อดทนรอ เพื่อเสริมจริงจัง ม.ค.
ทางเลือกสุดท้ายคล้ายกับการ “จำยอม” ที่จะใช้ของที่มีในมือไปจนกว่าจะถึงตลาด ม.ค. ตลาดที่ปตกิคล็อปป์จะไม่ค่อยกระโจนลงไปร่วมสังคายนาเท่าไหร่ เพราะตัวเขาและทีมซื้อขายอันขึ้นชื่อของทีม รู้ดีว่าราคาค่างวดมันมักจะถีบตัวสูงเกินจริง
อย่างไรก็ดี อาการบาดเจ็บถึงขั้นต้องผ่าเพื่อซ่อมแซมเอ็นไขว้หน้าเข่า หรือ ACL ของฟาน ไดค์ แทบจะการันตีว่าซีซันนี้ของกองหลังตัวสำคัญน่าจะปิดฉากลงไม่ต่ำกว่า 80-90% การจะถูลู่ถูกังกับขุมกำลังที่มี อาจจะลำบากกว่าที่คาดไว้มากในช่วงครึ่งซีซันหลัง
ดังนั้น ชื่อที่ถูกยกเข้ามาเป็นแคนดิเดทเสริมทัพที่ “หงส์แดง” จับตามอง จึงถูกพูดถึงกันคึกคัก โดยมีตัวเต็งอยู่ราว 3-4 รายที่ถูกคาดการณ์กัน
ส่อง 4 นักเตะสื่อกระพือข่าว
รายแรกที่น่าจะถูกตาต้องใจกับหลายทีมใหญ่เช่นกัน ได้แก่ “ดาโยต์ อูปาเมกาโน่” เซ็นเตอร์ฮาล์ฟวัย 22 ปี ที่โชว์ฟอร์มได้แข็งแกร่งกับไลป์ซิก และมีข่าวจะโยกย้ายทีมอยู่ทุกตลาดซื้อขายช่วง 1-2 ปีหลัง
กองหลังรูปร่างแข็งแกร่ง และมีความเร็วชาวฝรั่งเศส เพิ่งจะต่อสัญญากับทีมออกไปจนถึงปี 2023 แต่ว่ากันว่า สัญญามีการใส่เงื่อนไขการปล่อยตัวไว้ในซัมเมอร์ปี 2021 อยู่ที่ราวๆ 40 ล้านยูโร ดังนั้นแล้ว หากมีทีมกล้าทุ่มเงินมากกว่านั้นในตลาดฤดูหนาวต้นปี ไลป์ซิกอาจจำใจปล่อย เพื่อหวังโกยเงินเข้ากระเป๋าให้ได้มากที่สุด
รายต่อไปที่ถูกพูดถึงมาตั้งแต่ซัมเมอร์คือ “โอซาน คาบัค” เซ็นเตอร์ฮาล์ฟทีมชาติตุรกี วัย 20 ปีของชาลเก้ ซึ่งมีข่าวว่ามีเงื่อนไขปล่อยตัวอยู่ที่ 45 ล้านยูโร โดยคาบัคเองเคยออกมาบอกด้วยว่า เขาเป็นแฟนตัวยงของฟาน ไดค์
พูดถึงคุณสมบัติของคาบัค เขาเป็นเซ็นเตอร์ที่ไม่ได้ตัวสูงใหญ่ แต่มีความเร็วและร่างกายที่ดี และถึงแม้จะอยู่กับชาลเก้ที่เสียประตูมากมายในซีซันก่อน แต่ฟอร์มโดยรวมถือว่าดี ด้วยวัยแค่นี้จึงน่าจับตามองว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะชั้นนำในอนาคต
ชื่อต่อไปไม่ใช่คนอื่นคนไกล เขาคือ “คอเนอร์ คัวดี้” กัปตันทีมวูล์ฟแธมป์ตัน วัย 27 ปี ที่เป็นทั้งเด็กท้องถิ่น และเป็นอดีตลูกหม้ออคาเดมี่ของลิเวอร์พูลมาก่อน สวมปลอกแขนกัปตันทีมเยาวชนของสโมสรมาทุกชุด และเคยได้รับการยกย่องว่าจะเจริญรอยตามเจอร์ราร์ด ในเรื่องวุฒภาวะและเลือดนักสู้สเกาเซอร์ เพียงแต่สุดท้ายแจ้งเกิดไม่สำเร็จ
แน่นอนว่าปัจจัยสำคัญที่คัวดี้ถูกโยงกับลิเวอร์พูล เพราะความเป็นเลือดสเกาเซอร์แท้ ซึ่งคล็อปป์เคยเอ่ยปากชมว่าเป็นคุณสมบัติที่เขาชื่นชอบในการมองเด็กซักคน โดย “เจมี่ คาร์ราเกอร์” ตำนานสโมสร ที่ทำหน้าที่เป็นคอมเมนท์เตเตอร์ เคยเอ่ยปากหยอกเย้าชวนคัวดี้กลับมาเล่นที่แอนฟิลด์ แต่เจ้าตัวได้แต่ยิ้ม แล้วบอกว่าเขามีความสุขดีกับวูล์ฟ
รายสุดท้าย ที่ติดตามฟอร์มมานานคือ “เบน ไวท์” เซ็นเตอร์ฮาล์ฟดาวรุ่ง ที่โชว์ฟอร์มในการยืมตัวกับลีดส์ซีซันที่แล้วได้ยอดเยี่ยม และ “ยูงทอง” เองก็อยากเซ็นเขาถาวร เพียงแต่ต้นสังกัดอย่างไบรท์ตัน ยืนกรานว่าไม่ขาย และจับนักเตะต่อสัญญาในที่สุด
ไวท์อายุ 23 ปี หน่วยก้านดี ขยับมาเล่นมิดฟิลด์ตัวรับก็ได้ แต่คาดว่าด้วยสัญชาติอังกฤษของเขา ค่าตัวจึงอาจจะถูกตั้งไว้ไม่ต่ำกว่า 30-40 ล้านปอนด์ ซึ่งอาจจะเกินจริง เมื่อเทียบกับตัวเลือกอื่นที่ไม่หนีกันมาก
ผลสรุปการแก้ปัญหาของ “เจอร์เก้น คล็อปป์” จะออกมาในแบบไหน คาดว่าเร็วๆ นี้ เราคงได้เห็นกันทั้งการแก้ไขระยะสั้นและยาว ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของ “หงส์แดง” ในการป้องกันแชมป์ในซีซันที่เอาแน่เอานอนได้ยากเหลือเกิน
อย่างที่เขาว่ากันว่า “เป็นแชมป์น่ะยาก แต่ป้องกันแชมป์ซิ ยากกว่า” คำพูดยอดนิยมประโยคนี้ คงจะใช้กับ “หงส์แดง” ได้ตั้งแต่ต้นซีซันเลยทีเดียว
Picture : Eurosport, Goal.com, Liverpool FC, SportsAlert, This Is Anfield, The Indian Express, Bundesliga, Fanatik, EPL Scouts, The Liverpool Offside