เมื่อมีเกมที่ดีมาก ๆ เกมหนึ่ง แน่นอนว่าหลาย ๆ คนย่อมอยากให้เกม ๆ นั้นมีภาคต่อแน่นอน ซึ่งการมีภาคต่อของตัวเกมนั้น จะทำให้ตัวเกมมีการขยายจักรวาลเรื่องราวไปได้อีกมากและทำให้อยู่กับแฟน ๆ ไปได้อีกนาน แต่สำหรับเกมบางเกมนั้น ทั้ง ๆ ที่ทำออกมายอดเยี่ยมมาก ๆ แล้ว ถึงแม้แฟน ๆ จะเรียกร้องให้มีภาคต่อมากแค่ไหน การที่จะหยุดอยู่ที่ตัวเกมแค่ภาคเดียว ย่อมดีที่สุด

วันนี้เราลองมาดูกันดีกว่าว่า 5 เกมดีที่จบสมบูรณ์และไม่ควรจะมีภาคต่อแล้วนั้น มีเกมอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

1. Octopath Traveler

เกม RPG กราฟิก 2.5D สุดโด่งดังบน Nintendo Switch ซึ่งความสนุกของเกมนั้น สุดยอดเกินกว่าที่คาดมาก ด้วยตัวละครที่มีเอกลักษณ์ถึง 8 ตัวและสามารถถ่ายทอดเรื่องราวของทั้ง 8 ตัวละครได้อย่างยอดเยี่ยม ถึงแม้ตัวเกมจะเล่าด้วยกราฟิกแนวคลาสสิก แต่ก็เป็นกราฟิกแนวคลาสสิกที่สวยงามและมีเพลงประกอบทำให้เราหวนคิดถึงอดีตเกมสมัยก่อนมาก ๆ และก็มีเอกลักษณ์มาก ๆ ด้วย ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดของเกมนั้น สามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างครบรส สมบูรณ์แบบในตัวเกม ๆ เดียวแล้ว ถ้าหากจะทำภาคต่อ เชื่อว่ารูปแบบอาจจะไม่หวือหวา ไม่ตื่นตาตื่นใจ และไม่สดใหม่เหมือนตัวเกมภาคออริจินัลแบบนี้อีกแล้ว เพราะฉะนั้น ละไว้ที่ภาคนี้ภาคเดียวนี่แหละ สมบูรณ์แบบที่สุด

2. Shovel Knight

อีกหนึ่งเกมสไตล์คลาสสิกที่ทำออกมาได้ดีมาก ๆ ตัวเกมได้แรงบันดาลใจมาจากเกมแนวผจญภัยสมัยก่อนอย่าง Super Mario และ Megaman ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถทำเกมสไตล์คลาสสิกที่ดูมีเอกลักษณ์และไม่จำเจกับ Super Mario หรือ Megaman ได้ ปัจจุบัน ตัวเกมไม่มีภาคต่อ มีเพียงแต่ DLC แยกที่เราสามารถเล่นเป็นตัวละครอื่นในเนื้อเรื่องเดียวกันเท่านั้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีแล้ว เพราะตัวเกมจบมาได้อย่างสมบูรณ์แบบสุด ๆ แฮปปี้เอ็นดิ้งแล้ว และตัวละครก็เป็นที่จดจำแล้ว เชื่อว่าถ้าหากตัวเกมมีภาคต่อไปอีกเรื่อย ๆ เหมือน Megaman ที่เปลี่ยนบอสไปทุก ๆ ภาค ตัวละครภาคออริจินัลจะต้องถูกลืมไปอย่างแน่นอน

