หลังแนะนำคอนเทนท์กีฬาบนสตรีมมิ่งยอดนิยมอย่าง “Netflix” ไปแล้ว 2 ตอน ก็อยากหันมาแนะนำคอนเทนท์จริงจังขึ้นมาอีกหน่อย กับหนังระดับขึ้นเวที “ออสการ์” มาแล้ว ซึ่ง Netflix เค้าก็มีให้ได้ชมกันหลากหลายเรื่องเลย
[10 คอนเทนท์กีฬาบน Netflix >> คลิกที่นี่เลย <<]
[10 สารคดีเรื่องเยี่ยมบน Netflix >> คลิกที่นี่เลย <<]
และด้วยจำนวนเรื่องที่เยอะแยะมากมาย การจะเลือก 10 เรื่องมาแนะนำกัน อย่างแรกเลย จะต้องเป็นหนังที่เคยเข้าชิง หรือชนะออสการ์มาแล้ว เพื่อการันตีคุณภาพว่าของเขามีดี
อย่างที่สอง เลยขอเลือกหนังที่หลายคนอาจจะลืมนึกถึง หรือคิดว่าไม่มีบน Netflix รวมถึงพวกหนังที่บางทีหาโอกาสดูช่องทางอื่นไม่ง่าย ยกตัวอย่างเช่น พวกสายเก็บแผ่น DVD (ผมเคยเป็น..) ก็หาซื้อยาก วันนี้เลยถือโอกาส ชี้เป้า 10 เรื่องเด็ด บน Netflix ซะเลย
Phantom Thread
เกียรติประวัติ : ชนะ 1 ออสการ์ จากการเข้าชิง 6 รางวัล
ความยาว : 2 ชั่วโมง 10 นาที
ผลงานพิถีพิถันของผู้กำกับ “พอล โธมัส แอนเดอร์สัน” ผู้กำกับเพียงคนเดียวที่สามารถโน้มน้าว “แดเนียล เดย์-ลูวิส” เจ้าของ 3 ออสการ์ ให้งดเว้นการรีไทร์กลับมาแสดงหนังอีกครั้งในรอบ 5 ปี เป็นการทิ้งท้าย ก่อนที่ท่านเซอร์แดเนียล จะยืนยันรีไทร์เป็นทางการ หลังภารกิจเรื่องนี้เสร็จสิ้น
การกลับมาร่วมงานกับแอนเดอร์สันอีกครั้ง นับตั้งแต่ผลงานชิ้นเอกอย่าง “There Will Be Blood” ยังคงขับการแสดงฝีมือที่ยอดเยี่ยมของท่านเซอร์ อย่างเต็มที่เช่นเคย ด้วยการรับบท “เรย์โนลส์ วู้ดค็อก” ช่างเสื้อชื่อดัง ซึ่งมีลักษณะนิสัยเฉพาะตัว จุกจิก เอาใจยาก และไม่เคยคิดจะลงหลักปักฐานกับผู้หญิงคนไหนถาวร
ชีวิตของเรย์โนลส์เปลี่ยนไป เมื่อเขาได้เจอกับ “อัลม่า” หญิงสาวเด็กเสิร์ฟ ที่เขาถูกชะตา และค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ ซึ่งต้องใช้เวลาเรียนรู้ ด้วยรูปแบบความรักที่เฉพาะตัว และไม่ง่ายเลยที่จะผ่านความพึงพอใจของทั้งคู่ให้ได้
แน่นอนว่าจุดเด่นที่สุดคือเรื่องของการแสดง ซึ่งนอกจากเดย์-เลวิส ที่ได้ชิงออสการ์นำชายจากบทเรย์โนลส์แล้ว “วิคกี้ ไครปส์” ในบทอัลม่า และ “เลสลีย์ แมนวิลล์” ผู้รับบท “ซิริล” พี่สาวของเรย์โนลส์ ยังถ่ายทอดบทบาทได้ยอดเยี่ยม ยิ่งรวมกับงานโปรดักชั่นคุณภาพ และบทสนทนาที่น้อยแต่มาก ทำให้ “Phantom Thread” ควรค่าแก่เสพอย่างมาก
Mudbound
เกียรติประวัติ : เข้าชิงออสการ์ 4 รางวัล
ความยาว : 2 ชั่วโมง 14 นาที
“Mudbound” ถือเป็นหนังม้ามืดเรื่องนึงของเวทีออสการ์ปี 2018 หลังทะลุเข้าชิงถึง 4 รางวัล รวมถึงบทนักแสดงสมทบหญิงของ “แมรี่ เจ. บลิเก” ซึ่งถือเป็นเซอร์ไพรส์เล็กๆ ที่เข้าชิงท่ามกลางตัวเต็งมากมาย
ที่แนะนำ “Mudbound” เพราะในบ้านเราตอนนั้น ไม่มีเข้าฉายเลย หาชมทางอื่นก็ยาก จึงถือเป็นเรื่องดีที่สามารถชมได้ผ่าน Netflix เพราะตัวหนังเองก็ได้รับเสียงวิจารณ์ในแง่บวก จนทำให้ “ดี รีส์” ผู้กำกับหญิงผิวสีของเรื่องนี้ เป็นที่จับตามองอยู่พักใหญ่
