10 ทีมที่ดีที่สุดในรอบทศวรรษที่ผ่านมา - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
10 ทีมที่ดีที่สุดในรอบทศวรรษที่ผ่านมา

       ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ทีมสุดยอดฟุตบอลระดับท็อปทางฝั่งยุโรปต่างประกาศศักดิ์ดาความยิ่งใหญ่ของตัวเองให้วงการลูกหนังทั่วโลกได้รับรู้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคว้าถ้วยแชมป์ สไตล์การเล่น และการบริหารจัดการทีม

       10 อันดับยอดทีมต่อไปนี้ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พวกเขามีคุณสมบัติครบถ้วนทุกอย่างในการเป็นทีมที่ทีมที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา

10. ยูเวนตุส (ในยุค มัสซีมีเลียโน อัลเลกรี คุมทีม)

Source : guardian

อัลเลกรี ย้ายจาก เอซี มิลาน มาคุม ยุเวนตุส เมื่อซัมเมอร์ปี 2014 ท่ามกลางความไม่พอใจของแฟนบอล “เจ้าม้าลาย” แต่ตลอด 5 ปี ที่เทรนเนอร์ชาวอิตาเลียนทำหน้าที่นั้น เขาเอาชนะใจสาวก “เบียงโคเนรี่” ด้วยการพาทีมกวาดแชมป์กัลโช่เซเรีย อา 5 สมัย, โคปา อิตาเลีย 4 สมัย และเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ถึง 2 ครั้ง

ยูเวนตุส ภายใต้การคุมทัพของ อัลเลกรีนั้น สมดุลทั้งเกมรับ-เกมรุก โดยแนวรับมียอดปราการหลังทีมชาติอิตาลีอย่าง เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ และ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ บัญชาการ และในแดนกลางถือเป็นจุดแข็งแกร่งที่สุดด้วยการมีจอมทัพอย่าง อันเดรีย ปีร์โล คุมเกม ขนาบข้างด้วย ปอล ป็อกบา และอาร์ตูโร่ วิดัล

สำหรับ “เจ้าม้าลาย” ในเวลานั้น ถูกยกย่องเป็นทีมที่เขี้ยวลากดินอย่างยิ่ง และยากที่ใครจะเอาชนะได้ง่ายๆ

9. ลิเวอร์พูล (ในยุค เยอร์เก้น คล็อปป์ คุมทีม)

หากเรามองย้อนกลับไปในช่วงปลายปี 2015 จนถึงปัจจุบันนี้ คล็อปป์ ถือเป็นผู้จัดการทีมที่สมบูรณ์แบบของ ลิเวอร์พูล อย่างปฏิเสธไม่ได้เลย โดยโค้ชชาวเยอรมันแปรสภาพ “หงส์แดง” ที่กำลังไร้จุดหมายให้กลายเป็นทีมระดับท็อปของวงการฟุตบอลยุโรปเรียบร้อยแล้ว

คล็อปป์ ค่อยๆปั้น ลิเวอร์พูล จนกลายเป็นทีมที่แข็งแกร่งทั่วแผ่น และมีเกมโต้กลับเร็วที่อันตรายที่สุดทีมหนึ่ง โดย อลิสสัน เบ็คเกอร์ นายทวารทีมชาติบราซิล และ เวอร์จิล ฟาน ไดจค์ กองหลังชาวดัตช์ ถูกคว้าตัวเข้ามาเป็นหัวใจสำคัญในแนวรับ ขนาบข้างด้วยแบ็คจอมบุกอย่าง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

ในแดนกลางมีนักเตะที่วิ่งไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เจมส์ มิลเนอร์ และจีนี่ ไวจ์นัลดุม ส่วนแนวรุกมีสุดยอด 3 ประสานอย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่, ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์

ผลงานอันสุดยอดของ คล็อปป์ กับ ลิเวอร์พูล คือ การคว้าถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย, ยูฟ่า ซุเปอร์ คัพ 1 สมัย, แชมป์สโมสรโลก 1 สมัย และกำลังจะพา “หงส์แดง”คว้าแชมป์ลีกในรอบ 30 ปีของสโมสร

8. แอตเลติโก มาดริด (ในยุค ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ คุมทีม)

แอตเลติโก ได้ทำการตัดสินใจที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของพวกเขาในช่วงต้นทศวรรษที่ผ่านมาด้วยแต่งตั้ง ซิเมโอเน่ เข้ามาคุมทีมในเดือนธันวาคม ปี 2011 และในปีนั้น กุนซือชาวอาร์เจนตินา พาพลพรรค “ตราหมี” คว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก ทันที ตามมาด้วยแชมป์โคปา เดย์ เรย์ ในปีต่อมา และแชมป์ลา ลีกา ในฤดูกาล 2013-2014

ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซิเมโอเน่ พา แอตเลติโก ขับเคี่ยวลุ้นแชมป์กับ 2 ทีมยักษ์ใหญ่ในสเปนอย่าง บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด ได้อย่างสูสี และพาทีมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฟุตบอลยุโรปด้วยการเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ถึง 2 ครั้ง