3. Bastion

เกมที่ดูเผิน ๆ เหมือนจะเป็นเกมแนวผจญภัยมุมกล้องสูงธรรมดา ๆ ทั่วไป แต่ขอโทษเถอะ เมื่อเล่นแล้ว เกมนี้กลับทำออกมาได้มีเอกลักษณ์แบบโดดเด่นมาก ๆ ทั้งในแง่ของระบบเกมเพลย์ที่สนุกสนานและกราฟิกแนวอาร์ตที่สวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ พร้อมเทคนิคการเล่าเรื่องที่น่าจดจำ ซึ่งตัวเกมได้ให้รสชาติความสนุกที่ครบถ้วนแบบพอดิบพอดีแล้ว และไม่ควรที่จะทำภาคต่อออกมาอีก เปรียบเสมือนอาหารจานหลัก 1 จาน ที่ให้รสชาติและสารอาหารเพียงพอแล้ว และไม่จำเป็นต้องมีจานที่ 2 อีกเพราะเดียวมันจะดูมากเกินไปและความพอดีที่ตัวเกมทำไว้มันจะล้นออกมา

4. Marvel’s Spider-Man

สุดยอมเกมจาก Marvel ที่ให้รสชาติของความเป็น Spider-Man ได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว พร้อมคว้ารางวัลจากงานเกมในเวทีใหญ่ ๆ อีกมากมาย ตัวเกมให้ทั้งความสนุก ความอิสระของการเล่น และเรื่องราวที่เล่ามาได้อย่างยอดเยี่ยมพอดิบพอดีแล้ว ซึ่งทุก ๆ ครั้ง เกม Spider-Man ก็จะทำตัวเกมออกมาลักษณะนี้อยู่บ่อย ๆ และคาดว่าตัวเกมเวอร์ชั่น PS4 นี้ น่าจะเป็นภาคที่อารมณ์ครบที่สุดแล้ว ถ้าหากตัวเกมมีภาคใหม่ออกมาแล้ว แล้วทำในลักษณะ Open World ตะลุยเมือง New York แบบนี้อีก ก็คงจะน่าเบื่อและจำเจแย่ ตัวเกมภาคใหม่ ก็อยากให้ไม่ทำภาคต่อ แต่เป็นเกมรูปแบบใหม่ที่ให้ประสบการณ์การเล่นแบบใหม่ไปเลย น่าจะดีกว่าให้เรามาโหนใยเล่นในเมือง New York ซ้ำไปซ้ำมาแบบตัวเกมทุก ๆ ภาค

5. Astral Chain

ปิดท้ายกันด้วยเกมจาก Nintendo Switch ที่ทำผลงานออกมาได้ดีเกินคาดมาก ๆ กับเกม Astral Chain ที่มีระบบการต่อสู้ที่ทำออกมาได้ลื่นไหลและตราตรึงมาก แต่แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ระบบต่อสู้เพียงอย่างเดียวที่ทำให้ตัวเกมยอดเยี่ยม แต่มีเนื้อเรื่องที่น่าติดตามและคาดเดายากอีกด้วย ด้วยเนื้อเรื่องแนวผจญภัยผสมสืบสวนสอบสวนที่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเข้ากันได้อย่างดี ถึงกับวางจอยไม่ลงเลยทีเดียว ซึ่งจากทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ตัวเกมสามารถให้ประสบการณ์ที่คุ้มค่าและครบรสสุด ๆ แล้ว ถ้าหากมีภาคต่อคิดว่าคงจะทำให้ความขลังของเกมหดหายไปแน่ ๆ ถึงแม้แฟน ๆ จะเรียกร้องให้มีภาคต่อมากแค่ไหนก็ตาม

และทั้งหมดก็คือ 5 เกมดีที่ไม่ควรจะมีภาคต่อแล้ว ซึ่งทั้ง 5 เกม สามารถให้อรรถรสได้อย่างเพียงพอและสมบูรณ์แบบโดยจำเป็นต้องมีภาคใหม่ออกมาขยายเรื่องราวอีกต่อไปแล้ว อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคลเท่านั้น แล้วเพื่อน ๆ ล่ะ คิดว่ามีเกมไหนอีกบ้างที่ควรจบแค่ภาคเดียวและไม่ต้องมีภาคต่ออีกแล้ว ลองแสดงความเห็นกันเข้าได้เลย