เนื้อหาของเรื่องนี้ เล่าเรื่องราวของชายหนุ่ม 2 คน ที่กลับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วมาทำงานฟาร์มทแถบชนบทของมิสซิสซิปปี้ ซึ่งแค่การกลับมาใช้ชีวิตปกติหลังสงครามก็ไม่ง่ายอยู่แล้ว ยังต้องเจอเรื่องราวหนักใจเกี่ยวกับสีผิว ซึ่งสมัยนั้นยังมีการแบ่งแยกค่อนข้างหนักหน่วง
Darkest Hour
เกียรติประวัติ : ชนะ 2 ออสการ์ จากการเข้าชิง 6 รางวัล
ความยาว : 2 ชั่วโมง 5 นาที
หนังสร้างจากเรื่องราวจริงของอังกฤษช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งกำลังสุ่มเสี่ยงต่อการถูกฝ่ายอักษะเข้าโจมตี วิกฤตการณ์ครั้งนี้เลยต้องพึ่งพาความเก๋าเกมอย่างที่สุดของ “วินสตัน เชอร์ชิลล์” นายกรัฐมนตรีลายคราม ที่เป็นทั้งคนโผงผาง และเถรตรง
ผลงานกำกับของ “โจ ไรท์” ผู้เชี่ยวชาญด้านหนังพีเรียดอย่าง “Pride & Prejudice” และ “Atonement” ได้ “แกรี่ โอลด์แมน” มาแปลงโฉมรับบทเชอร์ชิลล์ สุดเฉียบ พร้อมทั้งองค์ประกอบที่ยอดเยี่ยมอื่นๆ ทำให้ “Darkest Hour” ชนะออสการ์ทั้งนำชายของโอลด์แมน และการออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม
หนังความยาวเกิน 2 ชั่วโมง ถ่ายทอดมวลรวมของความรู้สึกในช่วงนั้นได้ทรงพลัง ตัวตนของเชอร์ชิลล์ ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสมเหตุสมผล ซึ่งผลักดันทั้งการตัดสินใจ และทำให้เกิดซีนประทับใจหลากหลายฉาก ที่คุณไม่ควรพลาด
Eternal Sunshine of the Spotless Mind
เกียรติประวัติ : ชนะ 1 ออสการ์ จากการเข้าชิง 2 รางวัล
ความยาว : 1 ชั่วโมง 47 นาที
ออกตัวเลยว่าหนังชื่อยาวเรื่องนี้ เข้ามาอยู่ในลิสต์แนะนำ เพราะความชอบส่วนตัวเลยก็ว่าได้ โดยตัวหนังเป็นแนว ดราม่า-โรแมนติก ผสมแนวคิดแบบไซไฟหน่อยๆ เข้าฉายครั้งแรกตั้งแต่ปี 2004 นู่น แต่รับรองว่าชมแล้ว จะสัมผัสได้ถึงความทันสมัยทั้งเนื้อหาและไอเดีย
จุดน่าสนใจของเรื่องนี้ คือเราจะได้เห็นบทบาทที่ “จิม แคร์รี่” และ “เคท วินสเล็ต” แทบไม่ค่อยได้เล่นเลยในอาชีพการแสดงของทั้งคู่ แถมยังแจมด้วยดาราที่มาโด่งดังในช่วงหลัง อย่าง “มาร์ค รัฟฟาโล่”, “เอลิจาห์ วู้ด” และ “คริสเตน ดันส์” อีกต่างหาก
เนื้อหาของเรื่องเกี่ยวกับ “โจเอล” ชายหนุ่มที่ผิดหวังกับความรักจากแฟนสาว “คลีเมนไทน์” จนต้องเข้าใช้บริการบริษัทลบความทรงจำเกี่ยวกับเธอ แต่พอไปเริ่มขบวนการจริงๆ แล้ว เขากลับพบว่า เขาไม่ได้อยากจะให้ความทรงจำดีๆ เหล่านั้นเลือนหายไป จึงพยายามสู้สุดใจที่จะจดจำเธอไว้
ส่วนที่ชนะออสการ์ มาจากรางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม ที่นอกจาก “มิเชล กอนดรี้” ผู้กำกับจะร่วมเขียนแล้ว ยังเป็นฝีมือของ “ชาร์ลี คัฟแมน” ผู้เคยเขียนบทหนังเยี่ยมๆ อย่าง “Being John Malkovich”, “Adaptation.” หรือ “Anomalisa”
