ย้อนอดีต 6 แมตช์สุดคลาสสิคตลอดกาลของศึก “แดงเดือด” - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
ย้อนอดีต 6 แมตช์สุดคลาสสิคตลอดกาลของศึก “แดงเดือด”

      “แดงเดือด” ถือเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีของ 2 สโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในวงการลูกหนังประเทศอังกฤษอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล ซึ่งทั้ง “ปีศาจแดง” และ “หงส์แดง” เปรียบได้ว่า เป็นคู่อริตลอดกาลของกันและกันเลยก็ว่าได้

        ขณะเดียวกัน เมื่อทั้ง 2 สโมสรมีโอกาสโคจรมาพบกันไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันศึกฟุตบอลภายใน หรือภายนอกประเทศนั้น บรรดาแข้งทั้ง 2 ทีมต่างก็ทุ่มสุดตัว และใส่กันแบบไม่ยั้ง เพราะคำว่า ศักดิ์ศรีค้ำคออยู่ และในแมตช์เหล่านั้น มักจะมีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นมากมายให้แฟนบอลได้จดจำ

        นี่คือ 6 แมตช์ สุดคลาสสิคตลอดกาลของศึก “แดงเดือด” ที่เชื่อได้ว่า สาวกลูกหนังทั่วโลกต่างก็ลืมไม่ลงอย่างแน่นอน

1. ลิเวอร์พูล 3-3 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ปี 1994)

Source : thejournal

“ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การนำทัพของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอดกุนซือชาวสก็อตแลนด์ ในเวลานั้นกำลังนำเป็นจ่าฝูง และเตรียมจะขึ้นแท่นคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกของสโมสรในรอบ 26 ปี ได้สำเร็จ

แมนฯยูไนเต็ด โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดด้วยการไม่แพ้ใครเลยตลอด 17 เกมที่ลงสนาม พร้อมทำแต้มทิ้งห่าง ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของ แกรม ซูเนสส์ ซึ่งรั้งอันดับ 9 ถึง 21 คะแนน และในเกมที่แอนฟิลด์ “ปีศาจแดง” ก็ร้อนแรงแบบหยุดไม่อยู่ด้วยการบุกมานำ “หงส์แดง” ถึงถิ่น 3-0 โดยใช้เวลาเพียง 25 นาทีเท่านั้น

ดูเหมือนว่า ชัยชนะที่ง่ายดายจะอยู่ตรงหน้าเหล่านักเตะ แมนฯยูไนเต็ด แน่นอนแล้ว แต่สุดยอดการคัมแบ็คก็เกิดขึ้นเมื่อ ลิเวอร์พูล ฮึดตามตีเสมอได้ 3-3 จากการซัด 2 ประตู ของ ไนเจล คลัฟ จอมทัพชาวอังกฤษ และ นีล รัดด็อค กองหลังพันธุ์โหด 

2. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-2 ลิเวอร์พูล (ปี 1995)

Source : thejournal

เกมแดงเดือกนัดนี้บรรดาสาวก “เร้ด เดวิลส์” ในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ตั้งตาราคอยเป็นพิเศษเพราะ เอริค คันโตน่า ยอดดาวยิงชาวฝรั่งเศส ได้กลับมาลงสนามอีกครั้งหลังจากโดนแบนยาว 8 เดือน จากกรณีกังฟูคิกใส่แฟนบอลคริสตัล พาเลซ

แมนฯยูไนเต็ด เริ่มเกมได้อย่างสวยงามด้วยการขึ้นนำทีมเยือนไปก่อนจากประตูของ นิคกี้ บัตต์ กองกลางชาวอังกฤษ แต่ “เดอะ ก็อด” ร็อบบี่ ฟาวเลอร์ ตำนานหัวหอก ลิเวอร์พูล ซัดเบิ้ล 2 ประตูให้ “หงส์แดง” พลิกขึ้นนำ

        อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลัง แมนฯยูไนเต็ด ได้ลูกจุดโทษ จากการที่ นีล รัดด็อค กองหลัง ลิเวอร์พูล ทำฟาวล์ใส่ เดวิด เบ็คแฮม ปีกขวา “ปีศาจแดง” และ คันโตน่า ก็รับหน้าที่สังหารไม่พลาดพร้อมกับพา แมนฯยูไนเต็ด แบ่งแต้มได้สำเร็จ

3. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-2 ลิเวอร์พูล (ปี 1996)

Source : bleacherreport

อีกหนึ่งเกม “แดงเดือด” ในศึกฟุตบอลถ้วยเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ ที่ได้รับการจดจำไปตลอดกาล เกิดขึ้นเมื่อปี 1996 ที่สนามเวลมบลีย์ เมื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การนำทัพของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอดกุนซือชาวสก็อตแลนด์ มีคิวต้องฟาดแข้งกับ ลิเวอร์พูล ภายใต้การนำของ รอย อีแวนส์ โค้ชชาวอังกฤษ

ในยุคนั้น ลิเวอร์พูล มีนักเตะอย่าง เจมี่ เร็ดแนปป์, สตีฟ แมคมานนมาน, เจสัน แมคเคทเคียร์ และ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “สไปซ์บอย” เป็นตัวชูโรง ขณะที่ แมนฯยูไนเต็ด ก็ยังคงมี เอริค คันโตน่า, เดวิด เบ็ดแฮม และไรอัน กิ๊กส์ นำทัพ 