เทรนเนอร์อาร์เจนไตน์ สร้างสไตล์ฟุตบอลอันเป็นเอกลักษณ์ให้กับ แอตเลติโก ด้วยการเป็นทีมที่เล่นเกมรับได้อย่างแข็งแกร่ง และบรรดาแนวรับหลายต่อหลายคนพัฒนาตัวเองขึ้นอย่างมากหลังจากเขามาคุมทีม อาทิ ยาน โอบลัค นายทวารทีมชาติสโลวิเนีย, ดิเอโก้ โกดิน กองหลังชาวอุรุกวัย, เฟลิเป้ หลุยส์ แบ็คซ้ายชาวแซมบ้า และลูคัส เอร์นานเดซ ปราการหลังดาวรุ่งชาวฝรั่งเศส

7. บาเยิร์น มิวนิค (ในยุค เปป กวาร์ดิโอล่า คุมทีม)

Source : fcbarcelonanoticias

แชมป์บุนเดสลีกา 3 สมัย กับตลอด 3 ฤดูกาลที่ กวาร์ดิโอล่า เข้ามาคุม บาเยิร์น มิวนิค มันปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พวกเขาเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการลูกหนังเมืองเบียร์ นอกจากนี้ “เสือใต้” ในยุคนั้น ยังมีการเล่นที่สมบูรณ์แบบอีกด้วย

กวาร์ดิโอล่า ปฏิวัติ บาเยิร์น ไปอย่างสิ้นเชิง เขาจับ ฟิลิปป์ ลาห์ม แบ็คกัปตันทีมไปเล่นในตำแหน่งกองกลาง และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมปั้นดาวรุ่งอย่าง โจชัว คิมมิช ขึ้นมาทำหน้าที่ในตำแหน่งฟูลแบ็คแทน

ในแนวรุกมีสุดยอดตัวริมเส้น 2 ฝั่ง อย่าง อาร์เยน ร็อบเบน และ ฟร้องค์ ริเบรี่ คอยปั่นป่วนแนวรับคู่แข่ง และมี 2 หัวหอกระดับโลกอย่าง โธมัส มุลเลอร์ และโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ คอยกระหน่ำประตู

6. อินเตอร์ มิลาน (ในยุค โจเซ่ มูรินโญ่ คุมทีม)

Source : dreamteamfc

ย้อนกลับไปในปี 2010 มูรินโญ่ กลายเป็นสุดยอดผู้จัดการทีมที่ทุกสโมสรบนโลกใบนี้ต้องการตัว หลังจากที่เขาพา อินเตอร์ สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ประกอบไปด้วย แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา, แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และแชมป์โคปา อิตาเลีย

อินเตอร์ ภายใต้การกุมบังเหียนของ มูรินโญ่ เป็นทีมที่แข็งแกร่งทุกตำแหน่งบนสนาม ซึ่งมี ฮูลิโอ เซซาร์ โกล์มือ 1 ทีมชาติบราซิลเฝ้าเสา โดยแนวรับเต็มไปด้วยยอดกองหลังมากประสบการณ์อย่าง มาร์โก มาเตรัซซี่, ลูซิโอ, ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ และวอล์เตอร์ ซามูเอล

        ขณะที่แดนกลางมีสุดยอดห้องเครื่องอย่าง เอสเตบัน กัมบิอัซโซ่ และ เดยัน สแตนโควิช ควบคุมเกม โดยมี เวสลีย์ สไนจ์เดอร์ อดีตเพลย์เมกเกอร์ทีมชาติฮอลแลนด์ ทำเกมรุกร่วมกับ ซามูเอล เอโต้ และ โกรัน ปานเดฟ และมี ดิเอโก้ มิลิโต้ ยืนคำเป็นศูนย์หน้าตัวเป้า

5. เรอัล มาดริด (ในยุค ซีเอนดีน ซีดาน คุมทีม)

Source : regionweek

เรอัล มาดริด ในยุคของ ซีดาน เป็นทีมที่ดีที่สุดในยุโรปอย่างไม่ต้องสงสัยเลย หลังจากโค้ชชาวฝรั่งเศส พาพลพรรค “ราชันชุดขาว” กวาดถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ติดต่อกัน 3 สมัยในช่วงปี 2015-2018

มาดริด ในยุคนั้น เป็นทีมที่คู่แข่งยากจะต่อกรด้วย พวกเขามีสุดยอดนักเตะเกือบทุกตำแหน่งไล่ตั้งแต่ แนวรับที่มี เซอร์จิโอ รามอส และ มาร์เซโล แดนกลางมี โทนี่ โครส, ลูก้า โมดริช และคาเซมิโร่ ส่วนแนวรุกมี คริสเตียโน โรนัลโด้, กาเร็ธ เบล และคาริม เบนเซม่า

4. บาเยิร์น มิวนิค (ในยุค จุ๊ปป์ ไฮย์เกส คุมทีม)