Syriana
เกียรติประวัติ : ชนะ 1 ออสการ์ จากการเข้าชิง 2 รางวัล
ความยาว : 2 ชั่วโมง 8 นาที
ผลงานลงมือกำกับเอง ในไม่กี่เรื่องของ “สตีเฟ่น กาแกน” มือเขียนบทที่เคยชนะออสการ์จาก “Traffic” เล่าเรื่องราวดราม่าเข้มข้น ที่มีเรื่องของการเมือง และธุรกิจค้าน้ำมันเป็นปมเรื่องหลัก ซึ่งทำให้เราได้เห็นการเฉือนคม และการโกงกินในการค้าข้ามประเทศ ที่มีมูลค่ามหาศาล ยากจะประเมิน
หนังเรื่องนี้เข้าฉายครั้งแรกในปี 2005 ในโรงบ้านเราก็ไม่ค่อยมีรอบ เคยออกเป็นแผ่น DVD แต่ราคาก็ค่อนข้างสูงมาก (ผมเป็นคนนึงที่ตัดใจซื้อไม่ลง) กว่าบ้านเราจะดูกันได้สะดวก ก็ต้องมาในยุคหลังๆ ที่ตามช่องทีวีฉายกัน หรือกับตอนนี้บน Netflix ที่ “Syriana” แอบซ่อนอยู่ในคลังหนังกับเขาด้วย
หนังเรื่องนี้ ถือเป็นหนังที่ส่งให้ “จอร์จ คลูนีย์” คว้ารางวัลออสการ์ตัวแรก และตัวเดียวในสาขาด้านการแสดง โดยคลูนีย์ชนะในสาขาสมทบ เพราะตัวนำหลักของเรื่องคือ “แมตต์ เดม่อน” ร่วมด้วยดาราคุณภาพเพียบ ทั้ง “คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์”, “เจฟฟรี่ ไรท์”, “คริส คูเปอร์” หรือสาว “อแมนด้า พีท” ที่ตอนนั้นกำลังฮ็อตเลย
Into the Wild
เกียรติประวัติ : เข้าชิง 2 ออสการ์
ความยาว : 2 ชั่วโมง 28 นาที
อีกหนึ่งหนังที่หาดูไม่ค่อยง่าย แต่ติดเป็นหนังเรทติ้งยอดเยี่ยมอันดับ 206 ของ IMDb ผลงานกำกับของนักแสดงมากความสามารถ “ฌอน เพนน์” โดยสร้างจากเค้าโครงเรื่องราวจริง
หนังเล่าเรื่องราวของ “คริส” เด็กหนุ่มซึ่งพึ่งจบจากมหาวิทยาลัย ด้วยการเป็นทั้งนักศึกษาและนักกีฬาตัวท็อป แต่กลับเลือกทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเงินที่เก็บออมมา ที่เอาไปบริจาคให้การกุศล หรือครอบครัว เพื่อนฝูง โดยมีเป้าหมายมุ่งหน้าไปใช้ชีวิตสัมโดษในป่าแถบอลาสก้า ซึ่งการตัดสินใจของเขา ได้นำพาบทเรียนชีวิตอันทรงคุณค่า
บท “คริส” ตัวนำหลักของเรื่อง รับบทโดย “เอมิล เฮิร์ช” หนึ่งในนักแสดงที่ควรจะโด่งดังมากกว่าที่เป็น โดยทั้งเพนน์ และเฮิร์ช ทุ่มเทกับการถ่ายทอดเรื่องราวของคริสเป็นอย่างมาก จนทำให้เราเห็นหนังที่ให้แง่มุมความคิด ที่อาจสัมผัสการใช้ชีวิตจริงของคุณ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
The Untouchables
เกียรติประวัติ : ชนะ 1 ออสการ์ จากการเข้าชิง 4 รางวัล
ความยาว : 1 ชั่วโมง 59 นาที
ย้อนยุคกันไปเก่าหน่อย กับหนังปี 1987 ที่ถือว่าเป็นหนังแกงสเตอร์ หรือหนังมาเฟีย เรื่องนึงที่คุณไม่ควรพลาด หากคุณชอบ “The Godfather” หรือ “Goodfellas” โดยหนังเรื่องนี้ กำกับโดย “ไบรอัน เด พาลม่า” ผู้กำกับหนังเท่อย่าง “Scarface” หรือ “Dressed to Kill”