ในแมตช์นั้น ทั้ง 2 ทีมยังคงเสมอกัน 0-0 จนกระทั่งช่วงใกล้หมดเวลา คันโตน่า ก็สร้างปาฏิหาริย์ด้วยการเอี้ยวตัววอลเล่ย์อย่างสุดสวยผ่านมือ เดวิด เจมส์ นายทวาร ลิเวอร์พูล เข้าประตูไป พร้อมกับพา “ปีศาจแดง” คว้าแชมป์ในท้ายที่สุด

การคว้าถ้วยเอฟเอ คัพ ในปีนั้น นับเป็นการคว้าดับเบี้ลแชมป์ครั้งแรกในฐานะผู้จัดการทีมของ เฟอร์กูสัน อีกด้วย หลังจากที่ เฟอร์กี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก มาครองได้ก่อนหน้านั้นแล้ว

4. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-1 ลิเวอร์พูล (ปี 2000)

Source : premierleague

เหนือสิ่งอื่นใดนี่เป็นชัยชนะที่หอมหวาน และสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ ลิเวอร์พูล หลังจากที่พวกเขาไม่สามารถบุกมาเอาชนะ แมนฯยูไนเต็ด ในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้นานติดต่อกันถึง 10 เกม

ในเกมนัดนั้น แดนนี่ เมอร์ฟี่ย์ อดีตกองกลางทีมชาติอังกฤษ เป็นฮีโร่ ของ ลิเวอร์พูล หลังจากที่เขาเป็นคนปั่นฟรีคิกสุดสวยผ่านมือ ฟาเบียง บาร์กเตซ ผู้รักษาประตูทีมชาติฝรั่งเศส ของ “ปีศาจแดง” เข้าไป

อย่างไรก็ตาม แม้จะได้ชัยชนะกลับออกมาแต่ ลิเวอร์พูล ก็ไม่สามารถหยุดยั้งให้ แมนฯยูไนเต็ด ภายใต้การกุมบังเหียนของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอดกุนซือชาวสก็อตแลนด์ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เป็นสมัยที่ 7 ได้ในปีนั้น

5. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-4 ลิเวอร์พูล (ปี 2009)

Source : This is Anfield

นี่ถือเป็นฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของ ลิเวอร์พูล เมื่อมาเยือนถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด เลยก็ว่าได้ โดยในปีนั้น “หงส์แดง” ภายใต้การนำของ ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือชาวสเปน ต้องการชัยชนะจาก “ปีศาจแดง” อย่างยิ่งเพื่อเพิ่มความหวังในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกของสโมสร

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกทีมชาติโปรตุเกส ซัดให้ แมนฯยูไนเต็ด ขึ้นนำไปก่อน 1-0 แต่ ลิเวอร์พูล คัมแบ็คกลับมาซัดคืนรวดเดียว 4 ประตู จาก เฟร์นานโด ตอร์เรส กองหน้าทีมชาติสเปน, สตีเว่น เจอร์ราร์ด กองกลางทีมชาติอังกฤษ, ฟาบิโอ ออเรลิโอ้ แบ็คแซมบ้า และอันเดร ดอซเซน่า กองหลังอิตาเลียน

 อย่างไรก็ตาม “ปีศาจแดง” ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ยังคงแข็งแกร่งพอ และเร่งเครื่องคว้าแชมป์ได้ในท้ายที่สุด

6. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-2 ลิเวอร์พูล (ปี 2010)

Source : footballcritic

แฟน ๆ แมนฯยูไนเต็ด มักแสดงความคิดเห็นกันว่า ค่าตัว 30 ล้านปอนด์ ที่พวกเขาซื้อ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ กองหน้าทีมชาติบัลแกเรีย มาร่วมทีมนั้น คุ้มค่าที่สุดก็คือในเกมนี้ หลังจากที่เขาซัดแฮตทริคพา “ปีศาจแดง” คว้าชัยเหนือ ลิเวอร์พุล ได้อย่างสุดยอด

ในเกมนัดดังกล่าว แมนฯยูไนเต็ด ขึ้นนำไปก่อน 2-0 จากการโหม่ง และการยิงด้วยลูกจักรยานอากาศสุดคลาสสิคของ เบอร์บาตอฟ แต่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีม ลิเวอร์พูล ก็ซุดจุดโทษ และฟรีคิกให้ “หงส์แดง” ตามตีเสมอได้สำเร็จ

เกมทำท่าว่าทั้ง 2 ทีมจะจบด้วยการแบ่งแต้มกันไป แต่กลายเป็น เบอร์บาตอฟ สร้างปาฏิหาริย์ด้วยการโหม่งประตูชัยในช่วงท้ายเกมผ่านมือ เปเป้ เรน่า นายทวารชาวสเปนของ ลิเวอร์พูล เข้าไป ทำให้ “ปีศาจแดง” เฉือนเอาชนะไปอย่างสุดมันส์

ภาพประกอบ : the42.ie, bleacherreport.com, premierleague.com, theguardian.com, footballcritic.com

Che Navapun

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save