Source : bleacherreport

การกลับมาคุม บาเยิร์น มิวนิค ในรอบที่ 3 ของ ไฮย์เกส ในช่วงปี 2012-2013 นั้น ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างน่าเหลือเชื่อหลังจากที่เขาพาทัพ “เสือใต้” คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ประกอบไปด้วย แชมป์บุนเดสลีกา, เดเอฟเบ โพคาล และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

ผลงานอันสุดยอดของ ไฮย์เกส ก็คือ การพา บาเยิร์น คว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมืองเบียร์โดยทิ้ง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทีมอันดับ 2 มากถึง 25 คะแนน และถล่มยอดทีมอย่าง บาร์เซโลน่า ในรอบรองชนะเลิศศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยสกอร์รวม 2 นัด 7-0

3. เลสเตอร์ ซิตี้ (ในยุค เคลาดิโอ รานิเอรี คุมทีม)

Source : spokesman

หนึ่งในปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษของประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ เลสเตอร์ ภายใต้การคุมทีมของ รานิเอรี ถูกยกให้เป็นทีมเต็ง 1 ที่จะตกชั้นในฤดูกาล 2015-2016 แต่ในท้ายที่สุดพวกเขาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

เลสเตอร์ ในชุดนั้น ลงเล่นด้วยความกระหายในชัยชนะ และทุ่มเททั้ง 11 คนในสนาม พวกเขามีนายทวารอย่าง แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ที่ท็อปฟอร์ม และมี เวส มอร์แกน กับ โรเบิร์ต ฮูท คอยประจำการในแนวรับ ส่วนแดนกลางมีคู่หูอย่าง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และ แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ ขับเคลื่อนเกม

ในแนวรุกมี ริยาด มาห์เรซ ปีกชาวแอลจีเรีย คอยสร้างสรรค์เกมให้กับคู่หัวหอกอย่าง ชินจิ โอกาซากิ กองหน้าชาวญี่ปุ่น และ เจมี่ วาร์ดี้ ยอดดาวยิงชาวอังกฤษ คอยล่าตาข่าย

2. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (ในยุค เปป กวาร์ดิโอล่า คุมทีม)

Source : manchestereveningnews

หลังจากล้มเหลวในปีแรกกับ แมนฯซิตี้ และหลายคนมีความเห็นว่า กวาร์ดิโอล่า ไม่เหมาะกับการคุมทีมในพรีเมียร์ลีก แต่ในปี 2017-18 เทรนเนอร์ชาวสเปน กลับมาอีกครั้งด้วยการพาพลพรรค “เรือใบสีฟ้า” ผงาดคว้าแชมป์ลีก และแชมป์ฟุตบอลถ้วยลีก คัพ มาครองได้สำเร็จ พร้อมกับทำลายสถิติต่างๆมากมาย

กวาร์ดิโอล่า สร้าง แมนฯซิตี้ ให้กลายเป็นทีมที่มีแนวรุกน่ากลัวที่สุดในยุโรปด้วยการมีจอมทัพอย่าง เดวิน เดอ บรอยน์ และ ดาบิด ซิลบา คอยสร้างสรรค์เกม และมีตัวริมเส้นอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ แบร์นาโด ซิลวา คอยปั่นป่วนแนวรับ

สำหรับแนวรุกมีดาวยิงระดับพระกาฬอย่าง เซอร์จิโอ อเกวโร่ คอยทะลวงตาข่าย และมี กาเบรียล เฆซุส หัวหอกชาวบราซิล เป็นตัวสำรอง

1. บาร์เซโลน่า (ในยุค เปป กวาร์ดิโอล่า คุมทีม)

Source : 365dm

แชมป์ลา ลีกา 3 สมัย, โคปา เดย์ เลย์ 2 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย, ยูฟ่า ซุเปอร์ คัพ 2 สมัย และแชมป์สโมสรโลก 2 สมัย บาร์เซโลน่า ภายใต้การคุมทัพของ กวาร์ดิโอล่า ในช่วงปี 2008-2012 ได้รับการยกย่องว่า เป็นทีมที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา

บาร์เซโลน่า ในยุคนั้น กำลังสำคัญของพวกเขาเป็นเด็กปั้นที่เติบโตมาจากสโมสรแทบทั้งสิ้น ไล่ตั้งแต่แนวรับที่มี บิคตอร์ บัลเดส ยืนเฝ้าเสา และมี เคราร์ด ปิเก้ คุมเกมรับ ในแดนกลางมี 3 สุดยอดนักเตะอย่าง เซอร์จิโอ บุสเกตส์, อันเดรส อิเนียสตา และชาบี เอร์นานเดซ ทำเกม

ในแนวรุก มี ลิโอเนล เมสซี่ จอมทัพชาวอาร์เจนติน่า เล่นในบทบาท False9 ร่วมกับ ดาบิด บีย่า และเปโดร โรดริเกซ คอยไล่ล่าประตูคู่แข่ง

ภาพประกอบ : guardian.ng, arabnews.com, fourfourtwo.com, fcbarcelonanoticias.com, dreamteamfc.com, regionweek.com, bleacherreport.com, spokesman.com, manchestereveningnews.co.uk, skysports.com

Che Navapun

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save