“The Untouchables” เล่าเรื่องราวในยุคที่ชิคาโก้ ยังคงครองอำนาจโดยมาเฟียใหญ่ “อัล คาโปน” ส่งผลให้การฉ้อฉลคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา ร้อนถึง “อีเลียต เนสส์” เจ้าหน้าที่สืบสวนกลาง ที่ต้องตั้งทีมเฉพาะกิจ เพื่อมาลุยต่อกรกับอัล คาโปน และพยายามทำทุกทางเพื่อนำความถูกต้องกลับมา
นอกจากเนื้อเรื่องจะเข้มข้น ยิงกันสนั่นแล้ว ดาราร่วมแสดงยังระดับคุณภาพล้วนๆ อัล คาโปน รับโดย “โรเบิร์ต เด นีโร”, เนสส์ รับบทโดย “เควิน คอสท์เนอร์” ร่วมด้วย “แอนดี้ การ์เซีย” และ “ฌอน คอนเนอร์รี่” ในบท “จิม มาโลน” ซึ่งถือเป็นการเข้าชิงออสการ์หนแรก และหนเดียวตลอดอาชีพการแสดง และสามารถซิวออสการ์ตัวนี้ไปครองได้สำเร็จ
Silver Linings Playbook
เกียรติประวัติ : ชนะ 1 ออสการ์ จากการเข้าชิง 8 รางวัล
ความยาว : 2 ชั่วโมง 2 นาที
แนะนำหนังเก่าไปหลายเรื่อง ถึงคราวกลับมาพูดถึงหนังยุคใหม่กันบ้าง กับ “Silver Linings Playbook” หนังครบรสในเชิงความสัมพันธ์ของ 2 คน ที่ชีวิตพังๆ กลายเป็นจุดเริ่มของการเติมเต็ม การันตีคุณภาพด้วยการชิงออสการ์มากถึง 8 รางวัล
ตัวเดินเรื่องหลักคือ “แพท” อดีตครูหนุ่ม รับบทโดย “แบรดลีย์ คูเปอร์” ที่พยายามจะตั้งหลักชีวิต หลังหย่าภรรยา ด้วยการย้ายกลับมาอยู่กับพ่อแม่ แล้วมาเจอเข้ากับ “ทิฟฟานี่” สาวแปลก ที่มักก่อปัญหาให้กับตัวเธอไม่หยุดหย่อน ซึ่งรับบทโดย “เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์”
จุดเด่นสำคัญของเรื่อง คือการบอกเล่าความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ พัฒนา และเยียวยาตัวตนของตัวละครในเรื่อง หนังทำให้ผู้ชมซึมซับ และทำความเข้าใจอย่างราบรื่นตั้งแต่ต้นจนจบ เคมีที่ลงล็อค และบทสนทนาที่โดนใจ ถูกถ่ายทอดมาอย่างดี ซึ่งต้องยกเครดิตให้ 2 นักแสดงนำ, นักแสดงสมทบ (เข้าชิงเรียบ นำชาย-หญิง, สมทบชาย-หญิง) และ “เดวิด โอ. รัสเซลล์” ผู้กำกับ/เขียนบท ที่ตอนนั้นอยู่ในช่วงท็อปฟอร์ม
Argo
เกียรติประวัติ : ชนะ 3 ออสการ์ จากการเข้าชิง 7 รางวัล
ความยาว : 2 ชั่วโมง
หนังยอดเยี่ยมแห่งปีของเวทีออสการ์ เมื่อปี 2013 ถือเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซของ “เบน เอฟเฟล็ค” ที่รับหน้าที่กำกับ และแสดงนำเอง โดยองค์ประกอบหลักเข้าชิงเกือบทั้งหมด ทั้งเรื่องของการโปรดักชั่น อย่างเสียง หรือตัดต่อ บทหนังก็ชิง ดนตรีประกอบก็ชิง เรียกว่าได้รับคำชมมากมาย
“Argo” สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริง ของเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ที่ต้องทำภารกิจสุดอันตราย กับการพาทีมถ่ายทำหนัง ซึ่งเป็นพลเมืองชาวอเมริกัน 6 ราย ออกจากกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน ในช่วงที่สถานการณ์ระหว่าง 2 ประเทศ ตึงเครียดถึงขีดสุด
แน่นอนกับหนังทำภารกิจในพื้นที่เสี่ยง มันต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และเรื่องราวให้ลุ้นเหมือนกับหลายๆ เรื่อง แต่สิ่งที่ “Argo” ทำได้เหนือกว่า คือสามารถพาอารมณ์ร่วมของผู้ชมไปได้ไกลกว่า สร้างความรู้สึกกดดัน และความรู้สึกเอาใจช่วย ได้คมชัดกว่า จนคุณสัมผัสมันได้ อย่างเต็มที่
และสิ่งที่น่าสนใจ ที่อยากให้คุณได้ลองพิสูจน์เกี่ยวกับ “Argo” ก็คือเรื่องการกำกับของพี่เบน เพราะออสการ์เคยสร้างความงุนงงให้สื่อ, นักวิจารณ์ และแฟนหนัง มาแล้ว
เพราะว่า รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม เวทีอื่นเขายกให้พี่เบนเต็งหมด แต่ออสการ์กลับไม่เสนอเข้าชิงเลยด้วยซ้ำ จนสุดท้ายพอหนังได้รางวัล Best Picture ก็มีกระแสตามมาว่า ออสการ์ให้รางวัลใหญ่สุด เพื่อชดเชยความผิดพลาด หรืออคติของตัวเองหรือเปล่า? ลองพิสูจน์กันดูหน่อยเนอะ
American Factory
เกียรติประวัติ : ชนะออสการ์ สาขาสารคดียอดเยี่ยม
ความยาว : 1 ชั่วโมง 50 นาที
แนะนำแต่ภาพยนตร์มาล้วนๆ ขอมาปิดท้ายด้วยสารคดีกันบ้าง ซึ่งนอกจากจะเป็นสารคดีของ Netflix เองแล้ว ยังเป็นสารคดีเรื่องแรก ภายใต้บริษัทโปรดักชั่นของ “บารัค และมิเชล โอบาม่า” แถมมันไปถึงขั้นชนะออสการ์ปีล่าสุด อีกต่างหาก
สารคดี เล่าเรื่องบริษัท “ฝูเหยา” จากจีน ที่เข้ามาซื้อพื้นที่โรงงานรถยนต์เก่าที่ปิดตัวไปนานหลายปีของ “เจนเนอร์รัล มอเตอร์” (GM) แถบโอไฮโอ โดยฝูเหยาเปลี่ยนพื้นที่เป็นโรงงานผลิตกระจกรถยนต์ และทำการจ้างคนงานชาวอเมริกัน โดยมีคนที่ได้รับผลกระทบจากการปิดโรงงานของ GM มาเป็นแรงงานสำคัญ
มองเผินๆ การกลับมาเปิดโรงงานอีกครั้งของฝูเหยา น่าจะทำให้เศรษฐกิจ และชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นั่นดีขึ้น แต่ทุกอย่างกลับติดขัด ด้วยเรื่องของ “วัฒนธรรมองค์กร” ที่แตกต่างกันสิ้นเชิงระหว่างจีนและอเมริกา ไม่ว่าจะเรื่องมุมมองต่อแรงงาน, ผลผลิต หรือเรื่องของการบริหารองค์กร ที่สารคดีเรื่องนี้ จะพาไปดูว่ามันสร้างจุดขัดแย้ง ตรงไหนบ้าง
จุดเด่นสำคัญ ที่ความเป็นสารคดีที่ดี ควรมีอย่างเต็มเปี่ยม คือการไม่ใส่อคติ เพื่อชี้นำคนดูให้คิดเข้าข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่ง “American Factory” เอง ก็ทำหน้าที่ตรงนี้ได้ยอดเยี่ยม เพราะการถ่ายทอดเรื่องราว จะค่อยๆ ให้คุณเก็บข้อมูล และลองคิดตามกันเอง ซึ่งนอกจากจะสนุกกับการเห็นการต่อกรกับปัญหา ยังช่วยให้คุณเข้าใจเรื่องขององค์กรได้อย่างดี โดยอัตโนมัติ
Picture : Netflix, KnowTechie, Amazon, Original Film Art, IMDb, TopPNG, Variety, Pattaya Mail, Mubi, Metro Weekly, Popcorn Singapore, The Student, Lewes, Prime Video, Pinterest, Chestnut Hill Local, NPR, The Daily Beast, The Atlantic, Chicago Cinema Circuit
Trailer : YouTube (Focus Features, Netflix, Universal Pictures UK, Movieclips Classic Trailers, YouTube Movies, JoBlo Movie Trailers, Warner Bros. Pictures)